เมื่อคืนนี้ราคาหุ้นของ Facebook ปิดการซื้อขายที่ราคา 45.04 ดอลลาร์ต่อหุ้น เป็นราคาสูงที่สุดนับตั้งแต่บริษัทเข้าตลาดหุ้นเมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว โดยราคา IPO ตอนนั้นอยู่ที่ 38 ดอลลาร์ แต่หลังจากนั้นไม่กี่วันก็มีราคาลดลงเรื่อยๆ จนต่ำกว่าราคา IPO และมูลค่าลดลงต่ำที่สุดมากกว่าครึ่ง
ปัจจัยที่ส่งผลให้หุ้น Facebook กลับมาสร้างความเชื่อมั่นกับนักลงทุนได้สำเร็จก็คือผลประกอบการที่ค่อยๆ ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปรับปรุงผลิตภัณฑ์กลุ่มมือถือให้ดีขึ้นอย่างมาก จนบริษัทสามารถสร้างรายได้โฆษณาส่วนนี้ได้เป็นกอบเป็นกำ
ที่มา: Bloomberg
Comments
อิทธิพลจากสติกเกอร์ที่เริ่มดุ๊กดิ๊กได้แล้วทุกหนแห่ง!!!!
ผมคิด Facebook เป็นองค์กรที่รู้จักจุดอ่อนและจุดแข่งของตัวเองได้ดี พัฒนาตนเองไปในทิศทางที่ทูกต้องครับ
ผมใช้ messenger เยอะขึ้นมากตั้งแต่มีแชทเฮด
May the Force Close be with you. || @nuttyi
ว้าว จากต่ำสุดมาสูงสุด อีกครั้ง
เก่งแฮะ เอาคืนกลับมาจนได้
ปล. ผมไม่ได้ใช้ fb มาหลายเดือนละ 555+
..: เรื่อยไป
อา ตัวพูซีน สุดน่ารัก
ฟองสบู่ลูกมโหฬารเลยทีเดียว ปัจจุบันค่า P/E สูงถึง 195 เท่า ไตรมาสล่าสุดทำรายได้ได้ 1,813 ล้านดอลลาร์ ส่วนกำไรสุทธิ 331 ล้านดอลลาร์ คิดเป็น Profit Margin 18% ทางด้าน P/B สูงถึง 8.8 เท่า Market Cap สูงถึง 109,000 ล้านดอลลาร์
ส่วน Apple ค่า P/E อยู่ที่ 11 เท่า ไตรมาสล่าสุดทำรายได้ได้ 35,323 ล้านดอลลาร์ กำไรสุทธิ 6,900 ล้านดอลลาร์ Profit Margin 19% P/B 3.4 เท่า Market Cap อยู่ที่ 424,000 ล้านดอลลาร์
ทางด้าน Google ค่า P/E อยู่ที่ 26 เท่า ไตรมาสล่าสุดทำรายได้ได้ 14,105 ล้านดอลลาร์ กำไรสุทธิ 3,228 ล้านดอลลาร์ Profit Margin 22% P/B 3.7 เท่า Market Cap อยู่ที่ 298,000 ล้านดอลลาร์
ค่า P/E (Price to earning) หรือราคาเมื่อเทียบกับกำไรต่อหุ้น (EPS) ซึ่งกำไรต่อหุ้นนั้นมาจาก กำไรสุทธิ หารจำนวนหุ้นบริษัทจดทะเบียน ก็จะได้เป็น EPS เมื่อนำ EPS มาหารราคาหุ้นจะได้เป็นค่า P/E ของราคาเมื่อเทียบกับกำไรสุทธิ ยิ่งต่ำก็ยิ่งดี ยิ่งสูงยิ่งอันตราย
Profit Margin คือตัวเลือกสำหรับหาค่าเมื่อคิดกำไรแล้ว คิดเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ของรายได้ ค่านี้ยิ่งสูงยิ่งดี แปลว่าบริษัทสามารถทำกำไรได้มากเมื่อเทียบกับรายได้
ค่า P/B (Price to book) คือราคาเมื่อเทียบกับมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น เช่นบริษัทมีสินทรัพย์ ลบด้วยหนี้สิน ก็จะเป็นส่วนของผู้ถือหุ้น นำส่วนผู้ถือหุ้นมาหารด้วยจำนวนหุ้น ก็จะได้ราคาหุ้นตามมูลค่าทางบัญชี ยิ่งค่าต่ำแสดงว่าปลอดภัย เพราะหากบริษัทล้มเมื่อขายสินทรัพย์ออกอย่างน้อยก็เหลือเงินคืนเราได้มาก ยิ่งค่านี้สูงแสดงว่าซื้อขายกันราคาเกินกว่าบัญชีไปมากโข
Market Cap คือมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด เปรียบเทียบความใหญ่ของบริษัทโดยนำปริมาณหุ้นจดทะเบียน คูณด้วยราคาหุ้น ก็จะได้มูลค่าบริษัทตามราคาตลาด
ทางด้านค่าต่างๆที่บอกมา P/E P/B ยังอาจมีเงื่อนไขอีกมาก บางบริษัทอาจมีค่า P/E ต่ำได้ทางกลไกทางบัญชี เช่นซื้อบริษัทอื่นเข้ามา ก็บุคเป็นกำไร ค่านี้จึงถูกหลอกได้ง่าย (ส่วนของ Apple ที่ต่ำนั้น ไม่ได้มีผลมาจากส่วนนี้ เพราะบริษัทสามารถทำกำไรได้สูงมาตลอดต่อเนื่อง) ส่วนค่า P/B ก็นับจากการประเมินตามมูลค่าทางบัญชี ซึ่งในความเป็นจริง หากขายกิจการจริงก็อาจต้องมีส่วนลดลงไปอีกเพื่อให้ขายสินทรัพย์ได้ง่าย
ถ้าเทียบกับ Ratio ต่างๆแล้วจะเห็นได้ว่า facebook ราคาถือว่าเกินทั้งในแง่มูลค่า และเกินกว่าคุณภาพของบริษัทไปมากทีเดียว
ถ้าบอกว่าเป็นฟองสบู่ ผมเถียงขาดใจแน่นอนครับ P/E สูงขนาดนั้นไม่แปลกครับ เพราะ Model ธุรกิจมันเป็นแบบนี้ จะให้เอาไปเทียบกับ Apple ที่อยู่คนละอุตสาหกรรมไม่ได้หรอก นักลงทุนต้องหวังระยะยาวอยู่แล้ว
มูลค่าของ Facebook ผมว่ามันเอามาตีเป็นตัวเลขทางงบการเงินลำบากอ่ะ คือหมายความว่า ถึงแม้ว่าจะไม่ได้สร้างตัวเลข Profit Margin สวยๆลงในงบการเงิน แต่อย่าลืมว่านี่คือเว็บที่คนเลือกเข้าเป็นอันดับแรกๆทุกครั้งที่เปิดคอม ลองนึกภาพ Facebook ปิดให้บริการสัก 3-4 วันดูสิจะเกิดอะไรขึ้น นี่แหละมูลค่าที่แท้จริง
ราคาเริ่มจะสะท้อนความจริงแล้วล่ะ ช่วงก่อนหน้านี่ผมว่าราคาปลอมทั้งหมด สะท้อนแต่อารมณ์ล้วนๆ แม้กระทั้ง IPO ก็ตาม
P/E ที่สูง ต้องมาพร้อมกับการเติบโตที่สูงด้วย ไม่ใช่เเค่มองอนาคต อนาคตเป็นเรื่องคาดเดายาก
ปัจจุบัน คือเหตุผล คิดว่า Facebook จะโตได้อีกหรอเปล่าละ ถ้าโตโดยไร้คู่เเข่ง P/E 195 เท่าก็ไม่เเพง
ถ้ามันไม่โตหรือโตกว่าเดิมนิดเดียว สุดท้ายราคาหุ้นก็จะยืนไม่ไหว ไม่มีพื้นฐานมารองรับ มันก็ร่วงเหมือนเดิม
@ Virusfowl
I'm not a dev. not yet a user.