หลายคนคงสนุกกับการถ่ายรูปอาหาร นั่งแชทกับเพื่อน อัพเดทเฟสบุ๊คในขณะที่ทานข้าวในร้านอาหาร แต่ก็มีบางคนที่คิดว่าพฤติกรรมเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่สมควร
Jawdat Ibrahim เจ้าของร้านอาหาร Abu Ghosh ได้เล่าว่า อาการติดมือถือมันมีมานานแล้ว แต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้มันยิ่งแย่ลง เพราะสมาร์ทโฟนมันทำอะไรได้มากขึ้น เขารู้สึกท้อใจเมื่อเห็นกลุ่มเพื่อนหรือคู่แต่งงานมาทานอาหาร แล้วเอาแต่จ้องมองหน้าจอโทรศัพท์ ถึงขนาดบางครั้งมีการขอให้เขาอุ่นอาหารให้ใหม่
ร้านอาหารของ Ibrahim จึงเสนอส่วนลด 50% ให้กับลูกค้าที่ปิดโทรศัพท์มือถือในขณะที่พวกเขารับประทานอาหาร ซึ่งลูกค้าแทบทั้งหมดที่เข้ามาใช้บริการต่างสนใจและร่วมกันปิดโทรศัพท์เพื่อรับส่วนลดนี้ เขายอมรับว่าข้อเสนอนี้ทำให้เขามีปัญหาทางการเงินในระยะสั้น แต่ในระยะยาวเขาคิดว่ามันก็คุ้มที่ได้ลูกค้าใหม่ๆ เข้ามา และเขาหวังว่าส่วนลดนี้ จะช่วยเอาบรรยากาศเดิมๆ เมื่อออกมาทานอาหารในร้าน มีการพูดคุย การชื่นชมอาหาร และเรียกมิตรภาพกลับคืนมา
ร้านของ Ibrahim ไม่ใช่ร้านแรกที่ทำแบบนี้ รวมถึงมีบางร้านที่แบนโทรศัพท์ไปเลยก็มี
Comments
ไม่ใช่ว่าการที่ลูกค้าหยิบมือถือมาเล่นแล้วถ่ายรูปอาหารแล้วเอาไปโพสต์นั้นเป็นการช่วยโฆษณาร้านหรอกหรอครับ???
ความเห็นส่วนตัวผมว่ามันไม่ได้มีผลในการโฆษณามากขนาดนั้นครับ
เห็นด้วยครับ ไม่ใช่ว่าทุกคนที่จะสามารถถ่ายทอดรูปภาพหรือบรรยากาศที่สามารถใช้ในระดับโฆษณาร้านอาหารได้
บ้านเราคง... ทำได้เฉพาะบางร้านเช่นร้านกาแฟที่ดูสงบๆ หรือถึงไม่ปิดก็มีป้ายบอกว่า งดใช้เสียงให้ตั้งสั้นเอาก็คงพอไหว - -" แต่ผมเห็นด้วยกับเจ้าของร้านที่ให้ลูกค้าปิดมือถือ ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยคิด มาเป็นคู่แต่โทษที มือถือใครมือถือมันไม่คุยกันเลย ปฎิสัมพันธ์ดูแล้วแย่จัง ขนาดผมทำงานด้าน IT บางทียังรู้สึกรำคาญมือถือตัวเอง จนอยากปิดในบางครา เคยคิดว่าถ้าฉันรวยจะเลิกใช้มือถือแล้วอยู่แบบบัฟเฟต บัฟเฟตเฮียแกไม่ใช้มือถือครับ ใช้เบอร์บ้านอยากติดต่ออะไรก็โทรคุยเบอร์บ้านโบราณๆ นี่แหละ ผมว่าดีออกไม่วุ่นวายดี บางทีโลเทคๆ ก็ดีไม่น้อย :D
ทำไม่ได้ก็แค่ไม่ได้ส่วนลดเองครับ แต่ผมว่าอาจมีคนหยิบมาบ้างแล้วพอไม่ได้ส่วนลดเลยไปเถียงเจ้าของร้านมากกว่า ^___^
A smooth sea never made a skillful sailor.
ผมก็รู้สึกแปลกๆนะคนมาทานข้าวด้วยกันไม่คุยกันเลย ทั้งๆที่เวลาทานข้าวเป็นเวลาที่คุยกันสนุกสุด
จริง! เพราะเวลาทานข้าวไปด้วยเนี่ย มันก็ต้องคุยกับเพื่อนในวงไปด้วย เพราะทุกคนวางมือจากการงานเรื่องบ้าๆ บอๆ ล้อมวงทานข้าว แต่พอมีอุปกรณ์จอสีเหลี่ยมๆ ชักขึ้นมาความสนุกมักหายไป ยิ่งถ้าทุกคนมีแล้วพกยกขึ้นมาพร้อมกันนี่ - -" บรรยากาศมัน........... อืมเอ่อ หืม....
อาการ Smartphone Addiction เริ่มเป็นมาประมาณสองสามปีหลังเนี่ยแหละ ไปที่ไหนก็ควักมาคุยมาเล่น (ผมก็เป็น) เห็นนักวิชาการเรียกว่าเป็นปัญหาด้านการเข้าสังคมประมาณว่าแก้เขินว่างั้นแหละ
คว่าไอโฟน ยกไอแพดมาบนโต๊ะ จะได้ส่วนลดรึเปล่าครับ?
เจ้าของร้านใจถึงมาก ขอคารวะ
ปัญหาระดับโลกเลยแฮะ
..: เรื่อยไป
ส่วนตัว เปิดเฉพาะเวลาร้านมาเสิร์ฟช้าครับ คือนี่คุยกันจนหมดชีวิตแล้วเฮ้ย..
ให้ส่วนลดดีกว่าแบนนะ ไม่ได้เป็นการบังคับ แต่เป็นทางเลือก
Jusci - Google Plus - Twitter
สุดยอมแคมเปญ ชอบมากครับไอเดียนี้
ห้ามไม่ได้ ก็เสนอสิ่งจูงใจแทน แนวคิดเยี่ยมมาก
เป็นผมจะไม่เฉือนกำไรขนาดนั้น ลดแค่สูงสุด 30%
ขอแซวว่าเป็นความคิดนักธุรกิจไทยแท้ๆ เลยครับ ที่ไม่กล้าได้กล้าเสีย ไม่ยอมเฉือนเนื้อตัวเอง ทำอย่างไรก็ไม่ยอมขาดทุนเด็ดขาด
เราเลยแพ้ธุรกิจจากต่างชาติที่เข้ามาแล้วกล้าได้กล้าเสีย กล้าทุ่มตลาด จนกวาดคู่แข่งคนไทยเรียบมานักต่อนักแล้ว ^^"
เคยเห็นการทำธุรกิจค้าปลีกของบริษัทต่างชาติแห่งนึง จนเข้าใจเลยว่าทำไมธุรกิจค้าปลีกคนไทยจึงแทบจะล้มหายตายจากไปหมด ที่ยังอยู่ได้ก็ไม่โตไปกว่านี้ ซึ้งเลยว่าการค้าขายของคนไทยยังมีกรอบมามัดตัวเองหมดคือถ้าขาดทุนจะไม่ทำ และคิดถึงผลในระยะสั้นเป็นหลัก แบบนี้แพ้ทางต่างชาติหมดครับ
+++1
เป็นผมก็ไม่กล้าครับ เต็มที่ให้ 10% ก็พอแล้ว สำหรับไทยมองระยะยาวไม่ได้มั๊ง ผันผวนสุดๆเดาทางไม่ออก
มันเป็นเรื่องของวัฒนธรรมรึเปล่าครับ? (เพราะผมก็คิดเหมือนท่าน neo)
ยิ่งมาเทียบกับข่าวแล้ว ผมยังสงสัยอยู่เลยว่า เขากล้าลดไปได้ยังไงตั้ง 50% - หรือว่า margin เขามากกว่านั้น?
ขายอาหารกำไรค่อนข้างเยอะครับ บางชนิดอาจจะถึง 50% ถ้าสถานที่เป็นของตัวเองแล้วด้วยยิ่งได้เปรียบครับ อีกอย่างร้านอาหารเป็นสินค้า + บริการ การมีลูกค้าเต็มร้านย่อมดีกว่าปล่อยให้โต๊ะมันว่าง ลูกค้ามากช่วยให้คนผ่านมามองว่า "ร้านนี้น่าจะอร่อย" แล้วจะมาอุดหนุนเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งด้วย
Jusci - Google Plus - Twitter
โอ้ ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ
การทำธุรกิจคงต้องมี mindset ที่เป็นแบบ macro พอสมควร มองเป็นจุดๆเล็กๆแบบผมคงไม่ไหว
เจ๋งดีครับ