ผู้บริหารของ Comcast นาย David Cohen บอกว่า เขาคาดว่าบริษัทของเขา ซึ่งเป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ จะหันมาเก็บค่าบริการอินเทอร์เน็ตตามการใช้งานจริงภายใน 5 ปีข้างหน้านี้ โดยเขาบอกว่าผู้ใช้บริการส่วนใหญ่จะใช้งานไม่เกินโควต้าที่ให้ต่อเดือนอย่างแน่นอน
นาย Cohen บอกว่าก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดว่าจะต้องหันมาทำอะไรแบบนี้ แต่อนาคตเป็นสิ่งที่คาดการณ์ยาก แค่ลองดูเมื่อ 5 ปีก่อน เรายังไม่เคยได้ยินสิ่งที่เราทุกวันนี้เรียกกันว่า iPad เลย
ทุกวันนี้ Comcast ได้มีการทดลองการจำกัดจำนวนดาต้าของผู้ใช้บริการในบางเมืองแล้ว โดยผู้ใช้ในบางเมืองจะถูกจำกัดไม่ให้ดาวน์โหลดเกิน 300GB ต่อเดือน บางเมืองก็จะได้ 600GB แต่ในรัฐบางรัฐ Comcast มีบริการเก็บค่าบริการแบบตามการใช้งานจริง ใครใช้ต่ำกว่า 5GB ต่อเดือน จะได้รับเครดิตไปใช้ในเดือนถัดไป ถ้าใช้เกินก็จะต้องจ่ายส่วนที่เกินเพิ่ม
ทุกวันนี้ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในประเทศแคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอังกฤษ เริ่มมีการเก็บค่าใช้บริการตามการใช้งานจริงไปแล้ว
ที่มา - The Verge
Comments
ก่อนกลับมาไทย รวมใจกันกับรูมเมท สมัคร Xfinity ความเร็ว 70MB มั้ง ต่อเดือน ตกคนละ $20 กว่า ๆ
ก็ยังช้ามาก ๆ เพราะแต่ละคน ทั้งบิต ทั้งดูละครออนไลน์ ทั้งโหลดหนัง ทั้งเปิดนู่นนี่ทำการบ้าน ทั้งอัพโหลดไฟล์สารพัด
(ยังไม่นับรวมมือถือของแต่ละคนที่ต่อ Wifi อีก…)
เกรงว่าถ้าคิดตามจริงอาจจะราคาสูงกว่าที่เคยจ่าย ฮาาาา เพราะใช้กันไม่บันยะบันยัง
Comcast 70 Mbps ที่ว่ามันรวม burst ด้วยป่าวครับ? และที่สำคัญ cable b/w มันแชร์ร่วมกับข้างบ้านด้วยนะครับ
10GBต่อวัน บอกเลยว่าผมไม่ถึงแน่นอนทุกวันนี้ เว้นแต่ว่าบางคนจะเอาไปโหลดหนัง แบบนี้หมดแน่นอน
ของผมบิตหนังวันนึงก็ร่วม ๆ 8GB แล้วล่ะ ^^"
เฺฮือก ผมใช้งานเฉลี้ยก็เดือนละ 300GB ล่ะ ขนาดใช้แค่ 599 ต่อเดือนนะ
แต่ที่อเมริกา ใช้ streaming service นี่ตายแน่นอน พวกนั้นวันนึงก็หลายสิบกิกแล้ว
เก็บแบบนี้ IP TV ก็ดับซิครับท่าน บ้านเดียวใช้ตั้งหลายเครื่อง
ติด FUP 256 kbps ก็ยังดีครับ อย่าคิดเงินผมเพิ่มเลย
เกมกำจัดบิท
ถ้าเก็บเมื่อไหร่ ใหญ่สุดเตรียมเล็กสุดได้เลยครับ หุหุหุ
+1
คิดเหตุผลไม่ออกว่าจะจำกัดทำไม ในเมื่อแนวโน้มต้นทุนแบนวิธมีแต่จะลดลง และปริมาณข้อมูลที่ใช้มีแต่จะมากขึ้น มันน่าจะโตไปพร้อมๆกันได้นี่ เหมือนที่เป็นๆมาเป็นสิบปีนี้ ถ้ามาจำกัดจำนวนข้อมูลแบบนี้ พวกบริการ Video Streaming ไม่ตายกันเรียบหมดเหรอ? ยิ่งในอนาคตดูวีดีโอ 4K นี่หนังเรื่องนึงก็กินไปน่าจะเกิน 10GB แล้วนะ
ผมเข้าใจสถานการณ์ละ มันก็มีมุมของมัน เรื่อง vdo streaming มันมาคู่กับอีกข่าวคือ เก็บเงินผู้ให้บริการไงครับ (มองในแง่ดีคือ มันแฟร์ ใช้มากจ่ายมาก ใช้น้อยจ่ายน้อย) มองในแง่ร้ายคือ isp ค้ากำไรเกินควรจากทั้งผู้ใช้เน็ต และ ผู้ให้บริการ content ทางออกคือการแข่งขันที่ไม่ผูกขาด จะเป็นตัวกำหนด นโยบายและราคาที่เหมาะสมโดยอัตโนมัติครับ
ผมมองว่า ถ้ารายได้ไม่เหมาะสมกับต้นทุน ก็เพิ่มราคาครับ
อย่างในไทย ถ้าคิด 590 บาท ให้ 10 Mbps ต่อเดือน แล้วทำกิจการไม่ไหว ก็ลดความเร็วลง ไม่ก็เพิ่มราคาครับ
ถูกครับ สุดท้ายมันต้องให้ตลาดจัดการ (อย่าลืมว่ามันมี cth 50Mb-1Gb เคาะค่าบริการต่ำสุดแค่ 599บาทต่อเดือน) ปล่อยให้เขาแข่งกันครับ เดี๋ยวดีเอง แต่ที่เมืองนอกที่เขาใช้เนี่ย ผมสงสัยว่าการแข่งขันเขาต่ำไป หรือผู้ให้บริการ รายใหญ่ ฮั้วราคากัน เพราะถ้ามีการแข่งขั้นกันจริง ๆ ไม่น่าจะคิดราคาาแบบนั้นได้ครับ
จริงๆ มันก็ยุติธรรมดีนะครับ คนใช้น้อยจ่ายน้อย ใช้มากจ่ายมาก ปัจจุบันคนใช้น้อยต้องจ่ายเกินการใช้งาน ส่วนคนใช้มากก็เกินคุ้มไป
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
ปัจจุบันก็เป็นแบบนั้นอยู่แล้วนะครับ ใช้ความเร็วน้อยจ่ายน้อย ใช้ความเร็วมากจ่ายมาก
เขาหมายถึงปริมาณดาต้าที่ใช้มั้งครับ ไม่ใช่ความเร็ว
Pitawat's Blog :: บล็อกผมเองครับ
อย่างแคนาดานี่ก็ใช้มาตั้งหลายปีแล้วนะ
แบบนี้ มันอาจจะลำบากคนใช้หน่อย เพราะต้องคอยมากังวลเรื่องการใช้งาน แต่มันตรงไปตรงมากว่าที่จะไปเก็บจากฝั่ง Netflix เยอะ คือคนไหนใช้เยอะก็จ่ายไป ไม่ต้องไปคิดว่า ใช้ดึงข้อมูลจากที่ไหน
ถ้าจะไม่สะท้อนตลาด เหตุผลหลักน่าจะเป็นว่า ข้อจำกัด bandwidth จริงๆ มัน real-time ดังนั้นถ้ามองในเชิงลักษณะสินค้า มันเป็น rival consumption เฉพาะเวลาที่ peak เท่านั้น (อีกทางเลือกนึงคือ ทำ peak-load pricing แต่ก็จะวุ่นวายเข้าไปอีก)
มันจะต่างอะไรกับการย้อนกลับไปใช้อินเทอร์เน็ตยุค 56kbps ล่ะนั่น
สมัยนั้น ซื้ออินเทอร์เน็ตรายชั่วโมงมาใช้งาน พอหมดก็ใช้ต่อไม่ได้ ก็ต้องไปซื้อมาใช้ใหม่อีก ลำบากตอนไปซื้อแพ็กเกจเน็ต สมัยนั้นพอมี 30 วันแบบ Unlimited ผมแฮปปี้มาก ใช้แต่แบบ 30 วันแบบ Unlimited ตลอด ถังแม้จะช้ากว่าแบบรายชั่วโมงก็เอาล่ะ (แต่มันก็ไม่ได้ช้ามากมายอะไรนะ เล่น Ragnarok ได้สบายๆ โหลดโปรแกรมได้สบายๆ ต่อเน็ตจะอยู่ที่ 49 - 56 kbps ตลอด) สมัยนั้นผมเข็ดเน็ต TOT Free ที่ต้องตัดๆ ต่อๆ ทุก 2 ชั่วโมง จนทำให้ค่าเน็ตบานตะไทถึง 2,000 - 3,000 บาท จนพ่อ-แม่ผมบ่นเลยว่า ใช้เน็ตอะไรเดือนละตั้ง 2,000 - 3,000 บาท จนในที่สุดก็ซื้อเจ้านี่มาใช้ ซึ่งก็อยู่ที่ประมาณ 3xx บาท ทำให้ค่าโทรศัพท์ที่ต่อสายโทรศัพท์ นั้น เสียไม่ถึง 500 บาทแล้ว
แล้วสมัยนี้ล่ะ ผมว่ามันต่างจากแต่ก่อนมากนั้น จากการมาของบริการออนไลน์มากมาย ไม่ว่าจะ Video Online ต่างๆ ที่ใช้แบนวิธสุดมาก การอัพโหลด/ดาวน์โหลดไฟล์ ส่งไฟล์ระหว่างกัน ยังมีพวกที่เราต้องโหลดเกมผ่านสโตร์ออนไลน์อีก ซึ่งเกมแต่ละเกมสมัยนี้ใช่ย่อยซะที่ไหน บางเกมล่อไป 10 GB+ ฯลฯ ผมว่าแบบนี้ การจำกัดแบนวิธดูจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่แล้วนะสำหรับเน็ตที่ติดตั้งตามบ้าน เนื่องจากมันมีการเชื่อมต่อที่หลากหลายอุปกรณ์มาก
นอกจากว่ามีการกำหนดเรตเอาไว้ว่า ถ้ามีการใช้ Data ไม่ถึงโควต้าที่กำหนด ก็ลดค่าใช้จ่ายลงไปตามโควต้าที่ใช้งาน แต่ถ้าใช้ถึงหรือเกินโควต้า ก็คิดราคาเต็มของแพ็กเกจนั้น เช่น กำหนด Data ไว้ที่ 300 GB, Speed 10 Mbps ราคา 590 บาท ถ้าใช้ไม่ถึง 300 GB ค่าใช้จ่ายก็ลดหลั่นลงมาตาม Data ที่ถูกใช้งาน แต่ถ้าใช้ถึงหรือเกิน 300 GB ก็จ่ายในราคาเต็มคือ 590 บาท ซึ่งหากแบบนี้จริงถึงเรียกว่ายืดหยุ่นมากเลยนะ เดือนไหนที่มีการออนต่างจังหวัดหรือออกต่างประเทศยาวหลายวัน แล้วไม่ค่อยได้ใช้เน็ตที่บ้าน ก็ทำให้ในเดือนนั้นจ่ายน้อยลง หรือไม่ต้องจ่ายเลยหากไม่มีการใช้งานใดๆ
30 วัน unlimited ตัดทุก 48 ชั่วโมงด้วยปะ ฮี่ๆ ผมก็ใช้ โหลดเพลงเยอะมาก คอมไม่เคยปิดเลย
อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ Comcast และผู้บริการอินเตอร์เน็ตผ่านเคเบิ้ล รายอื่นๆในอเมริกา ให้บริการเคเบิลทีวีพร้อมกับอินเตอร์เน็ตไปด้วยครับ
แต่ในปัจุบันในอเมริกาหลายๆคนเลิกดูเคเบิลทีวีแล้วเลือกไปดูรายการต่างๆผ่านระบบstreaming เช่น Netflix
ซึ่งทำให้ บริษัทเหล่านี้เสียรายได้
ผมเลยคิดว่า มาตรการนี้ ยิงนกได้2ตัว คือ ทดแทนรายได้ในส่วนของคนที่ยกเลิกเคเบิ้ลทีวี และ ยังสร้างความลำบากให้แก่คู่แข่งด้านให้บริการทีวี/รายการต่างๆ เช่น Netflix อีกด้วย
ระดับองค์กรนี่จะเป็นยังไงนะ