ตามธรรมเนียมของ Blognone หลังแอปเปิลเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ ก็ได้เวลาของบทวิเคราะห์ที่มาที่ไปและผลกระทบต่ออุตสาหกรรมครับ (ฉบับปีก่อน บทวิเคราะห์ iPhone 5 - จังหวะการเดินที่ช้าลงของแอปเปิล)
ต้องออกตัวอีกเช่นเคยว่าบทวิเคราะห์นี้เขียนขึ้นบนฐานจากข้อมูลในงานเปิดตัวของแอปเปิลเมื่อคืนนี้เท่านั้น อาจมีข้อมูลบางส่วนที่ขาดไป (ซึ่งอาจจะมาจากรายละเอียดเพิ่มเติมของแอปเปิลเอง หรือการจับ/ทดสอบเครื่องจริง) และอาจทำให้การวิเคราะห์ไม่แม่นยำได้
การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนโดดเด้งที่สุดของ iPhone คือเรื่อง "ขนาด" ผลสรุปของมันคือในที่สุดแล้ว แอปเปิลก็ยอมทำมือถือจอใหญ่สักที (เว้ยเฮ้ย)
ประเด็นเรื่องขนาดหน้าจอนี้ ถ้าให้วิเคราะห์ในเชิงทิศทางของอุตสาหกรรม คงพอสรุปได้ว่าในรอบ 5-6 ปีที่ผ่านมา เราเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานโทรศัพท์จาก "คุย" มาเป็น "ดู/อ่าน" อย่างชัดเจน เมื่อวิธีการใช้โทรศัพท์ต้องพึ่งพาสายตามากขึ้น ผู้ใช้ย่อมต้องการโทรศัพท์หน้าจอใหญ่ขึ้นโดยธรรมชาติ (ต่างไปจากมือถือในอดีตที่แข่งกันเล็ก ถึงขนาดโฆษณาว่าทำตกรูได้)
การเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมลักษณะนี้ต้องใช้เวลาอยู่บ้าง เพราะผู้บริโภคติดกับความคุ้นเคยแบบเดิมและต้องให้เวลาสักระยะหนึ่งในการเรียนรู้ ตัวผมเองตอนเห็น Galaxy Note รุ่นแรกเปิดตัวก็ยังคิดว่า "มือถือใหญ่จังใครจะไปใช้" แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ปรับตัวเข้ากับมันได้ ตอนนี้กลายเป็นว่ากลับไปใช้มือถือจอเล็กกว่า 5 นิ้วไม่ได้แล้ว (ต้องให้เครดิตซัมซุงว่ามองเกมขาดมาก)
เมื่อตลาดโดยรวมไปในทิศทางนี้ แอปเปิลย่อมฝืนกระแสไม่ไหว และยอมปรับตัวตามในที่สุด
เรื่องนี้จะไม่เป็นประเด็นอะไรเลย ถ้าหากแอปเปิลไม่เคย "ออกตัวแรง" ไว้เยอะแยะมากมายในอดีต เช่น สตีฟ จ็อบส์ ถึงขนาดพูดเอาไว้ว่า no one's going to buy that หรือโฆษณาของแอปเปิลที่เคยชูจุดเด่นเรื่องหน้าจอขนาดเล็กพกพาสะดวก นิ้วกวาดทั้งจอได้ง่าย (ขอบคุณคุณ pongmile ช่วยแปะคลิป)
พอมาถึงยุค iPhone 6 ที่แอปเปิลยอมปรับหน้าจอมือถือให้ใหญ่ขึ้น (ขึ้นไปถึง 5.5 นิ้วในรุ่น iPhone 6 Plus) ก็ต้องบอกว่างานนี้ กลืนน้ำลายตัวเอง แบบเต็มๆ ครับ
ผมเคยเขียนถึงประเด็นเรื่องนี้ไว้หลายรอบแล้ว การกลืนน้ำลายตัวเองหรือลอกคู่แข่งนั้นมีผลแค่ "เสียศักดิ์ศรี" (และทำสาวกเงิบ) แต่ "ประโยชน์" ที่ตกถึงแก่ผู้บริโภคทั่วไปจากพัฒนาการทางเทคโนโลยีที่แข่งกันไปมา ลอกกันไปมา นั้นเยอะกว่ามากมายมหาศาล ดังนั้นการทำจอใหญ่ของแอปเปิลจึงไม่เสียหายอะไรเลยทั้งในแง่ธุรกิจ (ของขายดีขึ้น) และผู้ใช้งาน
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือรอบนี้แอปเปิลเปิดตัว iPhone ทีเดียว 2 รุ่นย่อย เรื่องนี้ต่างไปจาก iPhone 5s/5c เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเป็นสินค้าคนละตัวกัน แต่รอบนี้ iPhone 6 กับ iPhone 6 Plus เป็นสินค้าตัวเดียวกันที่มีรุ่นย่อย (variation) ต่างไปตรงขนาดหน้าจอกับ OIS เท่านั้นเอง (อ่าน เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง iPhone 6 และ iPhone 6 Plus อะไรบ้างที่ไม่เหมือนกัน)
ผมคิดว่า iPhone 6/6 Plus เป็นปฏิกิริยาโต้ตอบของแอปเปิลต่อทิศทางของตลาดมือถือ ที่เริ่มหมุนไปในทาง phablet มากขึ้น (ข่าวเก่า DisplaySearch ระบุแท็บเล็ตจอเล็กถูก phablet กดดัน ยอดตกเป็นครั้งแรก) บวกกับพฤติกรรมของผู้บริโภคเองที่มีขอบเขตของ "จอใหญ่" ที่อาจแตกต่างกันไป (เช่น บางคนบอก 5 นิ้วใหญ่ บางคนบอกไม่ใหญ่)
ในเรื่องนี้ ผู้ผลิตมือถือรายอื่นใช้ยุทธศาสตร์ออกมือถือจอขนาดปกติและจอใหญ่ควบคู่กันไป (เช่น Galaxy S/Note, Xperia Z/Z Ultra, HTC One/One Max, Lumia 920/1520) เพื่อให้ตลาดเป็นคนเลือกว่าชอบมือถือขนาดไหน จึงไม่น่าแปลกใจอะไรที่แอปเปิลต้องเดินรอยตามบ้าง
อย่างไรก็ตาม ความเป็นแอปเปิลและนโยบายเรื่อง fragmentation ทำให้แอปเปิลเลือกไม่ออกผลิตภัณฑ์ 2 ตัวที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ใช้วิธีออกสินค้าที่ไส้ในเหมือนกันแทบทุกประการ ต่างกันที่ขนาดหน้าจอเพียงอย่างเดียวแทน (ผมเชื่อว่าถ้าทำได้ในเชิงเทคนิค แอปเปิลจะยัด OIS เข้ามาใน iPhone 6 รุ่นปกติด้วย)
นโยบายนี้น่าจะช่วยลดความสับสนของลูกค้าแอปเปิลในแง่การเปรียบเทียบสเปกระหว่าง iPhone 6/6 Plus ด้วย เรียกว่าบีบให้เหลือปัจจัยในการเลือกรุ่นแค่เรื่องขนาดหน้าจอเพียงอย่างเดียว
เรื่อง NFC เป็นอีกประเด็นที่แอปเปิลต้องกลืนน้ำลายตัวเอง หลังจากโดนอุตสาหกรรมกดดันให้ใส่ชิป NFC เข้ามาอยู่หลายปี
ผมเชื่อว่าแอปเปิลพยายามมองหาเทคโนโลยีอื่นๆ (เช่น Bluetooth) สำหรับโซลูชันการจ่ายเงินด้วยมือถืออยู่พักใหญ่ๆ แต่ไม่ประสบความสำเร็จจนต้องกลับมายอมทำ NFC เหตุผลส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเทคโนโลยี mobile payment ไม่ได้ขึ้นกับตัวอุปกรณ์พกพาเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอิงกับ ecosystem ของเครื่องจ่ายเงินตามร้านค้าต่างๆ ด้วย เมื่อองค์กรด้านการเงินทั่วโลกมีความเห็นร่วมกันว่าจะใช้ NFC (แม้ในรายละเอียดปลีกย่อยอาจเห็นไม่ตรงกัน) แอปเปิลจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมใช้ NFC ตามชาวบ้านเขา
เราคงไม่ต้องกล่าวถึงประเด็นเรื่องลอก/ทำตามหลังชาวบ้านกันอีกนะครับ โดยสรุปแล้ว การที่แอปเปิลยอมใส่ NFC เข้ามาใน iPhone 6 ถือเป็นผลดีต่อวงการ mobile payment ในภาพรวม เพราะจะได้ข้อสรุปเรื่องฮาร์ดแวร์กันสักที แถมชื่อเสียงและแบรนด์ของแอปเปิลย่อมเป็นผลดีต่อการผลักดันร้านค้าปลีกทั่วโลกให้หันมาสนใจใช้ระบบ mobile payment เร็วขึ้นด้วย
สิ่งที่น่าสนใจใน Apple Pay มีอยู่สองประการ (อ่านรายละเอียดเรื่อง Apple Pay)
อย่างแรกคือระบบความปลอดภัยที่แอปเปิลเตรียมพร้อมมาค่อนข้างดี ในการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ประเด็นเรื่องความปลอดภัยมีผลต่อความมั่นใจของผู้บริโภคมาก ซึ่งตรงนี้แอปเปิลต่อยอดระบบความปลอดภัยจากแพลตฟอร์มยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลชีวภาพ (Touch ID) ของตัวเอง ร่วมกับการเก็บข้อมูลเข้ารหัสลงชิปแยกเฉพาะ (ที่เราเรียกว่า secure element) เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูลการเงินที่อ่อนไหว ผมคิดว่าเรื่องมาตรการความปลอดภัยหลายชั้นแบบนี้ แอปเปิลค่อนข้างล้ำหน้าคู่แข่งไปมาก (ในการใช้งานจริงจะปลอดภัยแค่ไหนต้องดูกันยาวๆ) และน่าจะเป็นตัวกระตุ้นให้มือถือค่ายอื่นต้องหันมาทำตามกันถ้วนหน้า
อย่างที่สองคืออิทธิพลของแอปเปิลในอเมริกา ซึ่งแอปเปิลมีส่วนแบ่งตลาดมือถือสูงมาก ทั้งในแง่ยอดขายจริง (สถิติของ comScore เดือนกรกฎาคม 2014 คือ 42.4%) และอิทธิพลทางความคิดต่อผู้คน (mindset) ดังนั้นการที่แอปเปิลลงมาผลักดัน Apple Pay เต็มตัว ย่อมกระตุ้นให้ธุรกิจร้านค้าทั่วอเมริกาจับตามอง และสนใจปรับตัวให้พร้อมรับเทคโนโลยีของแอปเปิลมากขึ้น (ลองนึกว่าถ้าเป็นไมโครซอฟท์ออกมาเปิดตัวระบบจ่ายเงินแบบเดียวกันเป๊ะสิครับ อิทธิพลมันย่อมต่างกัน)
ผลคือธนาคารและร้านค้ารายใหญ่จำนวนไม่น้อย ยินดีเข้าร่วมกับแอปเปิลตั้งแต่เปิดตัว
อย่างไรก็ตาม จุดเด่นของแอปเปิลเรื่องอิทธิพลในอเมริกาก็มีด้านกลับว่า อิทธิพลนี้ใช้งานแทบไม่ได้เลยนอกอเมริกา แอปเปิลจะสามารถผลักดัน Apple Pay ได้มากน้อยแค่ไหนในยุโรป (ที่แอนดรอยด์มีส่วนแบ่งตลาดสูงมากในหลายประเทศ) และเอเชีย (ที่ยังอาจยึดติดกับเงินสดแบบเดิมๆ อยู่) เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป
นโยบายของแอปเปิลในงานเปิดตัว iPhone ทุกครั้งคือชูจุดขายเรื่องประสิทธิภาพเหนือสเปกเป็นตัวเลข ซึ่งรอบนี้ก็ยังเดินหน้าต่อไปในทิศทางเดิม
ช่วงหลังแอปเปิลหันมาใช้หน่วยประมวลผลของตัวเอง ทำให้เปรียบเทียบสเปกตรงๆ กับคู่แข่งได้ยาก (และแอปเปิลก็ไม่ค่อยอยากทำ ดังจะเห็นได้จากการพยายามปิดบังสเปกเชิงตัวเลขเสมอมา) สิ่งที่แอปเปิลทำคือโฆษณาเรื่องประสิทธิภาพผลลัพธ์จากการใช้งานจริง ซึ่งรอบนี้ก็บอกว่าซีพียูของ iPhone 6 ดีขึ้นกว่า iPhone รุ่นแรกถึง 50 เท่า
ส่วนจีพียูก็ดีขึ้นกว่ารุ่นแรก 84 เท่า
เรื่องของกล้องถ่ายภาพก็ไม่ต่างกัน นับตั้งแต่ iPhone 4 เป็นต้นมา แอปเปิลชูจุดขายเรื่องกล้องมาโดยตลอด (ซึ่งผลลัพธ์ก็ถือว่าเป็นอันดับต้นๆ ในวงการเช่นกัน) และรอบนี้แอปเปิลก็พยายามผลักดันเทคโนโลยีกล้องไปสุดตัว ทั้งในแง่ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
พัฒนาการทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นผลดีกับผู้บริโภคอย่างแน่นอนครับ แต่ถ้าถามว่าผลลัพธ์ที่ได้จากการเพิ่มสมรรถนะทางฮาร์ดแวร์ (marginal gain) นั้น "เยอะ" ในเชิงสัมพัทธ์เมื่อเทียบกับปีก่อนๆ หรือไม่ ก็คงต้องบอกว่ามันลดลงตามธรรมชาติอยู่แล้ว (ตามหลัก law of diminishing returns) ซึ่งตรงนี้เกิดขึ้นกับมือถือทุกราย ไม่ใช่แค่แอปเปิลรายเดียว
โดยสรุปคือพัฒนาการทางสมรรถนะฮาร์ดแวร์ของ iPhone 6 นั้นเดินหน้าด้วยอัตราปกติ เฉกเช่นเดียวกับปีที่แล้ว แต่ด้วยสภาพการณ์ในตลาด ทำให้เราอาจรู้สึกว่ามันเปลี่ยนจากเดิมไม่เยอะนัก
งานเมื่อคืนนี้ไม่มีพูดถึง iOS 8 มากนัก เพราะรายละเอียดถูกพูดถึงในงาน WWDC 2014 ไปหมดแล้ว แต่จะวิเคราะห์ iPhone 6 โดยไม่พูดถึง iOS 8 เลยก็เห็นจะไม่ได้
ถ้าเปรียบเทียบน้ำหนักกันแล้ว iOS 8 อาจถือเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดของแอปเปิลในปีนี้เลยก็ว่าได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างใน iOS 8 สะท้อนให้เห็นถึงนโยบายของ "แอปเปิลยุคใหม่" ภายใต้การนำของ Tim Cook ที่ดูเปิดกว้างและยินดีร่วมมือกับคนอื่นมากขึ้น เช่น เปิดให้มีคีย์บอร์ดภายนอก, เปิด Touch ID ให้คนอื่นใช้งาน, เปิดให้แอพสามารถคุยกันเองได้ ฯลฯ (รายละเอียดของ iOS 8 อ่านในข่าวเก่า แอปเปิลเปิดตัว iOS 8 ไม่มุ่งเน้นทำสิ่งใหม่ แต่ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น)
ผมคิดว่าในภาพรวมแล้ว iOS 8 สะท้อนทิศทางของแอปเปิลเองว่าเริ่มเปลี่ยนจากการมองสินค้าตระกูล iDevice ในฐานะ "อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์" มามองให้มันเป็น "แพลตฟอร์ม" เชิงนามธรรมมากขึ้น แอปเปิลเริ่มขยับโมเดลธุรกิจของตัวเองจากการขายสินค้าเชิงกายภาพ (หาเงินจากการขายของตรงๆ) มาเป็น "พ่อค้าคนกลาง" ที่เปิดแพลตฟอร์มของตัวเองให้คนอื่นเข้ามาทำมาหากิน (แล้วเก็บรายได้จากค่าธรรมเนียม) มากขึ้น
ในแง่ผลิตภัณฑ์แล้ว iPhone 6 ทำลายข้อจำกัดเดิมๆ ของ "สินค้าตระกูล iPhone" ไปเกือบหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขนาดหน้าจอหรือ NFC และเมื่อบวกกับแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์และบริการที่เข้มแข็งของแอปเปิล (ที่ดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว) มันจึงถือเป็นสินค้าที่ยอดเยี่ยมมากของตลาดมือถือในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ด้วยระดับราคาของ iPhone 6 เปรียบเทียบกับสภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรมมือถือในปัจจุบัน ทำให้เกิดคำถามว่าเรายังจำเป็นต้องใช้มือถือราคาเกิน 2 หมื่นบาทอีกหรือไม่
ผมเคยตั้งคำถามเรื่องนี้มาแล้วหลายครั้ง (เช่น ในบทวิเคราะห์ Galaxy S5 หรือ iPhone 5c) และสภาพตลาดในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาก็เป็นหลักฐานชั้นดีที่ชี้ให้เราเห็นว่า "มือถือราคาถูกที่คุณภาพดีพอ" กำลังกินตลาดมือถือรุ่นท็อปมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น Zenfone ที่เน้นเจาะตลาดมือถือหลักพันโดยตรง หรือมือถือฝั่งจีนหลายค่าย (Xiaomi, Meizu, Oppo, OnePlus) ที่ออกมือถือสเปกสุดแรงในราคาถูกเหลือเชื่อ
ในแง่ความแตกต่างของสินค้า แอปเปิลยังสามารถสร้างจุดเด่นของตัวเองผ่านซอฟต์แวร์และบริการ (รวมถึงแบรนด์) ให้แตกต่างจากมือถือคู่แข่งได้ และน่าจะยังคงรักษาตลาดมือถือระดับบน-แฟนพันธุ์แท้ได้ต่อไป (อธิบายง่ายๆ คือคนที่เหนียวแน่นกับ iPhone อยู่แล้ว ยังไงก็ซื้อต่อไป)
แต่ในกลุ่มลูกค้าที่ไม่ภักดีกับแบรนด์มากนัก และมีความอ่อนไหวเรื่องราคาอยู่บ้าง ก็เป็นเรื่องที่น่าตั้งคำถามต่อไปว่า แอปเปิลจะยังรักษาฐานลูกค้ากลุ่มนี้ได้มากน้อยแค่ไหน
Comments
ตอนแรกคิดว่าต้องซื้อแน่นอน แต่พอเห็นนาฬิกาที่ต้องรอรีวิวอีกทีก็ปีหน้าเลย (เหมือนโดนบังคับให้ต้องเปิดตัวทั้งที่ไม่พร้อมยังไงก็ไม่รู้สิ?) เลยขอดู NEXUS 6 ก่อน ก่อนจะตัดสินใจว่าจะซื้อดีไหม...
/me พอเป็นแบบนี้เลยดีใจที่ไทยไม่อยู่ในกลุ่มประเทศแรกที่จะได้ขาย
nexus6 ไม่มีครับ มีแต่ nexus 5 2014
จอ 5.2 QHD
CPU 805
กล้อง 13 ล้าน
spec กินขาดครับ
กล้องเทียบแค่นั้นมันบ้านมากครับ มันโฟกัสได้แบบ iPhone ตัวใหม่ไหม? ถ่าย 240 เฟรม/วิ ได้ไหม? นี้แค่ 2 เรื่อง
อย่าคับๆ อย่าออกตัวแรง ถ้าคุณยังไม่รู้จัก nexus 6(nexus 5/2014) เดียวเงิบนะครับ
ในข่าวนี้ก็บอกไว้นะครับ ว่าอย่าไปเทียบสเปก
ผมว่ามีคนใช้งานฟีเจอร์นี้ไม่ถึง 1 ใน 100 ของคนใช้ iPhone ครับ :)
~ HudchewMan's Station & @HudchewMan~
น่าจะใช้น้อยแหละครับ แต่พวก Pixels เยอะ ๆ เนี่ยจริง ๆ ก็ไม่ค่อยแคร์มากครับ ตราบใดที่คุณภาพของภาพตอนขึ้น Facebook มันยังดีอยู่
อย่าง 41MP ของ Lumia 1020 มันไปช่วยตรงตอนทำ Oversampling แล้วไม่ค่อยมี Noise ครับ ซึ่งตรงนี้มันเลยได้คุณภาพดี
แต่ถ้ามี 5MP แล้ว Noise ไม่ค่อยมีเหมือน Lumia 1020 ผมว่ามันก็แทบไม่ต่างกันเลยครับ (ยกเว้นจะ Zoom ซึ่งอันนี้อีกเรื่องนึงนะ)
ใจเย็นครับ อย่าออกตัวแรงแบบเม้นบนว่า :) มือถือดีทุกเครื่องครับ ยิ่งเครื่องที่อยู่ในมือเรา ดีที่สุดครับ ไม่ต้องเปรียบเทียบกัน #ยกถ้วยไปเก็บ #ไม่อยากกินมาม่าตอนนี้ #อิ่มอยู่
ฟีเจอร์ที่เอาไว้อวดเพื่อนไม่เกิน3วันก็เบื่อ
มีก็ดี ไม่มีจะดีกว่า #อย่าต้มน้ำครับ
ผมใช้ Z2 ยังปรับกล้องแค่ 8M เลยครับ 2M มันแชร์ลำบาก เปลือง net อีก
เอ่อ... ปรับเหลือแค่ 2M มั้งครับ ฮ่า
สมัยก่อนผมก็ปรับเหลือ 2M เหมือนกันเพราะจะได้ไม่เปลืองที่ แต่ทุกวันนี้ถ่ายเต็มความละเอียด เพราะหลายๆ ครั้งต้องการความละเอียด เลยขี้เกียจปรับไปปรับมา
ถ้าจะแชร์ค่อยลดขนาดภาพเหลือแค่ 1600 pixel :) เพราะแชร์น้อยกว่าใช้ ^^'
~ HudchewMan's Station & @HudchewMan~
อ้าว พิมพ์ผิด กลายเป็น 2M จริง ๆ ตั้งใจพิมพ์ 20M ครับ
ข้อดีของ 20 M คือ ถ่ายสาดไปก่อน แล้วเอามา load ใส่โปรแกรมจำพวกเผาฟีมล์ crop ภาพให้ได้สัดส่วน ทีหลังครับ
เวลาถ่ายรูปก็ยืนไกลนิดนึง แล้วกด สาดไปตูม ๆๆๆๆๆๆๆ ถ่ายติด background เยอะ ๆ crop ภาพสะดวก
ผมก็ทราบครับ แต่ผมเลือกที่จะใช้ 8M เพราะผมเห็นว่ามันเพียงพอแล้วสำหรับผม
เมื่อก่อนผมเล่น DSLR ผมก็จัดเต็มครับ jpg+raw แต่ มาตอนนี้ใช้เท่าที่คิดว่าดีพอครับ
ผมมองว่า iPhone ขายสมราคานะครับ ทั้งเรื่องบอดี้โลหะ การออกแบบที่สวยงาม ความเบา ความบาง iOS ที่มีความเสถียรสูง แอพที่มีคุณภาพ กล้องที่ดีจริงและใช้งานง่าย อุปกรณ์เสริมเพียบ บลาๆ
ประเด็นของผมคือคำว่า "สมราคา" มันเป็นนิยามที่เลื่อนไหลไปตามกาลเวลาน่ะครับ
source
หลายคนเปรียบเทียบ Spec ต่อราคา จนลืมไปหรือเปล่า Software และการขับเคลื่อนภายในที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อด้วย ไหนจะการออกแบบการใช้งานที่ง่ายสำหรับ End User จริงๆ หลายคนยอมจ่ายและย้ายมา Apple ด้วยเหตุผลนั้น ที่เห็นรอบๆตัวก็มีอยู่มากเหมือนกัน
ส่วนตัว ในเรื่อง Software โดยรวม เกมด้วย ในตอนนี้ฟาก Android ยังมีประสิทธิภาพไม่ค่อยดีเมื่อเทียบกับ iOS (ไม่ใช่ทุกแอพนะครับ) รวมถึง Ecosystem ที่เอื้อประโยชน์มาก การจะย้ายมา Apple จึงไม่ใช่เรื่องแปลก หรือจะย้ายหนีไปใช้ Android ก็ไม่แปลกเช่นกัน
พี่มาร์คพูดถูกตรงที่ตอนนี้มีมือถือราคาถูกแต่ประสิทธิภาพดีออกมาเพียบ เลยทำให้คนหันไปใช้พวก Zenfone, MI3, MiPad, OnePlus One กันเยอะขึ้น ผมว่าส่วนนี้ถ้า Apple ทำได้ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้ามาแบบช่วง 5c นี้ไม่ต้องทำก็ได้นะครับ
แค่มนุษย์คนนึงที่อยากรู้เกี่ยวกับวงการไอที
ตอนนี้ผมใช้ Mi3 อยู่ครับ ในแง่ MIUI rom ผมถือว่าทำออกมาได้ดีมาก ฟังก์ชั่นมีประโยชน์เยอะและดีกว่า android rom ทั่วๆ ไป ติดตรงเดียวแอพของ android เองที่ไม่ค่อยดีเท่าไรเมื่อเทียบกับอีกฝั่งและ MIUI ไม่ค่อยเสถียรเท่าไร ผมเปลี่ยนมา android เพราะคิดถึง T-swipe pro ตอนนี้ iOS 8 ก็มี keyboard swipe แล้วก็รอแต่ว่ามีภาษาไทยเมื่อไรผมก็จะเปลี่ยนกลับไปใช้ iPhone เหมือนเดิม อีกอย่างที่ชอบคือ App store แจกแอพฟรีทุกวัน คนชอบมองว่า android มีแอพฟรีเยอะ iOS เสียตังค์แต่เอาเข้าจริงๆ ผมว่า iOS เราได้ใช้แอพที่เสียตังค์ฟรีๆ บ่อยมาก ฝั่ง android นี่แทบไม่เคยเห็นฟรีเลย น้อยครั้งมาก ลดราคาก็นานๆ ทีลด
เหตุผลหลักๆที่ Android ไม่ค่อยแจกฟรี เพราะอัตราการซื้อแอพและ in-app เมื่อเทียบกันแล้ว iOS ยังดีกว่า จึงไม่แปลกใจว่าทำไมชอบแจกฟรีหรือลดราคาบ่อยกว่าเจ้าอื่นครับ ยิ่งในไทยไม่ต้องพูดถึง ร้านตู้บางร้านลงให้เสร็จสรรพ อยากได้เกมไหนจัดให้ไม่ต้องซื้อเอง ก็เป็นส่วนหนึ่งด้วยครับ
แค่มนุษย์คนนึงที่อยากรู้เกี่ยวกับวงการไอที
สำหรับผม ยังหามือถือ droid รุ่นไหรที่รับ gps ได้ดีเท่า iphone สักเครื่องเลยคับ ทั้งๆที่ใช้ sygic เหมือนกัน แต่การรับสัญญาน และ การใช้งานคนละเรื่องเลย ตอนนี้ใช้ z1 รอ i6+ จะซื้อมาใช้เพราะผมใช้ app ที่มี gps เยอะอยู่เสียอย่างเดียว gps ใน droid หาดีๆยากมาก
GPS ไม่ดีเพราะ Software หรือ Hardware ครับ
เรื่องนี้ผมขอแย้ง สุดตัวครับ GPS ใน Iphone หลุดบ่อยๆมากๆ แถม Map สถานที่ก็ไม่ตรงกับความเป็นจริงเท่าไหร่นัก
ผมใช้ ขับรถไปตจว.(หรือว่าไปบ้านนอก สัญญาญเลยไม่มี) หลงทุกที จนต้องจอดถามทางคนในชุมชน
ถ้าใช้ Sygic แผนที่แบบออฟไลน์ผมไม่เคยหลุดนะ
แต่ถ้า Apple Maps อันนี้หลุดบ่อยเพราะ wifi ไม่มีสัญญาณ
ปกติผมใช้ Google Map นำทางครับ
จากที่ได้เดินทางไปกับพี่ที่ใช้ iPhone แล้ว ผมขอบอกว่าผมไว้ใจเจ้า Sony Xperia S ในมือผมมากกว่าเยอะเลย :)
~ HudchewMan's Station & @HudchewMan~
ปกติผมใช้ Google Maps บน iPhone นำทางครับ
//อย่าถามว่าทำไมไม่ใช้ Apple Maps นะครับ :-D
ผมไปงานบวชเพื่อนกัน หาทางไปวัดไม่เจอ ผมมี nexus 5 เพื่อนอีกคนมี IP5 อีกคนมี lumia 920
nexus 5 พาขับรถวนรอบวัด
IP 5 รถผมวิ่งในป่าแถบจะตลอดเลย
lumia ดีสุดนะ ไม่หลง เพราะ here
นั่งอยู่ในรถคันเดียวกันนะ เปิดคนละเครื่องเลย
อันนี้มันเรื่องการนำทางของ app ครับ ที่เค้าบอกคือเรื่องการรับสัญญาณ GPS ควรจะเทียบ app เดียวกันว่าสัญญาณใครไว ใครเสถียรกว่า
ส่วนตัวคิดว่า Android คงมีรุ่น GPS ดีนะครับ แต่ test ก่อนซื้อยาก iPhone ด้วยประวัติเค้าทำมาค่อนข้างดีตลอด ตอนนี้ผมใช้ G2 สัญญาณไม่ดีเท่าไหร่ หลุดบ่อย
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
ผมยอมแพ้กับ GPS ของ LG ครับ ถึงแม้ว่าจะชอบหน้าจอ T-T
~ HudchewMan's Station & @HudchewMan~
อีกเสียงครับ ทุกอย่างดีหมด เสียตรง GPS ห่วยมาก เลยยกให้ที่บ้านไปใช้ซะ
มันมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ GOOGLE MAP มันเอ๋อๆ ครับ (เป็นอยู่นานด้วย) แต่ตอนนี้กลับมาไว้ใจได้เหมือนเดิมแล้วครับ
ลอง Moto G สักเครื่องสิครับจะติดใจ
ผมใช้ Map มาตลอดหลายๆเครื่อง เครื่องนี้แหล่ะ แม่น และเร็วสุดๆ iphone 5 ที่บ้าน กระจอกไปเลย
+1
Moto G , Moto E ครับ GPS แม่นยำและเสถียรมาก (กว่า Xperia M) จากประสบการณ์การใช้งานจริงครับ
+1
Moto G ใช้ GPS ได้เร็วมากและแม่นมากครับ
เฮ้อ Xperia M เนื้อที่น้อย แถมย้ายแอพไปเอสดีไม่ได้อีก
ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่คุยเท่าไร แค่หาที่บ่นครับ
ผมว่า Ecosystem เป็นปัจจัยหลักสำคัญที่ทำให้ผมอยู่กับสินค้าตระกูล Apple นะครับ
ผมเริ่มจากการใช้ iPad 3 ก่อน ตอนนั้นรู้สึกว่าไม่มีแทบเล็ตอันไหนที่ตอบสนองได้เท่า iPad แล้วครับ ทั้ง Aspect Ratio ที่มีมาพอดีมากจริงๆ ประกอบกับเกม และแอพประเภทอ่านหนังสือต่างๆ รวมถึงได้ไปลองแทบเล็ตหลายๆ รุ่นของฝั่ง Android ผมก็ไม่รู้สึกว่าแทบเล็ตอันไหนที่ผมชอบกว่า iPad เลย
จากนั้นก็ขยับมา iPhone 5S จากเดิมใช้ Sony Xperia Z อยู่ ทั้งๆ ที่ในใบสเป็คบอกว่าเรื่อง Hardware นี่ Xperia Z (น่าจะ)กินขาด แต่ผมกลับใช้ iPhone 5S ได้อย่างสะดวกสบายมากกว่า ทั้งเรื่องอาการเครื่องร้อน กล้อง การกระตุกของเครื่อง iPhone ทำได้ดีกว่ามาก รวมถึงในแง่ Ecosystem ที่อยู่ๆ ผมมาใช้ iPhone 5S แต่ก็สามารถใช้ข้อมูลจาก iPad ได้เกือบทั้งหมด ทำให้พอนำเครื่องมาใช้แล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องมานั่งเซ็ตใหม่อะไรมากมาย (หรือเพราะว่ามันไม่ได้มีอะไรให้เซ็ตก็ไม่ทราบเช่นกัน)
ก่อนที่ iPhone 6 จะเปิดตัว ผมเคยบอกกับคนอื่นไว้ว่า ถ้าเครื่องมันเป็นตามที่ข่าวลือออกมา ผมคงไม่อยากจะซื้อ แล้วหันกลับไปซบอก Sony ต่อเหมือนเดิม แต่ท่าทางจะต้องคิดใหม่ เพราะแค่คิดว่าจะกลับไปใช้ Android ก็ทำให้รู้สึกไม่ค่อยไม่สบายใจ เหมือนกับต้องเปลี่ยนอะไรใหม่อีกแล้ว (ซึ่งรู้สึกไม่อยากเปลี่ยนมือถือด้วยเหตุผลที่ว่านี้มาหลายครั้งแล้ว เพราะเปลี่ยน Android เครื่องใหม่ทีไร รู้สึกเหมือนต้องมานั่งเซ็ตอะไรใหม่หมด)
แต่สุดท้ายแล้ว ตามที่คนเคยออกมาเปิดเผยว่า ต้นทุน [Hardware] ของ iPhone หลายๆ รุ่น จริงๆ แล้วมีมูลค่าน้อยมากๆ เป็นการทำให้คนรู้สึกถูกเอาเปรียบในด้านราคา จนคนลืมคิดไปว่า กว่าจะได้เอาเศษเหล็กพวกนี้มาประกอบกัน กว่าเครื่องจะใช้งานได้ ผู้พัฒนายังมีต้นทุน [Software] ที่รวมถึงการ Design, Realization, Software, และ Experience ของผู้บริหาร ที่ยังนับเป็นต้นทุนรวมของตัวเครื่อง รวมถึงต้นทุนในด้าน Ecosystem เช่นในแง่ของเซิร์ฟเวอร์อีกด้วย สำหรับบางคนที่ไม่ได้ต้องการ ไม่ชอบการถูกผูกมัด หรือคิดว่า Apple ยังทำระบบเช่นนี้ได้ไม่ดีพอ ก็จะไปเลือกแอนดรอยด์ หรือวินโดวส์โฟนแทน ก็ไม่แปลกอะไรครับ
จริงๆ ผมรอลุ่น Windows อยู่นะครับ ว่าจะทำได้แบบ Apple หรือไม่ เพราะยังไงชีวิตประจำวันก็หลีกเลี่ยงการใช้ Windows ไม่ได้อยู่ดี
คิดแต่เรื่องซอฟต์แวร์อย่างเดียวก็ไม่ได้นะครับ ต้องคิดถึงเรื่องการอัพเดตของซอฟต์แวร์ด้วยว่าหลังอัพเดตไปแล้วฮาร์ดแวร์ยังมีประสิทธิภาพพอที่จะทำให้ประสบการณ์ใช้งานโดยรวมยังใกล้เคียงกับประสบการณ์เดิมที่ได้รับมา
ยกเว้นแต่จะเปลี่ยนเครื่องใหม่บ่อย ๆ ก็ไม่ต้องคิดอะไรครับ
+1 ครับ
+1
iPad Mini 1 หลังอัพเดต 7 กับ 7.1 แล้วเจอแอพเด้งมากครับ(แอพใช้งานไม่ได้นั่นล่ะ) ไม่เหมือนตอนใช้รุ่น 6 ปัญหาหลักๆคือสเป็กมันให้มาน้อยเกินไป เวลาอัพเดตแล้วมันเหมือนกลายเป็นคนขาด้วนข้างหนึ่งแล้วพยายามไปแข่งวิ่ง 100 เมตรครับ
ส่วน iPad Air ลื่นมาก แทบไม่เจอแอพเด้ง
ปล.ที่พูดมาคือมีไอแพดสองเครื่องเครื่องรองนะครับ เครื่องหลักผมเลยใช้แอนดรอยดีกว่า ระบบโดยรวมมันดีกว่าเยอะ
ต้องดูแอพเป็นตัวๆ ครับ บางทีแอพมันไม่ update ให้รองรับ OS ตัวใหม่จะไปโทษ OS ก็ไม่ถูก
iPhone4 ผมอัพ iOS7 แล้วอืด หน่วงแบบอยากจะเขวี้ยงทิ้งเลย (แต่ใน pantip หลายคนมาบอกว่า iphone4 อัพแล้วลื่นกว่าเดิม หึหึ)
พออัพ 7.1 แล้วเหมือนเป็นคนละเครื่องไปเลย เครื่องวิ่งลื่นขึ้นมากๆ แต่ยอมรับว่า iOS6 ไวกว่าเยอะ คงเพราะสมรรถนะเครื่องมันมาได้แค่นั้น
วันนี้ม.ผมคุยกันtalk of the town แต่บ่นว่าออกแบบกากไม่อยากซื้อแล้วจะรอดูสาวกกลืนน้ำลายตัวเอง หึหึ
มีความสุขเล็กๆกับมือถือ925เก่าๆต่อไป....
มีเพียงเรื่องราคา ที่พอจะทำให้หวั่นไหว
Apple ยอมทำมือถือจอใหญ่ แต่ก็ออก Feature ที่เรียกว่า Reachability เพื่อแก้ปัญหามือถือจอใหญ่เกินไปจนใช้งานมือเดียวไม่ได้ออกมาด้วย น่าสนใจมากๆ ครับ Hands-on with Larger iPhone 6 and Much Larger iPhone 6 Plus
ส่วนของซัมซุงนี่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก ฟังก์ชั่นเยอะเกิน
แก้ปัญหาเดียวกัน แต่วิธีดูจะไม่เหมือนกันเท่าไหร่ ต้องรอดูว่าวิธีของ Apple จะเวิร์คแค่ไหน
ซซ ทำฟังก์ชั่นมาถึงไอเดียจะดี แต่ไม่ค่อยคำนึงถึงการใช้งานจริงเท่าไหร่ fail มาหลายอันแล้ว เดาว่า apple ทำได้ดีกว่า
อย่าไปทำให้เค้ามองว่าคุณมองโลกกว้าง เปิดใจ ยอมรับสิ่งใหม่ ไม่ยึดติด เลยครับ
^_^ บอกเลย รอบนี้เปิดตัว เสียแรงที่รอคอย ดีไซน์ ไม่ชอบเลยจริงๆ
ผมว่าเป็นกา่รใช้งานที่ยุ่งยากเพิ่มขึ้น อย่างน้อย เราก็ต้องกดปุ่มเพิ่มขึ้นอีกสองครั้ง
ไม่มั่นใจว่าต้องกดกลับให้ไปเต็มหน้าจออีก 2 ครั้งไหม รวมเป็น 4
จริงด้วยครับ แล้วตอนพิมพ์ล่ะ? keyboard จะเด่งขึ้นมาบังจอไหม?
ผมว่ามีมึนอ่ะ คงต้องรอดูกันต่อไป
คล้าย Z3 เลยครับ ทำให้อยากได้มาก เบื่อ android ที่ชอบทิ้งขว้างกันทั้งๆที่ซื้อตัวท็อป
ครับ แต่ถ้าเป็น Sony ไม่ทิ้งขว้างนะครับ เพราะเพิ่งประกาศ ออกมาว่าให้ Sony Xperia Z ได้ Update เป็น
kitkat 4.4.4 (ตอนนี้มี Z, Z1, Z2 และ Z3 เพิ่งเปิดตัว ) ถ้านับกัน ก็ 4 Genaration แล้วครับ
สรุปว่า Gen แรก ได้ Update นะครับ
ส่วนถ้าคุณบอกว่า คุณโดนทิ้งจริงๆ ก็มีทางออกให้ รู้จัก CM ?
ถึงจะเป็น CM แต่ผู้ใช้ทั่วไปก็ไม่ทราบทั้งหมดนะครับว่ามันคืออะไร มันดีกว่าเดิมมั้ย หรือลงไปแล้วเครื่องเจ๊งรึเปล่า อันนี้ผมว่าต้องไปทำความเข้าใจกันเองครับ
ส่วนผม ใน SIII i9300 ผมกลับมาใช้ CM11 Nightly อีกครั้งก็ไม่พบปัญหาอะไรนะครับ กล้องก็ใช้งานได้ดีกว่าเดิมด้วย
แค่มนุษย์คนนึงที่อยากรู้เกี่ยวกับวงการไอที
มี Z1 แล้ว อยากได้ไอโฟนจอเล็กๆไว้ใช้เหมือนเดิม เลยกำ i5 ต่อไป ><
ขอบคุณสำหรับบทความครับ ยาวมาก แต่ก็อ่านจนจบ
ขอบคุณครับ :D
น่าเสียดายที่ apple ไม่เกาะกระแส selfie ไปอีกอัน ไม่งั้นจะเป็นมือถือที่ถือว่า "ทันสมัย" แบบครบถ้วนที่สุดอันนึงในยุคนี้เลย
อ่านในเว็บหลักก็โฆษณาเรื่องกล้องหน้ากับการถ่าย selfie เยอะเหมือนกันนะครับแต่ไม่ยอมเพิ่มจำนวน pixel ให้สูงขึ้น - -'
ขอบคุณที่เขียนบทความนี้ครับ เป็นกลางดี
ไปอ่านของไซต์อื่น บางไซต์อวย Apple บางไซต์ก็อวย Android
ฝีนกระแส => ฝืนกระแส
ถือเป้น => ถือเป็น
ที่้เปิด => ที่เปิด
ผมคิดว่าเรื่องมาตรการควาปลอดภัยหลายชั้นแบบนี้
-> ผมคิดว่าเรื่องมาตรการความปลอดภัยหลายชั้นแบบนี้
สิ่งที่เจ้าอื่นต้องทำไม่ใช่แค่มือถือแรง สเปกแรงแล้วล่ะ ตลาดล่าง-กลางอาจจะใช่ แต่ภาพรวมกลับเป็นภาระหนักของกูเกิ้ลแล้วที่จะสร้างระบบนิเวศน์ให้ได้ใกล้เคียง หรือดีกว่าแอปเปิล โดยเฉพาะในมุมมองของผู้บริโภคด้านความปลอดภัย
ไปๆ มาๆ การ fork Android ก็อาจทำให้ผู้บริโภคสับสน และหากเกิดรอยรั่วในระบบความเป็น Android ก็จะลดความน่าเชื่อถือของตัวมันเองไปในทันที แต่เป็น Opensource จะห้ามอะไรก็ไม่ได้ ต้องสร้างทั้งระบบที่ดี สร้างความเข้าใจกับผู้บริโภค ดูแลการทำงานของผู้ผลิตแอนดรอยด์ภายใต้แบรนด์ต่างๆ โอย ... กูเกิ้ลสู้ๆ
ปล.ใช้ของทั้งคู่ มันดีคนละแบบจริงๆ ;)
my blog
+1 ครับ ทั้งฟีเจอร์และภาพลักษณ์ในเรื่องความปลอดภัย android ด้อยกว่า ios อยู่มากเลย ตรงนี้คิดว่าต้องให้ทาง google เริ่มก่อนครับ เพราะหากให้ต่างคนต่างทำนี่ "บรรลัย" แน่ ๆ ครับ
+1 ทั้งสองท่านเลยครับ
หาก.....
ผมว่านั้นเป็นเหตุผลหลักที่กูเกิล ขยับตัวมารุกฮาร์ดแวร์เอง ลดการพึ่งพาผู้ผลิตภายนอกมากขึ้น ไล่ตั้งแต่ Google Nexus ที่ต้องการพัฒนาเพื่อเป็น Reference Implementation ของ Android
มาจนเปิดโครงการ Android One เพื่อรุกตลาดล่าง โดยทำพิมพ์เขียวให้ไปผู้ผลิตไปสร้างขายได้เอง โดยที่กูเกิลรับอัพเดตซอฟท์แวร์ให้ ทำให้ผู้ผลิตเจาะตลาดล่างได้ง่าย ผู้ผลิตก็ไม่เสี่ยงว่าทำมือถือมาแล้วไม่มีคนซื้อ
ส่วนตลาดเครื่องระดับบน กูเกิลก็จะพัฒนา Android Silver เพื่อถ่วงดุลอำนาจผู้ผลิตมือถือ (โดยเฉพาะซัมซุง อันนี้ชัดเจนมาก หลังจากที่ประสบความสำเร็จกับ Galaxy S, S II, S III ซัมซุงเองคงจะเบื่อกับความกดดันที่ต้องคอยอัพเดตซอฟท์แวร์ให้เครื่องรุ่นเก่าๆ การที่ต้องเดินตามก้นกูเกิลตลอด เริ่มเอาใจออกห่าง พยายามจะสร้าง ecosystem ของตัวเองโดยไม่พึ่งกูเกิลเหมือนกัน นับตั้งแต่มีสโตร์เป็นของตัวเอง พยายามไม่ใช้โลโก้ Android ในงานเปิดตัวสินค้า รึแม้จะผลักดันทั้ง Bada ที่ล้มเหลวและยังผลัก Tizen ออกมา ยังไม่นับเอกสารหลุดภายในที่ประกาศเจตนาชัดเจนอีก) เพื่อทำให้กูเกิลสามารถควบคุมเบ็ดเสร็จ สามารถกำหนดประสบการณ์การใช้งานได้มากขึ้น อยากผลักดันฟีเจอร์อะไรก็เริ่มทำได้ ไม่ต้องบรรดาผู้ผลิตอื่นๆ ไปจนถึง Project Ara ที่จะทำให้มือถือเป็นตลาด commodity เหมือนอย่างพีซี ที่ลูกค้าสามารถเลือกชิ้นส่วนได้อย่างอิสระ
ผมรอ Project Ara กับ Silver ไม่ก็ Nexus ตัวใหม่อยู่ครับ ไม่รู้สิ ผมกลับชอบอะไรที่มันเป็น Stock Rom จากกูเกิล มากกว่าที่จะเป็น Stock Rom ที่ผ่านการปรับแต่งจากผู้ผลิตมาเหมือนหลายๆเจ้านะครับ
และผมรู้สึกไปเองรึเปล่าว่าเกมพวก Rhythm Action บน Android จะหน่วงกว่า iOS เยอะมาก ไม่รู้ว่า Android รุ่นใหม่ๆมันแก้ในส่วนนี้รึยังนะครับ
แค่มนุษย์คนนึงที่อยากรู้เกี่ยวกับวงการไอที
ตอนนี้ iOS8+จอใหญ่ ผมว่าน่ากลัว เอาจุดเด่นของandroid ไปหมดแล้ว แล้วgoogle จะรับมือยังไง โอเคว่าตลาดกลางล่าง ที่เน้นฟังก์ชั่นการใช้งานคงมีandroidคุมอยู่ แต่ระดับบนคงเสร็จappleครับ
ผมอ่านความเห็นนี้แล้วแปลกๆแหะ ระดับบนนี้ ถ้าหมายถึงราคา คงไม่มี android ยี่ห้อไหนถ้าสู้ราคาแพงๆ หรอกครับ
แหม๋ google ก็ขายความเป็น open source ต่อไปไงครับ
ขอบคุณมากครับ อ่านเพลินเลย
เห็นด้วยที่ว่าการทำฟีเจอร์ตามค่ายอื่น มันมีแต่ส่งผลดีต่อภาพรวมของวงการ ไม่มีใครเป็นผู้นำและผู้ตามตลอดไป ของพวกนี้มันเปลี่ยนแปลงได้เสมอ
..: เรื่อยไป
ขอบคุณสำหรับบทวิเคราะห์ครับ .. จะเอาไปแปะทุก social ที่เล่นเลย :)
WE ARE THE 99%
ผมรับไม่ได้เรื่องดีไซกล้องนูนออกมาจริงๆครับ
+1 และ เรื่องเส้นด้านหลังด้วยครับ :)
เรื่องเส้นเป็นอะไรที่ขัดมากๆ
+1 ทั้งสองคนเลย เห็นมีกล้องนูนออกมาแล้ว เส้นที่พาดก็ดูไม่สวยอีก ความอยากได้ลดลง 99% เลย
เส้นหลังผมคิดว่าเขาจำเป็นต้องทำเป็นที่รับสัญญาณ ให้ได้ดีนะครับ
เดาล้วนๆ
ย้ายเพื่อความเป็นหมวดหมู่
ถ้าเกิด android ทำทีหลัง ต้องเรียกว่า ลอก ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม
ตรรกะง่ายๆสำหรับคนบางกลุ่ม
Android ทำก่อน คนบางกลุ่มก็จะเรียกว่าแรงบันดาลใจครับ ไม่ต่างกัน
แค่มนุษย์คนนึงที่อยากรู้เกี่ยวกับวงการไอที
ความคิดผมคือ ทุกคนลอกกันหมดแหละ อยู่ที่ลอกตรงไหน ขนาดกินข้าวยังลอกกันเลย มือซ้ายถือซ่อม มือขวาถือช้อน = =
ผมถนัดซ้ายครับ
ผมคนนึงที่เป็นสาวก apple มาช่วงหนึ่ง เมื่อก่อนเคยดูถูกมือถือแบรนด์อื่นๆไว้มาก
แต่เมื่อเวลาผ่านไป(แก่) จอเล็กๆมองมากๆแล้วตาลาย กลายเป็นใช้จอใหญ่ขึ้น
จึงย้ายมา Android ราคาหมื่นกว่าบาทนิดๆ ตอนแรกคิดว่าจะใช้สำรองรอ iPhone 6
แต่ตอนนี้คงใช้ยาวๆแล้วละ
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับ
ยอดเยี่ยมมากครับ
สำหรับ iPhone6 เปิดตัวครั้งนีผมรุ้สึกเหมือนกับ Start บางอย่างขึ้นมา แต่ผมว่าไฮไลท์ครั้งนี้คงต้องยกให้ Apple Watch ครับ เพราะดูดีจริงๆ ส่วน iPhone6 /6 Plus ผมว่าเขาออกแบบมาได้ดีเลยทีเดียว ต่างกันนิดหน่อยเรื่องฟังก์ชันกับหน้าจอบางอย่าง แต่งานนี้ผมยกให้เลยว่าทำการบ้านมาดีจริงๆ ออกช้าไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่มีการเตรียมความพร้อมมาเสร็จงานนี้ผมชอบสุดคือ NFC กับ Payment เนี่ยแหละครับ มันทำให้เห็นประโยชน์ของ Touch ID (ตั้งแต่เห็นว่าเพิ่งเห็นว่านี่แหละประโยชน์จริงๆ)
แต่ผมยังคงหวังว่า iPAD รุ่นหน้าจะสามารถทำได้ดีกว่า iPhone6 ครับ
รายละเอียดสุดยอดชอบข่าวนี้ครับ ติดตามตั้งแต่เมื่อคืนตื่นเต้นตามพอตอนเช้านึกขึ้นได้ว่า Beats Audio ไม่มีในงานเลยนิหว่าหรือว่าผมตกข่าวอะไรไปเนี่ย
ด้วยความเคารพมิได้เกรียนแต่อย่างใด ผมไม่คิดว่าเรื่อง NFC Apple กลืนน้ำลายตัวเองนะครับ อาจจะเคยพูดว่าเมื่อสมัยก่อนยังไม่พร้อม แต่ไม่น่าจะเคยพูดว่า NFC ไม่จำเป็นหรือเปล่าครับ ?
พอดีข่าวเก่ามันนานจำไม่ค่อยได้ ท่านใดมีข่าวเก่าช่วยเตือนความจำว่า Apple เคยพูดว่า NFC ไม่จำเป็น (ตลอดไป) เมื่อไรช่วยแปะไว้ให้ทีครับ
กระนั้นแม้กระทั่งตอนนี้ผมก็ไม่คิดว่า NFC ในเมืองไทยจะเกิดได้แต่อย่างใดครับ
That is the way things are.
ไม่มีครับ ข่าวที่เป็นทางการ (ไม่นับข่าวที่แท็ก ข่าวลือ) คือข่าวนี้ครับ
สำหรับเรื่อง NFC ทางแอปเปิลแค่แทงกั๊กครับ ส่วนประโยคที่เน้นตัวหนา แค่ทำให้เงิบเล็กน้อย เพราะดันบอกว่า Passbook ง่ายดายที่สุด แต่มันก็เป็นภาษาพูดทางการตลาด ถ้ายี่ห้ออื่นทำ Passbook ก็คงพูดแบบนี้
ผมว่าเขาคิดจะทำอยู่แหละ แต่ทำ Passbook ออกมาแล้ว ก็ต้องดันสินค้าตัวเองก่อน
ถาม CEO คู่แข่ง ทุกคนได้ บอกว่า iPhone ห่วย ต้องสินค้าของตัวเอง
ถ้าเค้าคิดว่าสิ่งที่เค้าทำมันไม่ดี เค้าคงไม่ทำออกมาขายแหละครับ
ดังนั้นตอนทำขายเนี่ยทุกคนก็ต้องคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันดีที่สุด
แต่พอขายแล้ว ยอดขายจะเป็นตัวบอกเองว่าอะไรดีที่สุดจริง ๆ
ให้เลือก i6+ น่าจะคุ้มสุด ไปๆ มาๆ ดีไม่ดีบางคนมีตังส์เยอะหน่อยก็ซื้อมัน 2 เครื่องเลย ทุกวันนี้ผมพก Moto G กับ 1+ ขนาดจอเท่ากันเลย 4.7 HD กับ 5.5 FHD เคยใช้ 4s พอมีเครื่องจอ 4.7 ก็ไม่อยากไปจอเล็กอีก พอมี 5.5 เครื่อง 4.7 ก็เล็กไปเลย เอาไว้ใช้โทรเสียส่วนใหญ่ 55+ มนุษย์เรา
เป็นบทความที่ดีมากครับ Apple ยุคใหม่ ยืดหยุ่นขึ้นเยอะเลย (แต่ความขลังก็เสื่อมลงไปนิดนึง)
เปลี่ยนแปลงเพื่อประโยชน์แก่ผู้บริโภค ดีครับ ไม่งั้นเดี๋ยวเป็นแบบ Nokia :)
ยังคงใช้ 5s ต่อไป รอให้ชินกับหน้าจอใหญ่ ๆ ได้ก่อนนะครับ รุ่นนี้ยังไม่ว้าวพอจะเปลี่ยน :)
จดจำ apple ในฐานะผู้ผลิตสินค้าที่ไม่เคยมีมาก่อน เราไม่เคยรู้ว่าอยากได้ แต่พอจ็อบส์เอาขึ้นมาบนKeynote ทั้งโลกก็อยากได้มัน พอมาเจอการไล่ตามความต้องการลูกค้าสุดตัวแบบนี้ มันก็ไม่คุ้นเอาเสียเลยแฮะ
อยากได้ 4.7 แบบมี OIS ครับ ต้องทำยังไงครับ
เล็กไปนิดนึงแต่น่าจะพอถูไถ
ใหญ่ไปนิดแต่ก็น่าจะใช้ได้นะ
รุงรังไปนิดแต่น่าจะแก้ขัดได้
~ HudchewMan's Station & @HudchewMan~
เป็นผมร้องไห้เลยครับ
เพราะเจอทั้ง เล็ก ใหญ่ รุงรัง หรอครับ
ใช่สิครับ แนะนำมาแต่ละอันอย่างโหด
ericsson t28 ผู้ชายใส่ชุดทำงานเดินเหม่อหรือมองสาวจำไม่ได้เผลอทำโทรศัพท์หล่น ตกลงรูบนถนน มีสายเข้า เอานิ้มจิ้มลงไปในรู แล้วคุยกับ ถนน #ห๊ะ
ระบบนิเวศน์ ความปลอดภัยแค่นี้ก็เพียงพอจะทำให้ผมอยู่กับ iOS ต่อไป หุ่นคงไว้กดเล่นเฉย ๆ ทำธุรกรรมก็ต้องระวังให้ยุ่งยากเสียเวลาหาเงินครับ
ครับ ก็หวังว่า ความปลอดภัยของ Apple Pay จะสูงกว่า iCloud นะครับ
เพราะไม่ใช่แค่ภาพหลุดนะ มันคือ เรื่องเงิน
ขอขอบคุณคุณ mk สำหรับบทวิเคราะห์ครับ ผมตามอ่านต่อเนื่องทุกบทเลย
ออกตัวว่าชอบ Apple นะครับ เรื่องสเปกเลยรู้สึกว่าที่แอนดรอยยัดมาไม่จำเป็นสำหรับผมเท่าไร(แต่ก็เป็นข้อดีที่ทำให้แอปเปิ้ลเลิกกั๊กบ้าง) การเลือกของบางอย่างนี่นอกจากเหตุผลแล้ว emotion ก็สำคัญเหมือนกันนะครับ ไม่งั้นกระเป๋าหลุยคงขายไม่ออกหรอก :P
ผมว่าเขาคุมต้นทุน ให้ต่ำเท่าที่จะใช้ได้ เพื่อเอาไปพัฒนาด้านอื่น ที่จำเป็นมากกว่า
ไม่ชอบเส้นหลังเครื่องเลย เฮ้ออ รอ 6s+ ฮ่า ๆ
+1 ไปเลย
ทำไม Samsung ไม่บอก galaxy S5 ดีขึ้นกว่า galaxy รุ่นแรกถึง 250 เท่าบ้างนะ ผมว่าเกินด้วย ดูจากระบบที่พัฒนาขึ้นมาก
ลืมรูปนี้ไปไหมครับ ไอโฟน 6 เทคโนโลยีปี 2012 เชียวนะ ฮ่าๆๆ
มากกว่านี้ก็มีมาแล้วครับ - -)v
หรือจะเปรียบเทียบมากกว่านี้ ก็มีนี่อีก
ฮา
~ HudchewMan's Station & @HudchewMan~
สาวก apple กับคำว่า เสถียร มาคู่กันเสมอ
มันเป็นอะรที่เถียงยากมากกก แล้วแต่คนใช้จริงๆ
ผมใช้ทั้ง 3 os ไม่เห็นจะมีอันไหนไม่เสถียรเลยครับ ในราคาเท่ากัน
แต่ข้อดีของแต่ละ mobile os นั้นมีอยู่จริง แต่ ios ไม่ใช่เด่นที่เสถียรอีกต่อไปแล้ว
ฉนั้นควรเลิกเรียก คุณเสถียร มาเป็นจำเลยจะดีกว่า