บทความนี้เป็นตอนสุดท้ายของ "ไตรภาคไมโครซอฟท์-โนเกีย" โดยสองตอนแรกคือ ย้อนตำนาน Nokia เดินหมากพลาดตาเดียว พ่ายแพ้ทั้งกระดาน ย้อนรอยความผิดพลาดของโนเกียในโลกสมาร์ทโฟน และ One Windows ย้อนตำนานไมโครซอฟท์ กับการหลอมรวมระบบปฏิบัติการเป็นหนึ่งเดียว ความพยายามของไมโครซอฟท์ในการปฏิรูป Windows ให้เข้ากับยุคสมัย
บทความตอนนี้จะอธิบายว่าทำไม Windows ถึงสูญเสียอิทธิพลลงไปอย่างมาก โดยจะมองเชิงเปรียบเทียบกับยุทธศาสตร์ของคู่แข่งใน สามก๊กไอที คือแอปเปิลและกูเกิลด้วย
ก่อนอื่นต้องย้อนกลับไปเล่าแนวคิดของ "สามก๊กไอที" สักเล็กน้อยครับ แนวคิดเรื่องสามก๊กไอทีคือการก่อตัวขึ้นของมหาอำนาจในโลกไอที 3 บริษัทคือ ไมโครซอฟท์ แอปเปิล กูเกิล ในช่วงทศวรรษ 2000s ซึ่งเป็นผลมาจากความเสื่อมถอยของไมโครซอฟท์ที่เคยกินรวบตลาดไอทีฝั่งคอนซูเมอร์ในยุค 90s และเปิดโอกาสให้คู่แข่ง 2 รายคือแอปเปิลกับกูเกิลผงาดขึ้นมาได้
ทั้งสามก๊กมีจุดอ่อนจุดแข็งที่ต่างกัน และมีรากเหง้าของตัวเองจากคนละวงการ โดยแอปเปิลมีต้นกำเนิดมาจากบริษัทฮาร์ดแวร์ ไมโครซอฟท์มาจากซอฟต์แวร์ และกูเกิลมาจากบริการออนไลน์ เดิมทีต่างฝ่ายต่างอยู่ในวงการของตัวเอง ไม่ใช่คู่แข่งกันโดยตรง
ถ้าวิเคราะห์แต่ละบริษัทด้วยกรอบ "ฮาร์ดแวร์-ซอฟต์แวร์-บริการ" เราสามารถแยกแยะยุทธศาสตร์เชิงธุรกิจของทั้งสามได้ดังนี้
รากเหง้าของแอปเปิลมาจากการสร้างฮาร์ดแวร์ และเขียนซอฟต์แวร์เพื่อสร้างจุดเด่นให้กับฮาร์ดแวร์ของตัวเอง ซึ่งประวัติศาสตร์ของแอปเปิลเป็นแบบนี้มาโดยตลอดตั้งแต่ Apple II
อย่างไรก็ตาม แอปเปิลในยุค 2000s หลังการกลับมาของสตีฟ จ็อบส์ ก็ปรับวิธีการทำธุรกิจของตัวเองบ้างบางส่วน ถึงแม้ฮาร์ดแวร์จะยังเป็นธุรกิจหลักของบริษัท (รายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายฮาร์ดแวร์) แต่แอปเปิลก็ยังขยับขยายไปขายซอฟต์แวร์ (เช่น Mac OS X, iWork หรือซอฟต์แวร์กลุ่ม Pro อย่าง Final Cut หรือ Aperture) รวมถึงธุรกิจบริการที่เริ่มมาจากการขายเพลงบน iTunes Store อีกด้วย
ในภาพรวมแล้ว แอปเปิลยุค 2000s มีโมเดลธุรกิจค่อนข้างหลากหลาย เน้นฮาร์ดแวร์เป็นหลัก แต่ก็ทำเงินจากซอฟต์แวร์และบริการบ้าง
รากเหง้าของไมโครซอฟท์เกิดจากการขายซอฟต์แวร์ภาษา Basic ก่อนจะตามมาด้วยระบบปฏิบัติการ ที่ผ่านมาเกือบ 40 ปี รายได้หลักของไมโครซอฟท์เกิดจากการขายไลเซนส์ซอฟต์แวร์นานาชนิด ไม่ว่าจะเป็น Windows, Office หรือซอฟต์แวร์องค์กรอื่นๆ อีกมากมายมหาศาล ในโลกของอุปกรณ์พกพา ไมโครซอฟท์ยังหารายได้จากการขายไลเซนส์ Windows Mobile หรือ Windows Embedded ให้คู่ค้ารายอื่นๆ
บริษัทซอฟต์แวร์รายอื่นๆ เช่น Adobe หรือ Autodesk ก็ใช้โมเดลธุรกิจแบบเดียวกันนี้ (ขายซอฟต์แวร์กล่องหรือไลเซนส์เป็นชุดสำหรับองค์กร) ซึ่งถือเป็นโมเดลมาตรฐานสำหรับบริษัทซอฟต์แวร์ยุค 80-90s
ไมโครซอฟท์มีธุรกิจฮาร์ดแวร์อยู่บ้างเล็กน้อย เริ่มจากการขายเมาส์และคีย์บอร์ด ก่อนที่จะค่อยๆ ขยายเข้ามายังธุรกิจเครื่องเล่นเกม Xbox ที่ช่วงแรกก็ไปได้ไม่ค่อยดีนัก และเริ่มมาลืมตาอ้าปากได้ในยุคของ Xbox 360
ส่วนธุรกิจบริการ ไมโครซอฟท์พยายามขยายตัวเองมาสู่ธุรกิจนี้ตั้งแต่สมัยสร้างพอร์ทัล MSN ตามด้วย Windows Live และ Hotmail แต่ในภาพรวมแล้ว ธุรกิจบริการออนไลน์ของไมโครซอฟท์ยังขาดทุนแทบทุกปี
เราจะเห็นว่าธุรกิจฮาร์ดแวร์และบริการออนไลน์ของไมโครซอฟท์ไม่ใช่ธุรกิจหลักของบริษัท และในแง่การเงินแล้วอาจถือเป็นภาระของไมโครซอฟท์ด้วยซ้ำไป ผู้ถือหุ้นไมโครซอฟท์เคยเสนอให้แยกสองธุรกิจนี้มานานแล้ว (แต่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง) หรือแม้กระทั่งคนในอย่าง Stephen Elop ก็เคยพูดไว้ว่าอยากขาย Xbox และปิด Bing
กูเกิลเป็นบริษัทน้องเล็กในทั้งสามก๊กนี้ จุดกำเนิดของกูเกิลมาจากการสร้างบริการออนไลน์ ที่เริ่มด้วย search engine และค่อยๆ ขยายมาเป็นบริการออนไลน์ชนิดอื่นๆ มากมาย
เดิมทีนั้นโมเดลธุรกิจของกูเกิลเรียบง่ายมาก เพราะมีแค่บริการออนไลน์อย่างเดียว รายได้มาจากค่าโฆษณาเป็นหลัก มีค่าสมาชิกต่างๆ (เช่น พื้นที่ Gmail หรือค่าเช่า Google Apps) เป็นรายได้รอง
แนวคิดของกูเกิลในอดีตจึงไม่มีอะไรมาก นอกจากทำบริการออนไลน์ของตัวเองให้ดึงดูด เพื่อมีคนมาใช้เยอะๆ หารายได้จากค่าโฆษณามากๆ เท่านั้นเอง (บริษัทออนไลน์เกือบทุกแห่ง เช่น Yahoo, Facebook, Twitter มีแนวคิดแบบเดียวกันนี้)
อย่างไรก็ตาม ด้วยสภาพการแข่งขันของวงการไอทีในปัจจุบันที่เกิดการหลอมรวมทางเทคโนโลยี (หรือที่เราเรียกกันว่า convergence) ทำให้ตลาดของทั้งสามก๊กเริ่มซ้อนทับกัน ความเป็นพันธมิตรเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นคู่แข่ง (กรณีที่ชัดที่สุดคือแอปเปิลหักกับกูเกิลจากการทำ Android) ทั้งสามก๊กต่างจึงกวาดต้อนขุนพล กองทัพรายย่อยๆ เพื่อเสริมความเข้มแข็งของตัวเองในตลาดที่ไม่เคยสนใจมาก่อน จนสุดท้ายทั้งสามก๊กต่างมีจิ๊กซอครบทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ บริการ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับก๊กอื่นๆ ต่อไปได้
ตอนนี้ทั้ง 3 บริษัทต่างมีธุรกิจฮาร์ดแวร์-ซอฟต์แวร์-บริการ เหมือนกันทั้งหมด แต่วิธีการมองของแต่ละบริษัทกลับแตกต่างกันไป (ตามพื้นเพหรือรากเหง้าของตัวเอง) และในรอบ 5-6 ปีที่ผ่านมา เราก็เริ่มเห็นการปรับตัวในเชิงโมเดลธุรกิจของทั้งสามบริษัทไปคนละทาง
แอปเปิลเป็นก๊กแรกที่ปรับเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับยุคของอุปกรณ์พกพา และการเปลี่ยนตัวเองของแอปเปิลก็สร้างพลวัตรให้กับวงการ จนบริษัทอื่นๆ ต้องปรับตัวตามเพื่อให้อยู่รอดกับโมเดลใหม่นี้
สิ่งที่แอปเปิลทำ (เริ่มจากในยุค iPod ไล่มาจนถึง iPhone/iPad) คือสร้างฮาร์ดแวร์พันธุ์ใหม่ที่มีความสามารถเทียบเท่าคอมพิวเตอร์ แต่กลับมีความเรียบง่ายและจบในตัวเองเหมือนสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้สินค้าเหล่านี้สามารถจับตลาดผู้บริโภคทั่วไป (mass) ที่กว้างกว่าผู้ใช้คอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิมมาก ลูกค้ากลุ่มใหม่นี้ไม่สนใจฟีเจอร์ขั้นสูงมากนัก ไม่ต้องการดูแลหรือบำรุงรักษาอุปกรณ์ (ในความหมายเดียวกับพีซี) แต่ต้องการใช้ความสามารถของซอฟต์แวร์โดยมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของฮาร์ดแวร์แทน (เช่น ใช้ iPod ฟังเพลง หรือใช้ iPhone เล่นเน็ต)
พฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไป ทำให้โมเดลธุรกิจของแอปเปิลจึงต้องเปลี่ยนตามไปด้วย เราจะเห็นว่าระบบปฏิบัติการของ iPod ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของตัวฮาร์ดแวร์ (ไม่ต้องติดตั้งระบบปฏิบัติการเอง) และพอมาถึงยุค iOS แอปเปิลก็ไม่คิดเงินค่าระบบปฏิบัติการ อย่างที่เคยทำในสมัย Mac OS เดิม ระบบปฏิบัติการกลายเป็น "ของฟรี" ที่ถูกคิดเงินรวมในค่าฮาร์ดแวร์มาตั้งแต่ต้นแล้ว
ส่วนของ Mac OS X เองก็ได้รับผลกระทบจากยุทธศาสตร์เดียวกันนี้ ทำให้ "ราคา" ของมันลดลงเรื่อยๆ จากเดิมที่ขายชุดละ 129 ดอลลาร์ ก็ค่อยๆ ลดลงมาเหลือ 29.99 ดอลลาร์ ก่อนจะกลายเป็นระบบปฏิบัติการอัพเกรดฟรีนับตั้งแต่ OS X 10.9 เป็นต้นมา
(หมายเหตุ: Mac OS X 10.1 Puma เป็นเหมือนรุ่นแก้บั๊กของ 10.0 ทำให้แอปเปิลแจกฟรี ถือเป็นข้อยกเว้น)
ฝั่งของบริการออนไลน์ แอปเปิลก็พยายามขยายขอบเขตจาก iTunes มาเป็น App Store และ iCloud บ้าง แต่ก็ไม่ได้หาเงินกับมันจริงจังมากนัก รูปแบบจะเป็นแนวว่าถ้าทำเงินได้ก็ดี แต่แนวคิดหลักคือการช่วยเสริมให้ฮาร์ดแวร์ของตัวเองโดดเด่นกว่าเดิม เช่น ใช้ iPod สามารถซื้อเพลงจาก iTunes ได้ (เป็นจุดขาย) แต่แอปเปิลไม่สนใจเปิดบริการออนไลน์ของตัวเองให้บริษัทอื่นใช้งานเลย
ในภาพรวมแล้ว ยุทธศาสตร์ทางธุรกิจของแอปเปิลจึงกลับไปสู่การขายฮาร์ดแวร์เป็นชิ้นๆ (ในราคาพรีเมียม สร้างส่วนต่างกำไรได้มาก) โดยใช้ซอฟต์แวร์และบริการช่วยเสริมให้ฮาร์ดแวร์ของตัวเองโดดเด่นเหนือคู่แข่งยิ่งขึ้น ตอนนี้แอปเปิลแทบไม่สนใจตลาดการขายซอฟต์แวร์โดยตรงแบบเดิมแล้ว และมีธุรกิจบริการ (เน้นการหัก % จากคู่ค้าอื่น) ในฐานะส่วนเสริมของฮาร์ดแวร์นั่นเอง
วิธีคิดของกูเกิลยังเหมือนเดิมคือ "ทำยังไงก็ได้ให้คนใช้บริการของกูเกิลเยอะๆ" ซึ่งยุทธศาสตร์ที่กูเกิลเคยใช้ในยุคแรกๆ คือ "ควบคุมประตู" (gate keeper) ในจุดใดๆ ที่คนใช้งานอินเทอร์เน็ต จะต้องมีช่องทางเข้าถึงบริการของกูเกิลเสมอ ตัวอย่างเช่น การให้เงินสนับสนุน Firefox โดยแลกกับการเป็นเครื่องมือค้นหาหลัก
ต่อมา กูเกิลมองว่าการพึ่งพา "ประตู" ของคนอื่นอาจมีความเสี่ยงต่อธุรกิจหลักของตัวเอง (เพราะพาร์ทเนอร์เปลี่ยนใจได้เสมอ) กูเกิลจึงหันมาทำ Chrome เพื่อให้ตัวเองควบคุมพฤติกรรมการใช้งานของลูกค้าได้มากขึ้น แนวคิดนี้ถูกสืบทอดต่อมาในยุคของ Android แค่เปลี่ยนจากเบราว์เซอร์เป็นอุปกรณ์พกพาเท่านั้น (ตอนแรกสุดกูเกิลกลัวไมโครซอฟท์กินรวบตลาดมือถือ และผู้ใช้ถูกบังคับให้เข้า Bing จึงสร้าง Android ขึ้นมาแข่ง)
มุมมองของกูเกิลต่อซอฟต์แวร์ (ไม่ว่าจะเป็น Chrome, Android หรือ Chrome OS) จึงไม่มีมูลค่าในเชิงธุรกิจ เพราะมันเป็นแค่ช่องทางให้คนเข้ามาใช้บริการของกูเกิลเท่านั้น จึงไม่น่าแปลกใจอะไรนักที่กูเกิลตัดสินใจ "เปิดซอร์ส" ซอฟต์แวร์ระดับแพลตฟอร์มทั้งหมดเพื่อให้คนใช้เยอะมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ (ซึ่งก็ได้ผลอย่างมากในกรณีของ Android) การเปิดซอร์สนั้นไม่มีผลกระทบด้านลบในเชิงธุรกิจต่อกูเกิลเลย เพราะกูเกิลไม่คิดทำเงินจากมันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว (ซึ่งต่างไปจากแอปเปิลหรือไมโครซอฟท์)
ส่วนตลาดฮาร์ดแวร์ เราเห็นกูเกิลลงมาทำโครงการ Nexus โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างมาตรฐานให้กับฮาร์ดแวร์ในวงการเท่านั้น ไม่คิดทำกำไรจากมัน เราจึงเห็น Nexus รุ่นหลังๆ ขายในราคาแทบไม่มีกำไร และกูเกิลก็ขายธุรกิจฮาร์ดแวร์โมโตโรลาออกไปเพราะไม่สนใจธุรกิจนี้เลย (ฮาร์ดแวร์อื่นอย่าง Google Glass ก็ยังเป็นแค่โครงการในเชิงทดลองเท่านั้น ไม่ใช่ธุรกิจหลัก)
โดยสรุปแล้ว กูเกิลยังยึดโยงอยู่กับโมเดลธุรกิจเน้นบริการออนไลน์ โดยมีซอฟต์แวร์-ฮาร์ดแวร์คอยช่วยบีบให้คนใช้บริการของตัวเองเยอะๆ แต่แทบไม่คิดทำกำไรจากสองส่วนนี้เลย
โมเดลธุรกิจของกูเกิลแตกต่างกับแอปเปิลอย่างสุดขั้ว แต่ทั้งสองรายนี้ก็ชัดเจนว่าเลือกอะไร รายหนึ่งไปทางฮาร์ดแวร์ ส่วนอีกรายมาทางบริการ การกำหนดยุทธศาสตร์ภาพรวมจึงง่ายและค่อนข้างตรงไปตรงมา
ไมโครซอฟท์กลับเป็นบริษัทที่ตกอยู่ในภาวะลำบากที่สุด เพราะรากเหง้าเดิมของบริษัท (ซอฟต์แวร์) ถูกทำลายลงไปจากการเปลี่ยนแปลงของตลาดไอทีเอง
ซอฟต์แวร์ในระดับล่าง (ในที่นี้คือระบบปฏิบัติการ) เริ่มไม่มีมูลค่าในเชิงธุรกิจ เพราะผู้บริโภคเริ่มมีตัวเลือกอื่นทดแทนที่ราคาถูกกว่า
ไมโครซอฟท์อาจยังแข็งแกร่งในตลาดระบบปฏิบัติการพีซี (ซึ่งแอปเปิลยอมแพ้ไม่สนใจแข่งด้วยตรงๆ ไปนานแล้ว) และยอดขาย Windows 7/8 ก็ยังไปได้ดี แต่ในตลาดอุปกรณ์พกพาที่การผูกขาดของไมโครซอฟท์ไม่เข้มแข็งเท่ากับตลาดพีซี ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากมาย แถมโมเดลธุรกิจการขายไลเซนส์ Windows Mobile/Phone ก็ถูกทำลายลงไปเนื่องจากกูเกิลเปิด Android เป็นโอเพนซอร์ส ทำให้ไมโครซอฟท์ไม่สามารถทำเงินจากค่าไลเซนส์ระบบปฏิบัติการมือถือได้เหมือนสมัยแข่งกับ Symbian ได้อีกต่อไป (ไมโครซอฟท์เตรียมแจก Windows สำหรับอุปกรณ์หน้าจอเล็กกว่า 9 นิ้ว) เรื่องนี้อาจส่งผลกระทบไปถึงธุรกิจ Windows ด้วย และมีข่าวลือมาโดยตลอดว่า Windows Threshold จะแจกฟรี
เมื่อมูลค่าของตลาดซอฟต์แวร์เริ่มลดลง ทางออกของไมโครซอฟท์จึงเป็นการขยับโมเดลของซอฟต์แวร์ไปเป็น "บริการ" แทน ซึ่งในรอบ 4-5 ปีที่ผ่านมา เราเห็นความเคลื่อนไหวนี้ชัดเจนมาก โดยเฉพาะกรณีของ Office 365 กับ Azure ที่ปรับโมเดลมาเป็นการเสียค่าสมาชิกแทนการซื้อขาด ซึ่งตรงนี้ถือว่าไมโครซอฟท์ทำได้ค่อนข้างดี
แต่ไมโครซอฟท์ดูจะไม่พอใจแค่การเป็น "ผู้ให้บริการ" เพียงอย่างเดียว เพราะมันส่งผลให้อิทธิพลในการกำหนดตลาดคอนซูเมอร์ของไมโครซอฟท์ลดลงไป ไมโครซอฟท์จึงเลือกบุกเข้ามาในตลาดฮาร์ดแวร์ด้วย โดยเริ่มจากการทำ Surface เอง และตามด้วยการเข้าซื้อธุรกิจฮาร์ดแวร์มือถือของโนเกียในท้ายที่สุด
ยุทธศาสตร์นี้ชัดเจนในปี 2013 โดยสตีฟ บัลเมอร์ ซีอีโอในขณะนั้นได้สรุปแนวคิดไว้ว่า Devices and Services ทำธุรกิจทั้งฮาร์ดแวร์และบริการ (ข่าวเก่า)
อย่างไรก็ตาม ถ้ามองด้วยกรอบวิเคราะห์แบบเดียวกับแอปเปิลและกูเกิล จะเห็นว่ายุทธศาสตร์ Devices and Services ของไมโครซอฟท์ค่อนข้างสับสน เพราะไม่เลือกทางใดทางหนึ่ง (แบบแอปเปิลและกูเกิลที่ชัดเจนไปเลย) แต่จะไปทั้งสองทาง
สิ่งที่เกิดขึ้นคือเราจึงเห็นว่าบริการออนไลน์ของไมโครซอฟท์ไม่โดดเด่นเท่ากับกูเกิล และฮาร์ดแวร์ของไมโครซอฟท์ก็ไม่โดดเด่นเท่าแอปเปิล ในขณะที่ธุรกิจหลักอย่าง "ซอฟต์แวร์" กำลังถูกทำลายอย่างช้าๆ
ไมโครซอฟท์สร้างบริการออนไลน์ให้ทุกคนใช้งาน (แบบเดียวกับกูเกิล) บริษัทฮาร์ดแวร์ทุกรายสามารถเข้ามาใช้ซอฟต์แวร์ของไมโครซอฟท์ได้ แต่ไมโครซอฟท์กลับมี Surface และ Lumia เป็นคู่แข่งกับบริษัทเหล่านี้เช่นกัน (ในขณะที่โครงการ Nexus ซึ่งถูกวางตัวไว้ระดับเดียวกัน กลับถูกลดทอนความสำคัญลงเรื่อยๆ จนมีข่าวลือว่าจะเลิกทำด้วยซ้ำ)
ความสับสนของยุทธศาสตร์ Devices and Services ของไมโครซอฟท์ จึงถูกแก้ไขในอีก 1 ปีถัดมา โดยซีอีโอคนใหม่ Satya Nadella จึงบิดมันใหม่ ออกมาเป็น Platform and Productivity แทน (ข่าวเก่า)
ต้องยอมรับกันว่าไมโครซอฟท์เข้ามาช้าในตลาดฮาร์ดแวร์ (ทั้ง Surface และ Lumia) บวกกับความล่าช้าของการปรับ Windows ให้เข้ากับยุคสมัย (ตามที่กล่าวในบทความตอนที่แล้ว) ทำให้ขุมกำลังสายฮาร์ดแวร์ของไมโครซอฟท์ไม่ค่อยเข้มแข็งนักเมื่อเทียบกับธุรกิจบริการ ที่ดูจะไปได้ดีกว่า ถึงแม้ไมโครซอฟท์ยังเข็น Bing ไม่ขึ้น แต่บริการออนไลน์ตัวอื่นๆ ทั้ง Skype, Office 365, Azure ก็ยังไปได้ดีและแข่งขันได้
ผมคิดว่าในเชิงยุทธศาสตร์แล้ว ไมโครซอฟท์จึงน่าจะขยับตัวเองไปเน้นด้าน "บริการ" มากกว่าฮาร์ดแวร์ และมีความเป็นไปได้สูงว่าถ้าไมโครซอฟท์ยังไม่สามารถผลักดันยอดขายฮาร์ดแวร์ให้เยอะอย่างที่ฝันไว้ เราอาจเห็นไมโครซอฟท์ถอนตัวออกจากธุรกิจฮาร์ดแวร์ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า (ถมเงินในธุรกิจที่ขาดทุนได้ แต่ก็ต้องมีวันสิ้นสุด) กลายเป็นบริษัทด้านบริการเชิงธุรกิจเต็มตัว
ตรงนี้ Satya Nadella เองก็น่าจะเข้าใจดีกว่าใคร เพียงแต่สงครามฮาร์ดแวร์ยังไม่ได้ข้อยุติ (อีกทั้งเพิ่งซื้อโนเกียมา) จะประกาศเลิกทำฮาร์ดแวร์ทันทีก็คงลำบาก เขาจึงเลี่ยงไปใช้คำว่า Platform (น่าจะหมายถึงซอฟต์แวร์ระบบ ที่ไมโครซอฟท์ยังเข้มแข็งอยู่) และ Productivity (บริการในฝั่งธุรกิจที่ไมโครซอฟท์ทำได้ดี) แทน
ความหวังของไมโครซอฟท์ในการกอบกู้ธุรกิจฮาร์ดแวร์กลับมา คงอยู่ที่ Windows รุ่นหน้ารหัส Threshold ที่จะหลอมรวมระบบปฏิบัติการสาย Windows ให้เป็นหนึ่งเดียว และอาจพลิกเกมช่วยให้ธุรกิจฮาร์ดแวร์ของไมโครซอฟท์กลับมาเป็นที่น่าสนใจอีกครั้งหนึ่ง
อีกไม่นานเกินรอเราคงได้เห็นกันว่าไมโครซอฟท์จะทำได้ดีแค่ไหนกับ Threshold ครับ เดิมพันครั้งนี้สูงยิ่ง ถ้าไมโครซอฟท์ล้มเหลวอีก เราคงเห็น Windows, Windows Phone, Surface และธุรกิจสมาร์ทโฟนที่ซื้อมาจากโนเกีย ค่อยๆ เฉาลงและสูญพันธุ์ไปตลอดกาลเลยก็เป็นได้
สำหรับผู้สนใจเรื่องโครงสร้างธุรกิจของทั้งสามบริษัท ลองดูบทความ Apple, Google, Microsoft: Where does the money come from? โดยคุณ Ed Bott จาก ZDNet ที่เขียนเรื่องนี้ไว้ละเอียด และรวบรวมตัวเลขจากผลประกอบการมาให้ดูด้วย
ผมขอยกมาให้ดูเฉพาะกราฟสัดส่วนรายได้ของไมโครซอฟท์นะครับ
จากกราฟจะเห็นว่าธุรกิจสาย Commercial ของไมโครซอฟท์ยังเข้มแข็งมาก ในขณะที่ฝั่งคอนซูเมอร์อ่อนแรงลง เพราะตลาดซอฟต์แวร์หดตัว ฮาร์ดแวร์ยังเข็นไม่ค่อยขึ้น และบริการเองก็ไม่โดดเด่นมากนัก
Comments
ส่วนหนึ่งเพราะไมโครซอฟท์โดนเล่นงานจากพฤติกรรมผูกขาดในสมัยก่อน ซึ่งสมัยนี้เป็นStandard Practiceในวงการไอทีไปแล้ว เลยทำให้ผลิตภัณฑ์consumerของไมโครซอฟท์ขาดเชื่อมโยงถึงกันและกัน เหมือนที่กูเกิ้ลและแอปเปิ้ลทำได้ในขณะนี้ด้วย
และยังคงโดนเล่นงานทางกฏหมายด้วยข้อหาเดียวกันจากอียู และจีน อยู่บริษัทเดียวเช่นเดิมแม้แต่ในปัจจุบัน
Commercial Licensing/Other-> Enterprise Licensing/Other จะถูกต้องกว่าไหม ใครๆก็เรียกแบบนั้นนะ
ผมเคยได้ยินแต่ Consumer/Enterprise ไม่เคยได้ยินคนใช้ Consumer/Commercialเรียกตลาดเลย
ใครจะเรียกแบบไหนก็ตาม ไมโครซอฟท์เขาเรียก Commercial ก็ต้องใช้ตามนั้นครับ
บทความดีมากครับ ขอแชร์ทั้งเฟสบุ๊ค ทวิสเตอร์ กับกูเกิ้ลพลัสนะครับ
วิเคราะห์ได้ดีเช่นเคยครับ
อ่านแล้วตื่นเต้นตาม เหมือนดูหนังบู้สักเรื่อง ตีกันเมามันส์
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆครับ ทำให้การมองอนาคตของทั้งสามค่ายน่าสนุกมากครับ
Microsoft ยังขาย Software และ Services ไปพร้อมๆกัน ในขณะที่ Apple เริ่มหันมาแจก Software และ ขาย Services ในราคาเบาๆแทน (แหงล่ะสิ แกมี Hardware ผูกขาดนี่) ตอนนี้ Microsoft ต้องรอให้ Surface กับ Hardware ผูกขาด Windows 8 ขายได้มากขึ้น ...
อ่านเพลินเลย
ส่วนตัว รอ Windows รุ่นถัดไปของ MS ครับ
ตื่นเต้นๆ
ขอบคุณครับ
ตอนนี้รอ Threshold โล้ด
ยังไงทางตลาด Enterprise
MS ก็ยังแข็งแกร่งอยู่
จะมีใครจะมาล้มได้เปล่านะ
นั้นคือสิ่งที่แข็งแกร่ง แทบจะที่สุดของ MS แล้วครับ อีกอย่างคือเรื่องสิทธิบัตร ที่แข็งแกร่งไม่แพ้กัน
อ๋อ ทรัพยากรบุคคลของ MS ด้วยครับ
เป็นบทความของไทยในเรื่องการวิเคราะห์ด้านไอทีที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยอ่านมาเลย
เห็นด้วยกับ Elop ตรงน่าจะขาย Xbox ออกไป อาจจะขายเฉพาะส่วน h/w แล้วทำบริการเจ๋ง ๆ มาแทน
วิเคราะห์ได้สุดยอดมากครับ
Surface, Lumia หรือ WP อาจจะล้มหายตายจากได้ แต่ผมว่า Windows (PC) และ Office ยังแข็งแกร่งอยู่มาก อีกทั้งยังไม่มีคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อ น่าจะไปได้อีกนานอยู่
ส่วนตัวมอง MS เป็นส่วน ๆ ประมาณนี้
OS จะคงยังแข็งแกร่งในระดับ Enterprise ต่อไป แต่ในธุรกิจขนาดเล็กและกลาง น่าจะสูญเสียให้กับ Free OS ต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ อย่างช้า ๆ (ตราบใดที่รูปแบบการขาย License ยังเป็นเช่นทุกวันนี้)
Office คงจะหาอะไรมาล้มยาก
Mouse / Keyboard คงเป็นเพียงแค่ Branding Signature ไม่ใช่ธุรกิจหลัก คงไม่เลิก แต่ก็คงไม่ยิ่งใหญ่เทียบเท่า Logitech อะไรประมาณนั้น
Lumia จะเกิดหรือไม่เกิด ง่าย ๆ คือ Ecosystem ทัดเทียมผลไม้หรือกระป๋องหรือไม่ และ "นวัตกรรม" อย่าลืมว่าเริ่มต้นช้ากว่าเจ้าอื่น แถมไม่มียันต์ NOKIA มาสะกดจิตสาวกดึกดำบรรพ์แล้วด้วย
Surface คงจะทำต่อไป แต่จะเกิดเหมือน Macbook / iPad ไหม คิดว่ายาก เพราะ Macbook / iPad คือเจ้าเดียว แต่ Surface มีอีกหลายยี่ห้อที่ทำเหมือนกัน ตัวเลือกมีมากกว่า ต่อให้ Ecosystem ดีแล้วก็ใช่ว่า Surface จะขายดี
บริการออนไลน์ ถ้ามันจะเกิดก็ต่อเมื่อ 1. OS เป็นหนึ่งเดียวกัน และแทรกมาในระดับ OS เหมือน Chrome OS 2. ทัดเทียมหรือดีกว่าเจ้าอื่น 3. ขายอุปกรณ์หรือมี OS ที่เข้าถึงคนจำนวนมาก และมีอะไรจูงใจให้หันมาใช้บริการของตนแทนเจ้าตลาดเดิม เช่น Gmail / Dropbox / Google Search เป็นต้น
ส่วนตัวมองว่าไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินไป เชื่อว่า MS ทำได้ทุกอย่างแหละ แค่เพียงปฏิรูปองค์กรให้เสร็จเท่านั้น ลดขนาดให้คล่องตัว ออกผลิตภัณฑ์ให้เร็ว R&D เข้ม ๆ (ยากนะ เพราะจะทำอะไรที่ไม่เหมือนเจ้าอื่น ๆ ณ ตอนนี้นี่ หินสุด ๆ)
ส่วนที่อยากเห็นจาก MS คือ
Windows OS ฟรีสำหรับใช้ส่วนตัวหรือใช้ตามบ้าน Home Network Solution พร้อม และหารายได้จากการโฆษณา
Ecosystem ที่สมบูรณ์แบบทัดเทียมกับเจ้าอื่น (อยากให้ดีกว่าด้วยซ้ำ)
สร้างความ WOW ให้กับ Hardware ของตัวเอง ทำได้เมื่อไรสนุกแน่
ในฐานะแฟนคลับแล้ว ผมศรัทธาในแบรนด์ Surface นะ หวังให้ MS ดันมันขึ้นมาเท่า XBOX
R&D ของ MS ผมว่าสุดยอดอยู่นะ แต่กลับไม่รีบดันออกมา ดูกรณี "Surface" ทำไปทำมา ตลบหน้าตลบหลังเหลืออันเท่าถาด
คนขี้ลืม | คนบ้าเกม | คนเหงาๆ
Windows OS ฟรี อาจจะได้เห็นครับเพราะคงทำออกมาแน่หลังจากที่เริ่มปล่อยให้กับ OEM ฟรีสำหรับ Tabletไม่เกิน 9" ไปแล้ว
Ecosystem อันนี้ไม่รู้จะพูดว่าทัดเทียมหรือสมบูรณ์ยังไงเพราะสาย windows มันก็มากแต่เดิมอยู่แล้ว แต่ถ้าเปรียบเทียบกับเทรนใหม่ๆ อาจจะดูเหมือนไม่เยอะ แต่ไม่น้อยแน่ครับ (แต่ถ้าเป็น Smart Device เข้าใจครับน้อยกว่าเห็นๆ)
อยากให้มี WOW ครับ อยากเห็นแบบล้ำๆกว่าคนอื่น สักที
ผมเป็นสาวกโนเกียแต่ไม่เคยคิดจะซื้อ Lumia อยู่แล้วถึงแม้ว่าจะมียี่ห้อโนเกียแปะอยู่ก็ตาม เห็นคุณโพสแบบนี้บอกตามตรงว่าหาคำอื่นให้มันดีกว่าคำว่าดึกดำบรรพ์หน่อยได้มั้ยครับ
คุณ mk สรุปได้ดีมาก อ่านสนุกมาก ๆ เลยครับ รอดูอนาคต M$ กันต่อไป :-)
ไม่เห็นด้วยที่ว่า Windows จะตายในตลาด consumer หาก Windows 9 pro ขายในราคา 999 บาท เชื่อว่าตลาดจะกลับมาคึกคักกว่า os แจกฟรีอย่าง Mac os X เพราะเครื่องมันแจกฟรีตามไหม ราคาเมื่อเทียบสเปคกับฮาร์ดแวร์ฝั่งวินโดวส์ ซื้อวินโดวส์คุ้มค่ากว่ามาก
คำตอบของข้า คือ ประกาศิต
มันพ้นยุคของการแข่งกันอัดเสปกแล้วครับ แต่เห็นด้วยว่าโอเอสแจกฟรีไม่ได้ช่วยให้แมคขายดีขึ้น แต่เป็นเครื่องมือให้ผู้ใช้แมคตามเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้ทัน ซึ่งมันส่งผลต่อยอดขายบริการต่างๆ โดยตรง ตรฃนี้เป็นรายได้หลักของแอปเปิ้ลครับไม่ใช่การขายเครื่อง
ถ้าวิเคราะห์ตามบทความจะเทียบอย่างคุณว่าไม่ได้(หมายถึงส่วนที่คุณเทียบว่า Windows ลดราคาแล้วจะคึกคักกว่า Mac OSX แจกฟรี)
PC คือ PC HW + Windows (หรือ OS อื่น)
Mac คือ Mac HW + Mac OS
Apple ไม่ได้อยากแข่งเรื่อง OS กับ MS อยู่แล้ว
ที่ Mac อยากได้คือลูกค้าจาก PC
ทีนี้มันมีผลก็ user ไหมเรื่อง OS ฟรี
ผมว่ามี มีเยอะ
Apple จะได้ลูกเล่นใหม่(หลังจากที่เมื่อก่อนมีมุกหลักๆมุกเดียวเรื่องไวรัส) ซื้อ Mac อัพเดท OS ฟรี ผมว่ากระแทกใจคนใช้ PC หลายๆคนเหมือนกัน แต่สิ่งทีจะรั้ง user ไว้ คือสิ่งแวดล้อมมากกว่าที่จะเป็นตัว Windows
ผมก็เชื่อว่า MS คงไม่ล้มหรอก(อย่างน้อยก็เร็วๆนี้เร็วๆนี้)ในส่วนของ OS แต่ทรงของตลาดและผลิตภัณฑ์ต้องเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมาก
ถ้า MS ตามไม่ทันตอนนั้นแหละ MS ก็จะเหมือน Nokie
เมื่อ 1 ปี หรือเกือบๆ 2 ปีก่อน อาจจะไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้วันนี้ ผมชักไม่แน่ใจแล้ว
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เปลี่ยนแปลงความคิดคือ
ความล่าช้าและทอดทิ้งกลุ่มผู้ใช้ที่ใช้งาน Windows RT และ Windows phone และไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง เนื่องจากประสบการณ์ตรงเลยเข้าใจ เพราะความสามารถของ Windows phone 8.1 ในตอนนี้ทำได้ไม่มากไม่น้อยไปกว่า Android เมื่อวันที่ Windows phone 8 เปิดตัว ที่ถือว่าเป็นนวัตกรรมหลายตัวในตอนนั้นแต่มาวันนี้มันไม่แปลกใหม่อะไร ถือว่าตามหลังชาวบ้านเค้า 2 ปีเป็นอย่างน้อย แน่นอนคนซื้อไม่รอ ส่วน Windows RT ถือว่าตามหลักหนักกว่า Windows phone 8 มาก และคิดว่าคงตายแล้วแน่ๆ เพราะไม่มีการพัฒนาใดๆ เลย ทางแก้คงเป็นการเอาแอพของ Windows phone 8 มาใส่ แทน หรือไม่ก็ลอยแพกลุ่มคนใช้ Windows RT ไปเลย ซึ่งเป็นผลเสียแน่ๆ เพราะหากมีการออก OS รุ่นใหม่ที่ไม่ใช่ x86 ออกมา คงไม่มีใครกล้าลงไปสุ่มหัวร่วมเป็นร่วมตายอีกแน่ เพราะพี่ท่านทำชาวบ้านขาดทุนไปตั้งเท่าไหร่
การเปิดตัว OS คู่แข่งที่ผสานบริการต่างๆ ได้แนบเนียนกว่ามากขึ้น ซึ่งไม่เข้าใจว่าประสบการณ์ในการผสานระบบซอฟต์แวร์ในตลาด enterprise ของ Microsoft ไม่ได้ช่วยอะไรตลาด comsumer เลยเหรอ เพราะหลายๆ อย่างดูขาดๆ เกินๆ บางอย่างดูยากเกินไป ซึ่งดูแล้วคงช่วยอะไรไม่ได้ นอกจากทำใจ
ตลาด Desktop และ Notebook แม้จะครองตลาด แต่สภาพตลาดไม่ได้เอื้อให้ Windows เติบโตได้ต่อไปได้อีก และมีแนวโน้มว่าคนจะเปลี่ยนเครื่องช้าลง หรือย้ายไปใช้ Tablet มาใช้แทน ปล่อย Windows แบบฟรี คงทำได้แต่ในตลาด comsumer ซึ่งคิดว่าคงเป็น edition แนวๆ home edition ส่วน pro หรือ enterprise คงต้องซื้อ activation code มาเพิ่มเติมแทน เพราะในตลาด enterprise คงต้องยึดหัวหาดในการคิดค่า license กันต่อไป เพราะสามารถขายได้ เพราะต้องต่อกับพวก AD และการคิดเงินแบบ CAL ที่น่าจะเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญพอสมควรที่ยังไม่น่าจะหายไปในเร็ววันนี้
งานหลายๆ อย่างในตลาด Tablet อย่าง Android/iOS ตอบสนองได้เทียบเท่ากับ Desktop/Notebook แล้ว แถม Windows RT ที่จะมาฟาดฟันในตลาด Tablet ก็ดูจะตายอย่างไม่ต้องสงสัย ประกอบกับพกพาสะดวกในราคาที่ถูกกว่ามากหลักสองพันกว่าบาทก็พอทำงานหลายๆ อย่างได้แล้ว และทุกวันนี้หากไม่ได้ทำงานแบบ Full multi-task และต้องการใช้คีย์บอร์ดดีๆ ผมแทบไม่ได้นั่งทำงานอยู่หน้า notebook เลย งานบน Tablet/Mobile รองรับการทำงานได้ทั้งหมด
2 ขอตัวอย่างเรื่องผสานบริการแนบเนียนกว่าของค่ายอื่นหน่อยครับ อ่านแล้วไม่เข้าใจ เพราะผมว่า MS นี่เนียนสุดแล้วนะเรื่องพวกนี้(ไม่แน่ใจหมายถึงเรื่อง cloud service รึเปล่า หรือส่วนอื่น)
บริการในที่นี้ของผมคือบริการ cloud services ในส่วนของ consumer ครับ มันยังไม่ผสานดีเท่ากับฝั่ง Google หรือแม้แต่ Apple แม้เหมือนจะดูผสาน แต่พอใช้ลึกๆ แล้วมีปัญหาอยู่พอสมควร เช่น
จริงๆ มีอีกเยอะครับ ผมนึกออกเร็วๆ ประมาณนี้ จริงๆ ค่ายอื่นๆ ก็มีปัญหาครับ แต่ Microsoft เอาการ sync ของ enterprise มาใส่ใน comsumer แล้วไม่สุด เหมือนกั๊กๆ ไว้ บางอันเหมือนทำไม่เสร็จก็มี
คุณพลาดไป 1 เรื่อง เป็นเรื่องที่ คุณมองข้ามและคาดไม่ถึง
"FREE OFFER BUSINESS MODEL"
ถ้าลองไปสังเกตุดูดีๆ จะพบว่า ตลาดองค์กร ต้องจ่ายค่า license การใช้ OS เพราะเป็นเรื่องทางธุรกิจที่สามารถฟ้องร้องและได้ค่าเสียหายมาก ส่วนใหญ่องค์กรธุรกิจไม่เสี่ยงใช้ประเด็นนี้ เนื่องจากค่าใช้จ่าย software ตัดเป็นค่าใช้จ่ายได้
แต่ทำไมตลาด consumer MS ถ้าจะเอาจริงก็ทำได้แต่ไม่ทำ ผลได้ของการฟ้องจะน้อยมาก ไม่คุ้มค่าใช้จ่าย และสร้างทางเลือกให้ผู้บริโภคไปหา OS อื่นที่ FREE
การคุ้นเคยกับ OS ใดมาส่งผลต่ออนาคตของ บริษัทนั้นๆในระยะยาว
ลองคิดง่ายๆ MS รู้ไหมว่ามีการละเมิดลิขสิทธ์ windows ... เขาทราบ... และทำไมยังเปิดให้ใช้งานได้อยู่ทั้งที่จริงแล้วจะปิดการทำงานยังได้เลย (แค่ออก patch)
ผมมองว่า การที่ทำให้ OS เป็นที่เคยชินในตลาด จะทำให้ เวลาเลือก OS ของผู้ที่มีกำลังจ่าย ("Willingness to pay") เลือก OS WINDOWS แทนที่จะเป็น CHROME OS , OSX หรือ LINUX
หาก MS ออกจากตลาด consumer จริงๆ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ คนรุ่นใหม่จะชินกับ OS ทางเลือก เช่น LINUX และ OSX หรือ ios หรือ Chrome OS ซึ่งจะส่งผลต่อ รายได้ของ MS ในระยะยาว รวมไปถึง SERVICE ต่างๆด้วย (ใช่สิ ฉันไม่ได้ใช้ WINDOWS ทำไมฉันต้องใช้ OUTLOOK,SKYPE,AZURE)
สิ่งที่ windows จะทำในอนาคตคือ การแจกฟรี โหลดไปใช้ได้ฟรี (แต่ข้าพเจ้าขาย service พูดง่ายคือ FREE OS ** มึ IN APP PURCHASING) ซึ่งหาก mobile และ desktop ใช้ os เดียวกัน (ตอนนี้เขาพัฒนาอยู่ เราถึงได้เห็น RT + phone 8.1 นิ่ง)
ลองคิดดูนะ โปรแกรมที่รันใน เครื่องใหญ่ได้ รันในมือถือได้ด้วย คิดว่าตลาดจะเป็นของใคร? นี่คือสิ่งที่คู่แข่งสำคัญคือ Apple คิดมาตลอด พยายามปรับ OSX +iOS เข้ามาเป็นเนื้อเดียวกัน) แต่ผมคิดว่า windows มีโอกาสมากที่สุด
ทำไมผมคิดแบบนั้น
Tablet ขนาด 8 นิ้ว บางรุ่นบางยี่ห้อ รัน windows ได้ใส่ซิมได้ และ(โทรได้) install โปรแกรมเหมือนใน pc ได้เลย ในขณะที่คู่แข่งทำไม่ได้
โลกธุรกิจ จริงๆ mobile และ desktop ไม่สามารถแทนได้ บริษัท solution it เจ้าดังๆทราบดี แต่หนทางที่ดีที่สุดคือ ใช้ควบคู่กัน และผมมองว่า MS ชนะเกมนี้
ผมเคยมองแบบนี้เลย
โดยส่วนตัว ผมว่าไมโครซอฟท์สู้ตายในตลาด consumer แน่ เหตุผลเดียวกับที่คุณว่าเลย เพราะถ้าเสียฐาน consumer ไป ตลาด enterprise นั่นแหละที่จะโดนทำลายด้วย network effect แบบเดียวกับที่ไมโครซอฟท์สร้างตัวเองขึ้นมา
ปัญหาคือ ไมโครซอฟท์ช้าไป(มากกกก) มากจนไม่แน่ใจว่าตั้งใจจะสู้รึเปล่า แล้วกว่าจะพร้อมสู้ต้องอีกนานแค่ไหน
Learning Curve ที่เคยเป็นข้อได้เปรียบ Network Effect ที่เคยเป็นอาวุธที่ยิ่งใหญ่ ตอนนี้แทบจะเอามาใช้ในตลาดมือถือซึ่งเป้นตลาดที่โตเร็วที่สุดไม่ได้เพราะตัวเองไม่พร้อมซักทีในขณะที่คู่แข่งลงหลักปักฐานเรียบร้อย แถมจะเอาหันกลับมาบุกตลาด PC/enterprise ที่เป็นฐานที่มั่นเดิมของไมโครซอฟท์อีก
ถ้าไมโครซอฟท์ยังช้าอยู่แบบนี้ ไมโครซอฟท์นั่นแหละที่อาจจะถูก"บีบ"จากคู่แข่งให้ออกจากตลาด consumer
ถึงจะแจกฟรี ถ้าตลาดไม่เอา ก็คือไม่เอานะครับ ตัวอย่าง เช่น web os, symbian, และ tizen
ยิ่ง windows ที่ไม่มีคนแข่งออก windows รุ่นฟรี ที่ทำอะไรใด้น้อย อาจทำให้คนหันไปหา free os เร็วขึ้นก็ใด้
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
ปัจจุบันตลาดยังเอาไงครับ ถ้าไมโครซอฟท์รีบเดินเกมเร็ว(และควรจะดีด้วย)ก็ยังพอรักษาฐานตลาดไว้ทัน
ถ้ายังอืดเป็นเรือเกลือแบบนี้ รอจนตอนที่คนใช้ OS อื่นๆจนชิน จะทำอะไรก็ไม่ทันเพราะตอนนั้นคนไม่เอาแล้วจริงๆ
ผมยังไม่อยากเชื่อว่า Windows Mobile ในวันที่ชนะ PalmOS จะกลายเป็นง่อยได้ขนาดนี้ นับว่า M$ มองตลาดไม่ขาดจริงๆ นับตั้งแต่ตอนที่เป็นผู้นำตลาด Smartphone จนกระทั่ง Android เกิดขึ้นมา จนกระทั่ง Android แซงหน้า iOS ไป Microsoft มัวไปทำอะไรอยู่ที่ไหนหนอ...
ผมว่ามันน้อยเกินไป และช้าเกินไป คงต้องถอยทัพไปเก็บกินตลาดองค์กรอย่างที่ถนัดแหละดีแล้ว รอให้ Google บุกเข้าไปตีให้ยับจะได้จบๆ ตำนานไป :-P
ผมว่า MS เขารู้เรื่องนี้ดี แม้ว่าจะมีคนใช้ windows แบบไม่ได้ซื้อ license แต่สิ่งที่ MS ได้ไปคือ ประสบการณ์ในการใช้งาน ใครจะรู้ว่า คนที่จะตัดสินใจซื้อ OS ตัวไหน เขาอาจจะมีประสบการณ์จาก WINDOWS เถื่อนก็เป็นได้
ถามว่า MS เสียอะไร? ผมว่า MS ได้กับได้ เพราะจริงๆ ค่าโฆษณาแวบๆ ออกตามสื่อ แจก windows ได้หลายพัน License เลยนะครับ แต่ถามว่า ไอ้โฆษณาตามสื่อ แวบๆ เนี้ย มันให้ประสบการณ์คนใช้ไหม?
ตอบเลยว่าไม่! นั้นเป็นสาเหตุที่ บริษัทด้าน IT ทั้งหลายแข่งกันเปิด STORE ตัวเป็นๆ และหลายกรณี ไม่ได้ตั้งใจขายของด้วย (เรื่องค้าขายเป็นเรื่องน้ำจิ้ม) แต่ให้คนมีประสบการณ์กับสิ่งๆ นั้นเป็นเรืองใหญ่
MS แทบไม่มี STORE ตัวเป็นเหมือนคู่แข่ง แต่สิ่งที่ MS มีและเราใช้เองไม่รู้ตัว
windows เถื่อนๆ
ไม่ต้องโฆษณา ไม่มีต้นทุน (เพราะไอ้พวกที่ต้องจ่าย license จ่ายกันไปโครมๆแล้ว) ใช้กันปากต่อปาก เคยชินกับ windows
นี่คือความเห็นผมเองนะครับ MS ไม่บังคับอัพเดต KB เลขที่ 971033 ด้วยเหตุผลบางประการ (KB ตัวนี้หากเจอเครื่องที่ license ไม่ถูกต้อง มันจะฟ้องการทำงานบนหน้าจอจนรำคาญ)
เมื่อคุณคุ้นกับ windows คุ้นกับ office คุ้นกับ service ของ MS แล้ว ทีนี้ขึ้นกับว่า MS จะทำโปรดักส์ตัวไหนโดนๆที่ คนยอมเสียเงิน
..ความบันเทิง..
ผมเขียนไม่ผิด และเชื่อไหมทุกค่ายก็กำลังทำอยู่
หากใน node นี้พูดว่า MS กำลังจะละทิ้ง ตลาด consumer ผมก็ต้องเสนออีกด้านด้วยว่า Apple กำลังจะทิ้งตลาดโปร ด้วยเช่นกัน
แต่สิ่งที่สองบริษัทนี้ทำ คือ FREE OFFER บางอย่าง ให้เคยชิน แล้วขาย บางสิ่งที่ทำเงินและยินดีจ่าย
สวัสดี
เรื่องของเถื่อนนี่ผมว่ามันไม่ค่อยจำเป็นนะ คือ Windows เองยึดตลาดได้มาตั้งแต่สมัย Windows 95 (ก็เกือบ ๆ 20 ปี) คุณคิดว่า MS ยังต้องประชาสัมพันธ์อะไรเพิ่มเติมเพื่อที่จะทำให้คนรู้จักอีกเหรอครับ ? ในเมื่อมองไปทางไหนเราก็ยังเจอ Windows อยู่
สำหรับบ้านเรา อาจจะเห็น Windows อยู่จำนวนมาก ส่วนหนึ่งก็เพราะว่ามีคนโหลดเถื่อน (ส่วนใหญ่ด้วย) แต่ถ้าบอกว่าทำไมคนถึงใช้ Windows ก็เพราะว่า ... ก็เขารู้จักแต่ Windows ทั้งคนใช้แท้และเถื่อน (เช่น license ติดมากับเครื่อง) ดังนั้นความจำเป็นที่จะต้องปล่อยให้คนใช้ของเถื่อนต่อไปนั้นไม่มีเลย
คุณลองไปถามคนที่ไม่ใช่สายไอทีดูสิ ถามเขาว่า คอมพิวเตอร์มี OS อะไรบ้าง ผมว่าเกินครึ่งที่ตอบได้แค่ว่า Windows เท่านั้น เพราะเขาไม่รู้จักตัวอื่น
ปล. ผมล่ะเห็น BSA ขยันส่ง Notice จัง เคยคุยกับนักกฎหมายเขาว่า ถ้าไปสู้ในศาลก็แพ้คดีอยู่ดี แต่ยังส่ง Notice อยู่ได้
windows มันเป็นมาตรฐานเพราะเครื่องที่ใช้ได้มันราคาถูกเมื่อเทียบกับระบบอื่นๆ แล้วมันต่อยอดมาจากดอสที่แพร่หลายอยู่แล้วด้วยพาร์ทเนอร์ทางซอฟท์แวร์ก็เยอะด้วย ในบ้านเราที่ไหนๆ ก็สอนโอเอสและโปรแกรมฝั่ง Windows ทั้งนั้น คนก็เลยเหมือนอยู่แต่ในระบบนิเวศของ windows มาตลอดหลายสิบปี M$ เพิ่งจะมาเป๋ตอนยุคหลังพีซีนี่เอง
ส่วนของเถื่อนนี่ผมก็ว่า M$ ไม่ได้ยินดีหรอกครับเพราะไม่งั้นพอออกอัพเดตมาทีนึง Windows เถื่อนก็จะบูตไม่ได้ หรือถ้าไม่ลงตัวแคร๊กก็มีหมดอายุด้วย ถ้าปล่อยเถื่อนจริงๆ ก็คงแค่ไม่ต้องใส่รหัสผ่านแล้วให้ใช้ได้ตลอดไปเลย Windows เถื่อนที่อัพเดตไม่ได้พอเกิดปัญหาทีนึงเดี๋ยวคนก็จะบ่นว่าประสบการณ์การใช้ไม่ได้เรื่องอีกต่างหาก (ใช้ของฟรีแล้วยังไปด่าเค้าอีก พวกนี้ก็เยอะเลย)
อันนี้ป่าวครับ
"It's easier for our software to compete with Linux when there's piracy than when there's not." -Bill Gates, Fortune Magazine, July 17 2007
ประเด็นอื่นคงเป็นความเห็นของคุณซึ่งแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคลนะครับ แต่ในบทความผมไม่ได้บอกว่า "MS กำลังจะละทิ้ง ตลาด consumer" ครับ ความหมายของผมคือ "ถูกบีบให้ออกจากตลาด consumer" แม้อยากบุกใจจะขาดก็ตาม
อารมณ์คุณประมาณ MP3 สมัยก่อนเลยอะ ที่บอกว่าค่ายเพลงเป็นคนปล่อย MP3 เถื่อนออกมาเองเพื่อไล่เก็บค่าลิขสิทธิ์กับอยากให้นักร้องดัง(ขออภัยถ้าเข้าใจผิด)
ผมว่าไงๆ MS ก็อยากเก็บให้ได้ทุกบาททุกสตางค์อะแหละ แต่คงคิดมาแล้วว่าทำกับประเทศที่ไม่เน้นเรื่อง LC มันคงไม่ค่อยคุ้ม
และอย่างเรื่อง patch ก็ไม่เคยเห็น MS บังคับอะไรจริงจังเลยนะเรื่องอัพส่วนใหญ่มาเป็นคำแนะนำ
ถ้า Microsoft สามารถดัน Surface Pro จนติดตลาดได้ ผมว่าจะยิ่งน่าสนุกมากๆ กับสามก๊กไอที
ส่วน Surface RT กับ Windows RT ผมว่าโล๊ะทิ้งไปเลย ทำตลาด Surface Pro ตัวเดียวเน้นๆ
คุณต้องเดินถอยออกมาประมาณ 5 ล้านก้าว แล้วมองกลับไปทำไม MS ต้องทำ Hardware
ผมจะบอกว่า เมื่อคราวที่ MS จับมือกับผู้ผลิตคอมหลายๆเจ้า ทำ windows 8 จอทัส มันมีเครื่องที่เข้า concept เครื่องที่ออกทะเล เละเทะไปหมด
เพราะอะไร? ไม่มีผู้นำในตลาด ไม่มีใครกล้าเสี่ยง ไม่มีใครกล้าทุ่ม
สิ่งที่ MS ทำคือ ทำ HARDWARE เทพๆ 2 - 3 รุ่น มีชื่อว่า SURFACE ทำสเปคดีๆ (ดีจริงๆนะครับจากการลองเล่นดู) ผลหรือครับ ?
ยอดขาย SURFACE ที่พุ่งแซง partner ของ MS เอง
แล้วเขาจะมาเป็นคู่แข่งกันไหม?
บอกเลยว่าไม่ นี่เป็นโชว์เรียกแขก จาก MS ที่สื่อสารไปยัง partner ของตนเอง ว่า พวกคุณดูสิ HARDWARE ดีๆขายแพงๆ ก็ยังมีคนซื้อ ดังนั้น อย่ากลัวที่จะสร้าง Hardware ดีๆ
ปล.กำไร hardware พวก เมาส์ คีย์บอร์ด น่าจะกำไรเยอะกว่า Surface ด้วยมั้งครับ
ผมก็ไม่แน่ใจเรื่องกำไรของ Surface นะครับ แต่คิดว่าถ้า Surface Pro ติดตลาดแทน Macbook Air (ที่ MS กำลังชูเป็นจุดขายอยู่) ได้จริงๆ MS ก็มีแต่ได้กับได้ทั้งนั้น ส่วนแบ่ง OS ของ Windows 8 ก็จะเพิ่มขึ้นด้วยครับ
ถ้ามองเฉพาะฝั่ง Consumer ผมซึ่งถือ Surface pro และเคยถือ Lumia 1520 คิดว่าสิ่งที่ Microsoft ขาดที่สุดคือการเข้าถึง Content (หรือในที่นี้คือ service) เพราะถึงแม้ Hardware จะทำออกมาได้เนี้ยบและราบลื่น แต่การเข้าถึง content ค่อนข้างยุ่งยากเมื่อเทียบกับเจ้าอื่น
ตัวอย่างที่ผมเจอเองคือ Youtube และ Kindle Jp ซึ่งเป็นแหล่ง content ค่อนข้างใหญ่ แต่เข้าถึงแบบ Native ผ่านทาง Windows ไม่ได้เลย ทำให้ประสบการ์ณใช้งานไม่ดีนัก ซึ่ง Apple ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของ content แต่เป็นทางผ่านได้ ทำให้ MS เสียบเปรียบมาก นี่ยังไม่นับถึง content อื่นๆที่อาจจะเล็กกว่านี้ เช่น Line, instagran, etc.
ทั้ง 3 ค่ายต่างมี Ecosystem ที่ขังผู้ใช้อยู่หมัด
ผมใช้ๆ window, office และใช้ google ถือ iPhone และ android
อ่านบทความนี้ผมเลยเข้าใจว่าทำไมผมต้องถือหลายเครื่อง
ขอบคุณสำหรับบทวิเคราะห์ดีๆ ครับ
ในความเห็นส่วนตัว ผมสนใจคำว่า "Productivity" ของ Nadella มากที่สุด เพราะ...
เป็นสิ่งเดียวที่คู่แข่งอีก 2 ก๊ก ที่เหลือ ยังเอาชนะไม่ได้ และก็ยากที่จะเอาชนะให้ได้
Apple นี่ตัดเรื่อง Productivity โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวของกับงานประจำ อย่างการพิมพ์เอกสาร สเปรดชีท (เว้นเรื่องพรีเซนต์จาก Keynote ให้ซักตัว) ไปได้เลย...ก๊กนี้เรื่องบันเทิง ยังไงก็กินขาด เสียแค่ระบบปิดไปหน่อย
Google เอง แม้จะมี Google Docs อยู่ในมือ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผมยังถือว่าความสามารถห่างจากชุด Office เยอะพอสมควรครับ
ซึ่งถ้ามองเฉพาะประเด็น Productivity ในชีวิตประจำวันของทุกคน เชื่อเหลือเกินว่า ขาด Windows ได้ แต่จะขาด Microsoft Office ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก วัยรุ่น คนทำงาน หรือแม้แต่คนแก่...
ทีนี้ถ้า Microsoft ผลักดัน Office แบบจริงจัง เช่น ทำแอพฯ Microsoft Office ที่มีความสามารถใกล้เคียงหรือเท่ากับเดสก์ทอปลงอุปกรณ์ที่เป็น Windows Phone เท่านั้น แถมขายราคาถูกหรือแจกฟรีกันไปเลย (เพราะยังไงก็ขายไลเซนต์กับฮาร์ดแวร์อยู่แล้ว) อันนี้แหละที่น่าจะเป็น "ไม้ตาย" ของ Microsoft มากที่สุด
ไม่ว่าจะพกมือถือ iOS หรือ Android เพื่อเล่นเกม ท่องเว็บ ฯลฯ หรือทำอย่างอื่น แต่ถ้าคิดว่าต้องทำงาน แล้วถูกบีบให้เหลือตัวเลือกที่ Microsoft บังคับข้างต้น... (คิดต่อกันเองครับ)
ในมุมมองผม ผมคงแบ่ง 3 ก๊ก เป็นอีกจักรวาลหนึ่งครับ (Spiderman ยังมีจักรวาลคู่ขนานฉันใด 3 ก๊กไอที ก็คงต้องมีฉันนั้น)
จักรวาลที่ว่า คือ Entertainment, Online Service และ Productivity ถ้าแบ่งเค้กกันตามจักรวาลนี้... ผมว่าทุกก๊กน่าไม่ทับเส้นกันนะครับ แต่ละก๊กต่างก็ใช้จุดแข็งของตัวเองได้อย่างเต็มที่
Apple กับเรื่องความบันเทิงที่ดูจะเป็นของคู่กันอย่างเนียนที่สุด (iPhone เป็นมือถือที่ถูกใช้ถ่ายรูปแล้วโพสต์โชว์มากที่สุด)
Google เอง ก็คงหนีไม่พ้นการนำทุกอย่างขึ้นสู่โลกออนไลน์ ถ้าทำให้ระบบออนไลน์กลายเป็นเรื่องสามัญขึ้นกว่านี้ได้อีก คนก็ยิ่งติด เพราะยังไงเว็บแรกที่เลือกเปิดก็เป็น Google อยู่แล้ว (ส่วนเปิด Google แล้วจะไปไหนต่อก็ว่ากันไปครับ)
และ
Microsoft กับบทบาทของคนทำงานตัวจริง ถ้าหันไปเน้นการพัฒนาในเชิงการทำงานสุด ผมว่ามีโอกาสพลิกเกมได้เหมือนกัน อาจจะไม่ถึงขั้นกลับมาเป็นเบอร์หนึ่งในโลกสมาร์ทโฟน แต่จะเป็นเบอร์หนึ่งในกลุ่มสมาร์ทโฟนเพื่อคนทำงาน
นี่ถ้าผมคิดต่อเล่นๆ ว่า Microsoft ทุ่มซื้อ BlackBerry (เอาระบบจัดการในองค์กรที่เน้นความปลอดภัยสูง), Evernote (เอาระบบจดบันทึก), Dropbox (เอาระบบฝากไฟล์ที่ง่ายและรวดเร็ว) มาทั้งหมด
โลกฝั่ง "ทำงาน" คงไม่หลุดไปจากกุมมือของ Microsoft แน่ๆ ครับ
ก็คิดไว้... ถ้า Microsoft บ้าจี้ทำตามเมื่อไหร่ เราคงได้เห็น Geek หิ้วอุปกรณ์จากทั้ง 3 ค่ายกันอย่างครบครัน จากที่ทุกวันนี้ก็พกกันคนละ 2 ชิ้น เป็นอย่างต่ำไปแล้ว (ไหนใครยังพกมือถือเครื่องเดียวยกมือขึ้น?)
ลองคิดว่า สมาร์ทโฟนหลักเป็น iPhone (แอพฯ เยอะถ่ายรูปง่าย สวย และโชว์ได้), มี iPad หรือแท็บเล็ตติดตัว (อ้างว่าใช้อ่านเอกสาร แต่ที่จริงใช้เล่นเกม เพราะจอใหญ่กว่ามือถือ), สมาร์ทโฟนสำรองเป็น Android (ใช้ออนไลน์ล้วนๆ ทั้งอีเมล, แบ็คอัพ, โซเชียล ฯลฯ)
และ
ยังต้องมีสมาร์ทโฟน/แท็บเล็ต Microsoft อีกเครื่องไว้พิมพ์งาน ทำเอกสารต่างๆ หรือแม้แต่ใช้พรีเซนต์...
แค่คิดครับ ถ้าเป็นจริง ผมว่าเราคงลำบากเรื่องอแดปเตอร์น่าดูเลยทีเดียว 555+
ผมพก Android เครื่องเดียวครับ
iPhone เคยใช้ แต่พอหันมาใช้ android ผมก็เลิกใช้ iPhone ครับ
ทุกวันนนี้ใช้ Notebook ของ Office รัน Windows
และไม่เคยเอากลับบ้าน
"ขาด Microsoft Office ไม่ได้" ... ไม่เป็นความจริงครับ
สมัยก่อนบ้านเราจะไช้ CW (จุฬา Word) / Lotus123 สมัยนั้นมีคนพูดเหมือนกันว่า "ขาด CW / Lotus123 ไม่ได้" วันนี้เรารู้แล้วว่า ชุด office มันเคยเปลี่ยนมาแล้วและเปลี่ยนใด้อีก ทั้งที่ CW / Lotus123 มี office บน windows เหมือนกัน
โลกเราเปลี่ยนไปเรื่อยๆ Android/ios กินตลาดมือถือ / tablet และกำลังลามไปที่ notebook โปรแกรมพวก office ทุกเจ้าขายตัวเองทันที แต่ ms ก็ยังกัก และทำ office ออกมาช้า ง่อย และต้องจ่ายรายเดือน บน Android/ios เพื่อจะขาย wp ที่เข็นไม่ขึ้น
ตอนนี้ยังเร็วไปที่จะบอกว่า windows หรือ ms office จะหายไปจากตลาด แต่ windows arm เข็นไม่ขึ้นจริงๆ แปลว่าตอนนี้ windows อาศัย ecosystem เดิมอยู่เท่านั้น
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
ผมพก android เครื่องเดียว
ส่วน งานโดยส่วนตัวใช้ Google Docs ก็ตอบสนองความต้องการได้ครบครันแล้วครับ
life style ของ consumer ระดับ mass ไม่ได้ใช้ความสามารถระดับลึกล้ำอะไรมากมายหรอกครับ
ผมพก iPhone เครื่องเดียวครับ :-D
สงสัยเราคงไม่ใช่ "กิ๊ก"
เห็นด้วยว่า M$ กินบุญเก่าอยู่จริงๆ ถ้าไม่นับ Xbox360 ที่เป็นแพลตฟอร์มที่ประสบความสำเร็จจริงๆ ก็ดูเหมือน M$ ย่ำอยู่กับที่หากินกับโปรแกรมสำนักงานเป็นหลักจริงๆ
ส่วนโปรแกรม Office ไม่จำเป็นต้องยึดติดอยู่กับ Microsoft Office ก็ได้ครับ ถ้าคุณทำงานเอกสารอยู่แค่ในองค์กรตัวเอง (โดยเฉพาะองค์กรขนาดเล็ก-เล็กมาก) เวลาส่งออกเอกสารก็ทำเป็น pdf ออกไปให้อ่านได้อย่างเดียว ก็มีตัวเลือกอื่นให้ใช้เยอะแยะ อาจจะไม่รวดเร็ว ไม่ถนัดเท่า แต่มันก็ใช้งานได้ในระดับหนึ่ง เหมือนที่บางคนเคยตั้งคำถามว่าฟังก์ชั่นมากมายใน Microsoft Office มีใครใช้เกินครึ่งบ้าง ??
มันมีงานบางอย่างจริง ๆ นะครับที่ขาด MS Office ไม่ได้ ถ้าใครอยู่ในจุดที่ผละจากมันได้นี่จะเพอร์เฟคมากครับ
ทุกวันนี้อยากจะเปิดไฟล์ Checklist Excel ใน Libreoffice แต่เปิดทีไรเอกสารพังทุกที เอาฟ้อนต์มาลงแล้วก็ยังไม่ได้ จะไปเปลี่ยนก็ไม่ได้เพราะมันเป็นของที่ทำงานไม่ใช่ของส่วนตัว หรือเรื่องเอกสาร ถ้าต้องแก้ร่วมกัน หากโน้มน้าวให้เขาให้แอพอื่นไม่ได้ ก็ต้อง MS Office อยู่ดี เพราะไม่งั้นหน้าตาเละหมด
ถ้า windows pc รวมกับ windows phone ได้ น่าจะได้เห็นอะไรดีๆ
MS จะตกม้า เพราะตลาดpc หดตัวนี่แหละ เนื่องจากconsumer ที่เคยใช้ pc/laptop เพื่อเล่นเนท ดูหนัง เล่นเกมcasual ฟังเพลง สามารถใช้smartphone/tablet ทดแทนได้เกือบทั้งหมด เหลือแค่ส่วนการพิมพ์งานและโปรแกรมเฉพาะทางเท่านั้นที่ทดแทนไม่ได้ แต่ก็ทำให้เด็กๆหรือน.ศ.ยุคใหม่ลดการใช้pc ลง(หลายคนซื้อแค่ipad แล้วเวลาทำรายงานค่อยไปใช้ห้องคอมแทน)
เห็นได้ชัดหลานๆผมสมัยนี้ขอพ่อแม่ซื้อมือถือหรือtablet เป็นของขวัญ มากกว่าที่จะอยากได้pc/laptop เหมือนเด็กยุคก่อนหน้า
สำหรับผมhardcore gamer ยังไงก็ต้องpc ตราบใดที่console ยังต่อสามจอหรืออัดกราฟฟิคหนักๆไม่ได้ แต่ก็เซ็งที่ทั้งcpu และ gpu ขยับตัวพัฒนาช้ามากๆในรอบสองสามปีมานี้
+1 เห็นด้วยครับ MS ถึงจะไม่ตาย(มีของเก็บกินอยู่อีกมาก) แต่ก็มีแนวโน้มโตช้าลง ด้วยตลาดความแรง pc เริ่มอิ่มตัว รอบการเปลี่ยน pc ห่างขึ้นจะส่งผลให้แนวโน้มราคาชิ้นส่วนน่าจะมีราคาสูงขึ้น ต่อไป pc แรง ๆ ก็อาจจะเป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม เหลือแต่ pc เสปคต่ำ ๆ ซึ่งก็เพียงพอการใช้งานเวลาต่อสายเล่นเน็ทอยู่บ้าน พิมพ์งาน ทำกราฟิก เขียนแคดเล็กน้อย และผู้ใช้กลุ่มทั่วไปนี้ก็มักไม่อัพเสปกกันเท่าไร เน้นเปลี่ยนรอบเดียวอาจจะสัก 4 ปีขึ้นไปหรือนานกว่านั้นถ้าวินโดวส์น่าใช้ออกรุ่นเว้นรุ่น ถึงตลาดไม่หด แต่ตลาดอีกฝั่งเติบโตมากเมื่อเทียบกัน ผู้คนสนใจจับจ่ายของอีกฝั่ง เม็ดเงินเทไป เดฟก็ตามไปผลิตคอนเทนท์หนาขึ้น เมื่อนั้นอาณาจักรวินเทลคงสะเทือนจาก network effect ที่ว่าเมื่อคนทั่วไปคุ้นกับการใช้งานในระบบอื่น ทำให้ฝั่งธุรกิจเริ่มมีต้นทุนเพิ่มขึ้นจากการเทรนคนในระบบเดิม ซึ่งคาดว่ายังอีกนานพอที่ MS จะกลับมาได้แต่ปล่อยนานก็ไม่ดีแน่ ถึงแม้ฝั่งคู่แข่งอ่อนประสบการณ์ด้านฝั่งธุรกิจแต่ถ้ามันคุ้มค่าก็เปลี่ยนได้ไม่ยากกว่าฝั่งคนใช้งานทั่วไปที่เน้นความชอบ ความสะดวกมาเป็นอันดับแรก
ตลาดแท็ปเล็ตก็หยุดขยายตัวไปแล้วนะครับ ดูจากรายงานยอดขายปีนี้ก็ได้
คำถามที่ 3 ก๊ก ต้องมองต่อ ไม่ใช่แค่ "ตลาดแท็บเล็ตหยุดโต" แต่ต้องหาให้ได้ว่า "จะโตในตลาดไหนแทน" ครับ
บางค่ายมองที่กลุ่ม "แฟ็บเล็ต" บางค่ายก็หันไปลุยตลาด "สวมใส่" มากขึ้น
ถ้า Microsoft อยากกลับมาเร็วขึ้น คงต้อง R&D ว่าตลาดไหนจะมาก่อนกัน แล้วรีบทำสินค้าที่พ่วงบริการซึ่งเป็นจุดแข็งของตัวเองออกมาสู้
ก็ได้แต่หวังว่า Microsoft จะมองเห็น ปรับตัวไว และผลิตสินค้าได้ทัน...
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับ
โดยส่วนตัวผมคิดว่า MS คงคิดว่าตัวเองมีกำลังทรัพยากรมากพอที่จะทำ แต่พอทำไปแล้วมันผิดอย่างที่คาดแล้วกลับมาไม่ทัน ซึ่งจริงๆแล้วถ้ามองดีๆ MS เองก็ไม่เก่งทางด้าน UI ที่สวยงามและเรียบง่ายเท่าไรตั้งแต่ต้น แต่เผอิญ PC มันใหญ่และเหมาะกับการทำงานจึงทำให้ MS ยังขยายตัวได้ แต่พอมีการเปลี่ยนยุคสู่ Smart Device ที่ MS กลายเป็นยักษ์ไปแล้ว การทำอะไรหลายๆอย่าง จึงเชื่องช้า ทำให้พลาดในตลาด Device สำหรับ Consumer ไปไกล แม้แนวทางจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น หลังจากเปลี่ยนCEO ไปแต่ทว่า ความเชื่องช้าก็ดูเหมือนจะยังไม่เปลี่ยนแปลง
สำหรับผมคิดว่า MS ควรจะทำ Device ระดับ Surface Pro3 ตั้งแต่แรกๆ แข่งกับ iPAD ไปเลยซึ่งถ้าตอนนั้นทำ บางทีมันก็จะไม่ขาดขนาดนี้ ต้องโทษว่าช้าเกินไปกว่าจะโฟกัสConsumer ของตัวเอง แม้ Surface Pro3 จะต้องใช้เวลาพิสูจน์อีกยาวไกลแต่ผมว่ามาถูกทางแล้ว คราวนี้ขอให้จัดการเรื่อง XBox เนี่ยถ้าสามารถจัดการเกม Xbox ให้รวมกับ Lumia ซึ่งเป็นสายที่ซื้อมาได้เนี่ยจะยกระดับ Lumia ขึ้นเป็นกองเลยคราวนี้จะตอบโจทย์ Consumer ได้ดีเลยทีเดียว ผมคิดว่าอยากให้ WP เนี่ยออกเป็นกราฟฟิกหน้าจอดีๆสวยๆ เพื่อให้เกมดังๆ น่าเล่น จากนั้นทุกๆอย่างเกี่ยวกับบันเทิงน่าจะตามมา มันจะทำให้ยุทธศาสตร์ชัดเจนขึ้น ส่วนการเชื่อมต่อเนี่ย ผมกลับคิดว่าถ้า MS ออกมาลุยอีกอย่างคือ พวก Smart TV ที่เชื่อมต่อ XBox , WP และ Surface ได้ผมว่ามันจะแจ่มมากๆเลย
อวยให้มองตลาดดีๆ Consumer ยังมีช่อง การที่ Apple, Google พยายามดันตัวเองสู่ Device ตัวอื่นก็เป็นสัญญาณ ชัดเจนว่าเฮ้ยตลาดบางอย่างเริ่มอิ่มตัวแล้วนะกำลังจะไปอย่างอื่นฉะนั้นคิดดีๆว่า จะทำยังไงโดยส่วนตัวคิดว่า นโยบาย Partner ดีกว่าแน่นอน
"จิ๊กซอ" > "จิ๊กซอว์"
"ไม่ต้องการดูแล" > "ไม่ต้องการการดูแล"
"Yahoo" > "Yahoo!"
"พลวัตร" > "พลวัต"
ควรแก้เป็น "พฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไป ทำให้โมเดลธุรกิจของแอปเปิลต้องเปลี่ยนตามไปด้วย" หรือ "พฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไป จึงทำให้โมเดลธุรกิจของแอปเปิลต้องเปลี่ยนตามไปด้วย"
ควรแก้เป็น "ความสับสนของยุทธศาสตร์ Devices and Services ของไมโครซอฟท์ จึงถูกแก้ไขในอีก 1 ปีถัดมา โดยซีอีโอคนใหม่ Satya Nadella ซึ่งบิดมันใหม่ ออกมาเป็น Platform and Productivity แทน"
Office 365 ไม่น่าจะนับเป็นบริการนะครับ เพราะมันเป็นซอฟต์แวร์ที่เราต้องติดตั้งลงในคอมพิวเตอร์ตามปกติ เพียงแต่เปลี่ยนวิธีคิดเงินจากการขายขาดมาเป็นเก็บค่าเช่าเท่านั้น ถ้าเป็น Office Online ถึงควรจะเรียกว่า "บริการ"
ทุกวันนี้ userแทบทุกคน ซื้อแอป ซื้อเพลง ค้นหาข้อมูล มากกว่า บ่อยกว่า ซื้อOSตัวเดียวจบ / ถ้าอยากอยู่รอด ต้องขายสิ่งเหล่านี้ ให้จงได้
Windows ครองตลาด PC สูงจริงครับ
อยากให้ Windows ลงมาเล่นในตลาดโน้ตบุคราคาถูกแบบ ChromeBook พร้อมติดตั้ง Windows+Office ฟรี ทำตลาดโรงเรียนและองค์กรทั่วโลก
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับ
ตอนนี้ทั้ง 3 ก๊ก ที่ลำบากสุดน่าจะเป็น M$ เพราะ
1. Surface การออกแบบเกือบจะดี พยายามทำให้แปลกและแตกต่าง แต่ก็ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย
เหมือนพยายามจะรวม iPad+Mac book Air เข้าด้วยกัน
2. Windows Threshold ตัวใหม่ ปัจจุบันยังมีคนใช้ Windows XP อยู่เลย Windows 7 เยอะสุด
ส่วน Windows 8 ใช้เฉพาะคนอยากลองของใหม่
3. มือถือ Lumia ก็ออกชื่อรุ่นที่จดจำได้ยากมากๆ ทำให้ผู้ใช้สับสน (ผมคนนึงแหละ)
ปล.ผมสงสัยว่า Threshold คือชื่อนี้สื่อความหมายว่าอย่างไรสำหรับ M$ ครับ
ถ้าผมเป็น google ก็คง package chrome OS เป็น USB หรือ cd พร้อมลงในเครื่องใหม่ๆ ได้ทันที
ส่วนประกอบสุดท้ายสำหรับการฝัง windows ลงหลุม ก็คือ chrome OS ที่ลงง่าย รันแอพได้ จบ
ตลาดพีซีสำหรับคนทั่วไปเหมือนไม่มีทางเลือกนอกจาก windows / office
Linux ยังมีคนอคติมากเกินไป chrome OS แบรนด์มันดีอยู่แล้ว ขาดแค่ developer tools ดีดี กับเล่นเกมส์ไม่ได้
สรุป - chrome OS มาเป็นแผ่นซีดีลงง่าย รันแอพ android ได้ ลง steam ได้ พอครับ
พอ Chrome OS ลงแอพ Android ได้ เดี๋ยวก็มีคนโมเองครับ เป็นแบบติดตั้ง .iso กับแอพ .exe เหมือน Android OS ใน PC ครับ ^_^
สั้นๆ พลาดเหมือน BlackBerry
APPL vs MSFT
อีก 10 ปีจะกลับมาอ่านใหม่ น่าจะฟินกว่านี้
ผมว่า MS น่าจะให้ความสำคัญกับตลาด software windows เถื่อน อย่างน้อยก็เป็นฐานให้คนยังใช้ Windows เป็นระบบปฏิบัติการหลัก และคู่แข่งยากที่จะมาต่อกรได้ ขำ ๆ นะ
เป็นบทความที่ดีมากๆเลยครับ
ถ้าแจกฟรีก็มีลุ้นละหุหุ
จะรุ่งหรือจะดับ วันที่ 30 กันยานี้เดี๋ยวรู้กันครับ (;
window 10 ไหมละ
เหอๆๆ แสบจริงๆ MS
โดยส่วนตัว ไม่ค่อยชอบ OS ตัวใหม่ ๆ ของ Mircrosoft ที่ออกมาเท่าไหร่ ตั้งแต่ 8 หรือกะทั่ง Software โดยส่วนตัวรู้สึกว่าการทำงานของ Software ยังมีความล่าช้าอยู่ ถ้าเปรียบเทียบกับตัวอื่น ๆ ทีนักพัฒนาคนอื่น ๆ ทำออกมาขาย หรือแจกฟรี โดยส่วนตัวผมใช้เพียงแค่ OS ในการทำงานเท่านั้นครับ พวก Microsoft Office หรือ Service ต่าง ๆ ผมจะไม่แตะเลย คือไม่มีไว้ในเครื่องเลย พยายามหลีกเลี่ยง