Mark Zuckerberg ประกาศเป้าหมายประจำปี 2015 ว่าจะอ่านหนังสือให้ได้ 1 เล่มทุกสองสัปดาห์ เพื่อเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ความเชื่อ วัฒนธรรมที่แตกต่างหลากหลายของคนทั่วโลก
ปกติแล้ว Zuckerberg จะตั้งโจทย์ประจำปีให้ตัวเองปีละหนึ่งเรื่อง (ตัวอย่างโจทย์ของปีก่อนๆ คือเรียนภาษาจีน และพบเจอคนใหม่ๆ ทุกสัปดาห์) แต่ปีนี้เขาเปิดให้แฟนๆ ช่วยกันแนะนำว่าเขาควรตั้งโจทย์อะไรดี และมีหลายคนเสนอเรื่องอ่านหนังสือ ซึ่งเขาคิดว่าน่าสนใจเลยเลือกเรื่องนี้
ในโอกาสนี้ Zuckerberg เลยเปิดเพจ A Year of Books เพื่อมาแชร์เรื่องราวของหนังสือที่เขาอ่าน และพลังของคนดังระดับโลกก็ทำให้หนังสือเล่มแรกที่เขาเลือกคือ The End of Power ของ Moisés Naím ที่เขียนเกี่ยวกับการเปลี่ยนถ่ายอำนาจจากหน่วยงานแบบเดิมมาสู่ประชาชนคนทั่วไปมากขึ้น กลายเป็นหนังสือขายดีบน Amazon ในทันที
ที่มา - Mark Zuckerberg
Comments
เพื่อยึดครองโลก. ผมว่าเค้าขยันนะครับ
พวกประสบความสำเร็จมักจะอ่านหนังสือเยอะมาก นึกถึงอดีตนายกคนนึง ผู้บริหารซัมซุง ผู้ก่อตั้งชายสี่
ผมว่าคนอ่านเยอะ ไม่ใช่คนสำเร็จเสมอไป คนสำเร็จแต่ไม่อ่านก็มีนะครับ
โลกกว้างใหญ่จึงมีคนหลายรูปแบบ ให้เห็น
ผมว่าประเด็นมันคือ "คนที่ประสบความสำเร็จมักจะอ่านหนังสือเยอะครับ" ซึ่งตรงนี้ผมค่อนข้างเห็นด้วยว่าเป็นจุดร่วมอันหนึ่งที่น่าสนใจ การอ่านหนังสือผมว่าส่วนหนึ่งมันคือทางลัดที่ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรได้เร็วขึ้นจากประสบการณ์ ความคิดของคนอื่นผ่านตัวหนังสือ
ถ้าเค้าอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับไทย แล้วเจอความเชื่อการไหว้จอมปลวก , ไหว้หมู 2 หัว และการเอาแป้งไปโรยโคนต้นไม้
.. เฮียมาร์กจะเข้าใจวัฒนธรรมแบบนี้มั้ย .. นะ ??
คงต้องหวังผลในแง่ ให้เข้าใจ สังคม ประเพณี วัฒนธรรม รูปแบบการดำเนินชีวิต เชื่อว่าไม่ได้มีแต่ประเทศเราที่มี Active ลักษณะนี้ และ น่าจะมีอีกหลากหลายที่พวกเรารู้สึกแปลก แต่เป็นธรรมชาติสำหรับประเทศนั้นๆ
ถือเป็นการเริ่มต้นปีที่ดีครับ น่าเอาเป็นตัวอย่าง
เค้าให้เข้าไปแนะนำหนังสือได้ด้วยแฮะ ถ้าเป็นหนังสือเกี่ยวกับประเทศไทยที่เป็นภาษาอังกฤษ มันก็มีบางเล่มที่เขียนจากประสบการณ์ตรงจากคนที่เคยมาสัมผัสที่นี่เหมือนกัน
เคยเห็นเล่มนึงชื่ออะไรจำไม่ได้แล้วแต่เห็นหน้าปกเขียนบอกว่าขายดี ตอนแรกเขียนเป็นอังกฤษตอนนี้มีแปลไทยด้วย เป็นเรื่องราวของสาวน้อยนางหนึ่งที่มีชีวิตวัยเด็กอันขมขื่นจนต้องมาขายตัว เค้าเล่าถึงประสบการณ์ครั้งแรกที่ขายตัวว่ารู้สึกยังไง เค้าบอกว่าเค้ารู้สึกเกลียดตัวเองมาก แต่ที่บ้านต้องการเงิน เค้าเป็นลูกสาวคนโตเค้าต้องหาเงินไปส่งให้ที่บ้าน แม่เค้ามองเค้าเหมือนเป็นตู้ ATM ไม่ว่าจะวิธีไหนแค่ขอเอาเงินไปให้แม่เค้าได้ก็พอ
ในหนังสือเค้าก็มีอธิบายวัฒนธรรมอีสานด้วยว่าเป็นยังไง ถ้ามาร์คได้อ่านเล่มนี้แล้วจะรู้สึกยังไงนะ
เล่มนี้ น่าสนใจนะครับ มีชื่อเรื่องไหมครับ
เล่มนี้ชื่อว่า Only 13: The True Story of Lon เห็นสำนักพิมพ์นานมีเอามาแปลไทยแล้วชื่อว่า แค่ 13 เรื่องจริงสุดสะเทือนใจของลอน ผมไปเจอที่ซีเอ็ด
ในหนังสือเล่มนี้มีหลายๆ ประโยคเลยที่สะเทือนใจ แต่ไม่ได้ในแง่ของความซาบซึ้งหรอกนะ (หรือต้องใช้คำว่าสะอึกแทน) แต่มันกลับทำให้คิดว่า มันเกิดอะไรขึ้นในสังคมเรา ในประเทศเรา ขอยกบางส่วนที่มันสะเทือนใจผมมาให้อ่านละกัน
"ฉันเต็มใจสละร่างกายและจิตวิญญาณของฉันเพื่อส่งน้องเข้าเรียนมัธยม เพื่อซ่อมกระต๊อบที่ครอบครัวอยู่ เพื่อให้ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ และที่สำคัญที่สุด เพื่อให้ได้เป็นที่รักและที่ยอมรับของครอบครัว"
มีบางช่วงที่เขียนถึงการปราบปรามการค้าประเวณีกับเด็กอายุต่ำกว่า 18 โดยสื่อต่างประเทศประโคมข่าวเรื่องนี้จนทำให้รัฐบาลไทยต้องออกมาเข้มงวดเกี่ยวกับการค้าประเวณี
"แม้สื่อต่างประเทศจะเปลี่ยนแปลงสถานที่ทำงานของเราได้ แต่พวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงลักษณะงานของเราได้!
เป็นเรื่องน่าวิตกสำหรับเด็กผู้หญิงไม่ว่าที่ไหน ที่สื่อต่างประเทศให้ความสนใจกับประเด็นโสเภณีเด็ก การเปิดเผยเหตุผลที่น่าเวทนาว่าทำไมเด็กผู้หญิงไทยที่ยากจนต้องเลือกเส้นทางที่น่าอเนจอนาถนี้ เพื่อให้หลุดพ้นจากความข้นแค้นนั้นเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับสังคมโลกโดยส่วนรวม เพื่อที่จะหยุดยั้งพวกที่ฉวยโอกาสจากภาวะจำยอมของเด็กๆ เหล่านี้ แต่ก็บ่อยเหลือเกินที่เด็กผู้หญิงถูกพ่อแม่ขายเข้าสู่ธุรกิจทางเพศ จะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม
นี่เป็นการกระทำที่ขายมนุษยธรรมและเกิดขึ้นทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถ้าไม่ถูกขาย พวกเธอก็มักจะถูกล่อลวงเข้าสู่วงการนี้ ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่วัยเด็กหายไปอย่างโหดร้าย ในอีกแง่หนึ่ง การบอกว่าเลือกที่จะเป็น "ผู้หญิงขายบริการอิสระ" นั้นก็เป็นนัยที่ขัดแย้งกัน เพราะโอกาสที่พวกเขามีอยู่นั้นคือการเลือกเข้าสู่ธุรกิจค้าประเวณีเพื่อส่งเสียครอบครัวของตนให้ได้กินได้อยู่ หรือปล่อยให้ครอบครัวต้องอับจนน่าสังเวชต่อไป ลูกสาวคนโตของชาวอีสานไม่มีโอกาสเลือกหรอก วัฒนธรรมของเราเลือกไว้ให้เราแล้ว"
ลอนต้องออกมาหาเงินเลี้ยงครอบครัวแทนพ่อที่เสียไป และก็จับผลัดจับผลูมาทำงานด้านนี้ จากสาวบาร์ มาถ่ายแบบเปลือย จนกระทั่งมาเล่นหนังซอฟต์คอร์ ทั้งหมดก็เพื่อให้แม่ยอมรับ ให้ครอบครัวยอมรับ ทำให้มาคิดว่า มันต้องทำกันขนาดนี้เลยเหรอ....
ตอนเด็กลอนก็มีปัญหากับโรงเรียน สร้างความยุ่งยากใจให้กับครอบครัว นั่นก็อาจเป็นสาเหตุนึงที่ลอนต้องการชดเชยตรงนั้น
แต่บางเรื่องผมอ่านแล้วมันรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าใหญ่โตเลยนะ เช่น ตอนเด็กลอนแอบไปฟังครูคนนึงร้องเพลงเพราะว่าชอบน้ำเสียง ต่อมาก็ชวนเพื่อนไปฟังด้วย ต่อมาเพื่อนก็เอาไปบอกต่อจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ จนบางคนในโรงเรียนคิดว่าลอนกับครูคนนั้นมีอะไรกันแล้ว ครูคนนั้น(อันนี้จำไม่ค่อยได้) อาจจะโดนไล่ออก ลอนก็โดนคนทั้งโรงเรียนมองว่าเป็นผู้หญิงที่ไม่ดี
ในสังคมที่ลอนอยู่ แค่ผู้ชายผู้หญิงแตะเนื้อต้องตัวกันก็ต้องแต่งงานกันแล้ว ดังนั้นเรื่องอะไรที่มันทำให้ชวนคิดไปในทางชู้สาว มันจึงเป็นเรื่องใหญ่มาก (แต่ผู้หญิงขายตัวเพื่อส่งเงินมาเลี้ยงครอบครัว มันดูย้อนแย้งกันไหม)
เจอพ่นภาษาจีน ก็ขอคารวะให้เลย เบื้องหลังคนเก่งคือต้องมุมานะตลอด
ผมต้องตั้งเป้าไปขนหนังสือเก่าที่ซื้อแล้วยังไม่ได้อ่านหรืออ่านยังไม่จบ อาทิตย์ละเล่มเหมือนกัน คงเป็นปีกว่าจะจบ เยอะมากกกก :(
กราบคารวะ 100 จอก