ใกล้จะถึงวันวางจำหน่าย Apple Watch นาฬิกาอัจฉริยะตัวแรกของ Apple อย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งมีข่าวมาตลอดว่าทำยอดจองได้ดีมาก ทว่าด้วยระบบการจัดจำหน่ายสินค้าแบบใหม่ ทำให้คนที่สั่ง Apple Watch ตอนนี้ต้องรอของค่อนข้างนาน รวมไปถึงมีจำหน่ายเพียงบางประเทศเท่านั้น ทำให้คนที่อยากไปเล่นตัวจริง ต้องไปที่ร้าน Apple Store หรือมุมของ Apple Watch ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำที่สำคัญๆ ในประเทศที่กำหนดไว้
บังเอิญผมมีโอกาสเดินทางมาที่ออสเตรเลียพอดี ซึ่งทำให้ได้โอกาสในการสัมผัสกับ Apple Watch เป็นระยะเวลาสั้นๆ เลยจะมาเขียนเล่าให้ฟังคร่าวๆ สำหรับคนที่กำลังจะตัดสินใจซื้อหรือไม่นะครับ ทั้งนี้ที่ร้านที่ผมไป (สาขาใจกลางเมือง Perth) มีเฉพาะ Watch Sport และ Watch ธรรมดาเท่านั้นที่ให้ลองเล่น ส่วน Watch Edition มีเฉพาะตัวโชว์ในตู้เท่านั้นครับ (ได้แต่ชะเง้อมองกันไป)
ในร้านของ Apple Watch จะมีโต๊ะอยู่ตัวหนึ่ง จัดแสดง Apple Watch เอาไว้ทุกรุ่นเกือบทุกสีสัน แต่ที่ถ่ายมาคือ Watch Edition ตัวแพงที่สุดครับ ลูกค้าจะไม่สามารถแตะเครื่องเหล่านี้ได้ (อยู่ใต้กระจก)
เนื่องจากคนเลิกตื่นเต้นกันไปแล้ว (หรือเปล่า?) เลยทำให้ตอนนี้ได้คิวดูสินค้าแทบจะทันที ซึ่งเมื่อผมขอทดลองสินค้า จะมีพนักงานคนหนึ่งเดินประกบติดตาม คอยให้คำแนะนำตลอดทุกขั้นตอน โดยสาขาที่ผมไปจะมีนาฬิกาอยู่ในลิ้นชักของโต๊ะ ทุกตัวจะอยู่ในโหมดสาธิต (demo mode) ดังนั้นการลองเล่นซอฟต์แวร์จึงเป็นไปไม่ได้เลย และในส่วนนาฬิกาที่จัดแสดงแล้วมีโหมดให้ลองใช้ ก็จะใช้ได้อย่างจำกัดมาก (ส่วนนี้ไม่ได้ถ่ายรูปมา)
Apple Watch จะมีสองขนาด คือ 38 มม. และ 42 มม. โดยจะขึ้นอยู่กับข้อมือของผู้ใส่ (ในกรณีผมซึ่งข้อมือเล็ก จะอยู่ที่ 38 มม.)
ขนาด 42 มม.
ผมเริ่มต้นด้วย Watch Sport สีดำ ซึ่งเป็นรุ่นเริ่มต้น มีราคาต่ำที่สุด (ราคาจำหน่ายในออสเตรเลีย ตีเป็นเงินไทยประมาณ 12,500 บาท) ใช้สายที่เป็นพลาสติกแบบพิเศษ (fluoroelastomer) โดยต้องยอมรับว่าตัวเครื่องค่อนข้างเบากว่าที่คิด และการสั่น (haptic feedback) ถือว่าทำได้ดีมาก หน้าจอก็คมชัดให้สีสันที่ดี
จากนั้นผมจึงขยับขึ้นไปลอง Watch ธรรมดา ซึ่งราคานั้นสูงขึ้นกว่ารุ่น Sport มาก (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 25,000 บาท) ให้ความรู้สึกว่าโลหะดีขึ้นเท่านั้น แต่ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมแทบจะทุกประการไม่ได้ต่างอะไรกันอย่างไร ดังนั้นถ้าจะซื้อเพื่อใช้งานจริงๆ Watch Sport อาจจะเพียงพอต่อความต้องการแล้ว แต่ถ้าอยากได้ความหรูหราอีกสักนิด ก็คุ้มที่จะลงทุนครับ
สำหรับสายนาฬิกานั้น แพงที่สุดเป็น Link Bracelet ที่มีราคาใกล้เคียงกับ Watch Sport หนึ่งเรือน รองลงมาคือสายหนังและสายแบบอื่นๆ และแน่นอนว่าตัวถูกที่สุดคือสายพลาสติก (แต่ก็ยังมีราคาอยู่ที่ประมาณ 2,000 บาท) ข้อดีอย่างหนึ่งคือสายนาฬิกานั้นถอดเปลี่ยนได้ง่ายมาก และตัวนาฬิกาเองมีพอร์ตเชื่อมต่อพิเศษอยู่ที่ช่องใส่สายด้วย ซึ่งอาจจะเปิดช่องให้กับสายพิเศษรูปแบบอื่นๆ (เช่น สายที่มีกล้องติดมาด้วย) สามารถใช้งานได้ในอนาคต
เท่าที่ได้สัมผัสก็ต้องบอกว่าค่อนข้างชอบ และความรู้สึกที่ได้นั้น ไม่เหมือนกับนาฬิกาอัจฉริยะตัวอื่นๆ ในท้องตลาด อย่างไรก็ตามราคายังถือว่าค่อนข้างสูง รวมถึงซอฟต์แวร์ที่มียังเป็นเพียงตัวสาธิตเท่านั้น ทำให้ยังเล่นอะไรไม่ได้มาก ซึ่งถ้ามีโอกาสได้ลองเล่นจริงจังอีกครั้งหนึ่งกับซอฟต์แวร์จริง ผมจะนำมาเล่าสู่กันฟังให้ทราบอีกครั้งครับ
Comments
ตัว Sport สีดำสวยดีครับ แต่พอเลื่อนลงมาดูตัว Stainless .... :-L
+1
Software จริงสามารถเล่นได้ครับ บนเครื่องที่อยู่บนแท่นขาวๆ แต่ก็จะมีแค่ App ที่มากับตัวเครื่องเท่านั้น
Watch ธรรมดา ราคาสูงขึ้นกว่ารุ่นธรรมดา ?
เสียดายน่าจะลอง Drop test ดู :P
อาจเป็นรูสำหรับสายรุ่นพาเวอร์แบ็ง จากข่าวใช้ได้วันเดียวผมว่าต้องมีคนคิดผลิตสายที่มีแบ็ตสำรองแน่ๆ
ทำเป็นเล่นไป idea ท่านนี่แหละจะแก้ปัญหาแบตไม่พ้นวันของ Apple Watch ได้ชะงัดเลย ว่าแต่ไอ้พอร์ตที่ว่านั่นมันใช้ชาร์จไฟได้จริงเหรอครับ -_-"
สายนาฬิกาพร้อมชาร์จไปในตัว ในขณะที่สวมใส
สลด Apple Watch ระเบิด หนุ่มเพาะกายข้อมือขาด...
555
ไม่เลว เอาสายรุ่นพาวเวอร์แบงค์มาทำ
พูดถึงสายนี่ผมแอบชอบที่เราสามารถเปลี่ยนเองไดัทุกแบบนะครับ กดคลิ๊กเดียวถอด-ใส่ได้เลย แม้แต่ link bracelet เองข้อแต่ละข้อก็กดถอดได้เองเหมือนกัน ไม่ต้องเอาไปให้ช่างทำให้แบบเมื่อก่อน
คือถ้าฮิตขึ้นมานี่คงมีสายสำรองกันไว้หลายๆเส้น เปลี่ยนกันตามโอกาส (ตอนนี้มี Third party ทำออกมาเยอะแล้วเหมือนกันครับ ไม่แพงเหมือนของแท้)
เลยคิดไปว่า จริงๆผู้ผลิตนาฬิกาส่วนใหญ่น่าจะทำแบบนี้ตั้งนานแล้ว (คือออกแบบให้ลูกค้าเปลี่ยนสาย เปลี่ยนข้อได้เองที่บ้าน) แต่ทำไมไม่ทำกัน
(หรือว่ามีแล้วแต่ผมไม่รู้หว่า?)
ผมว่าทำสายแบบมาตรฐานอย่างที่ pebble steel ใช้ดีกว่าอีกครับ อยากได้สายแบบไหนก็ไปหาของมาตรฐานมาเปลี่ยนเองเลยไม่ต้องเสียเงินให้ Apple หรือพวกสายเลียนแบบ (พิมพ์มาถึงตรงนี้ รู้เลยทำไม Apple ไม่ทำสายมาตรฐาน 555)
เรื่องทำ accessories ที่ใช้กับของตัวเองได้เท่านั้น ใช้กับชาวบ้านไม่ได้นี่ต้องยกให้เขาเลยครับ เป็นอะไรที่น่าหงุดหงิดมาก - -"
แต่อันอื่นๆผมเฉยๆ (ไปจนถึงไม่ชอบ) นะครับ แต่สายถอดเปลี่ยนได้เองง่ายๆแบบนี้ผมชอบจริงๆนะ อยากให้ผู้ผลิตนาฬิกาอื่นๆลองพิจารณาดู :)
Pebble Steel ไม่ได้ใช้สายมาตรฐานครับ
เพิ่งไปลองที่ชิบูย่าเหมือนกัน ที่ญี่ปุ่นจะลองต้องจองเวลาล่วงหน้า เสาร์อาทิตย์เต็มยาวเป็นเดือน ผมจองได้เมื่อวานตอน 2ทุ่มหลังเลิกงาน ให้เวลาลอง 15นาที เลือกได้แค่ 2เรือน . . . .
ส่วนตัวไปจับๆมา ดีกว่าที่คิดไว้เยอะพอสมควร เสียอย่างเดียวคือ ราคา ของญี่ปุ่นจองตอนนี้ได้ เดือน 6 คงหมดไป 2lot ละ
หน้าตา...
ราคา...
-_-
หน้าตา ไม่ค่อยสมราคาเลยนะครับ -.-
ต้องใส่ sim เปล่า
สีดำสวยอ่ะ น่าจะมีสายเหล็กสีดำด้วยนะ
มีเป็นสายสีดำ spaceblack ไงครับ เข้าคู่กับ Apple Watch สีดำ stainless แต่เฉพาะตัวสายอาจจะซื้อแยกมาใส่กับ Watch Sport สีดำได้ แต่มันจะเข้ากันเหรอ
ใช้ Edifice ต่อไป....