หญิงสาวชาวอังกฤษคนหนึ่งเผยเรื่องราวต่อเว็บ BuzzFeed ว่าเธอได้รับข้อความเสียงจากคนขับ Uber ที่มีเนื้อหาข่มขู่ถึงขั้นเอาชีวิต หลังจากที่เธอได้กดจองรถผ่านแอพ ก่อนจะยกเลิกการจองดังกล่าวก่อนหน้าเวลานัดหมายไม่กี่นาที
หญิงคนดังกล่าวเล่าว่าเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เธอได้เรียกรถของ Uber ให้มารับเธอที่บ้านเพราะเธอต้องการออกไปทานอาหารกับเพื่อนตอน 11 โมง แต่แล้วเธอก็มีอาการของโรคแพนิคขึ้นมา ทำให้เธอตัดสินใจยกเลิกการเรียกรถ Uber ก่อนเวลานัดหมายไม่กี่นาทีและเลือกที่จะเดินไปยังร้านอาหารที่นัดกับเพื่อนไว้เพื่อเป็นการผ่อนคลายอาการตึงเครียดของเธอเอง
หลังจากนั้นไม่กี่วัน เธอสังเกตเห็นว่ามีการฝากข้อความเสียงเข้ามาที่โทรศัพท์ของเธอ และพบว่าเป็นข้อความจากคนขับของ Uber ที่เกรี้ยวกราดจากการที่เธอยกเลิกการจองรถ โดยมีการพูดข้อความซ้ำไปซ้ำมาว่า "อย่าทำอย่างนั้นอีก" รวมถึงด่าเธอว่า "ไอ้โง่" ทั้งยังมีการข่มขู่ด้วยว่า "ลองทำอีกสิ แล้วฉันจะปาดคอแก" ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เธอวิตกเป็นอย่างมาก เพราะการกดจองรถ Uber ในครั้งนั้นทำให้คนขับรถรู้จักที่อยู่ของเธอแล้ว
หลังมีการเปิดเผยเรื่องราวนี้ ทาง Uber ได้ติดต่อไปยังหญิงสาวคนดังกล่าวเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม โดยทาง Uber ได้ประสานความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อนที่ต่อมาโฆษกของ Uber จะออกมากล่าวว่า "เราได้พูดคุยกับผู้ใช้บริการเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาไม่เป็นไร และยังได้สนับสนุนให้เธอแจ้งความเรื่องนี้ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย โดยในขณะนี้คนขับรถรายดังกล่าวได้ถูกสั่งพักงานแล้วทันที และในขณะนี้ทางบริษัทก็กำลังสืบสวนเรื่องนี้เพิ่มเติมอย่างเต็มที่ตามนโยบายของเรา"
ที่มา - BuzzFeed
Comments
ผมว่าบริการพวกนี้ควรให้ติดต่อผ่านตัวกลางได้อย่างเดียวได้แล้วนะครับ
แต่ถ้ามองในมุมกลับผมว่าก็สงสารคนขับรถนะ เพราะตัวคนกดเรียกกดยกเลิกก่อนเวลานัดหมายไม่กี่นาที ในข่าวใช้คำว่า 2-3นาที ซึ่งผมว่าเข้าขั้นน่าเกลียดแล้วล่ะยกเลิกแบบบางทีรถแทบจะไปถึงหน้าบ้านแล้ว ผมยังคิดเลยทำไปทำไม ทำไมไม่ยกเลิกแต่เนิ่นๆ
คนขับรถอาจสำคัญผิดว่าคนกดเรียกกดแกล้งเรียกให้เขาเสียเวลาเล่นๆแถมยังเย้ยด้วยการเดินไปร้านที่ตนระบุจะให้ไปส่งด้วย ถ้ามองในมุมนี้ไม่แปลกล่ะที่จะโดนโทรมาด่า แต่ขู่ฆ่านี่มันก็เกินไป
กรณีแบบนี้ฝ่ายที่กดยกเลิกก็ไม่ใช่ว่าทำถูกนะ ผมว่าน่าจะมีกฎแบบถ้าจะยกเลิกจะต้องทำในกี่นาทีคนขับเขาจะได้ไปรับคนอื่นได้ เพราะถ้าให้ยกเลิกตอนไหนก็ได้ ก็จะมีกรณีกดเรียกแกล้งคนขับให้เปลืองน้ำมันเล่นๆด้วย
ถ้ามองในแง่ความเท่าเทียมผู้ใช้ที่กดยกเลิกแบบนี้ควรติด black list ด้วยนะเพราะดูจากโรคที่เธอเป็นเธอไม่เหมาะกับบริการพวกนี้เลย น่าจะเลือกใช้บริการอื่นๆมากกว่านะ
แต่ยกเลิกนี่ผมจำได้ว่าไม่ฟรีนะครับ
แต่มันไม่ควรทำครับแล้วที่เธอกดยกเลิกเนี่ยจากข่าวคาดได้เลยว่ารถแทบจะไปจอดหน้าบ้านเธอแล้วล่ะ
ถ้าคนขับรถตรงเวลาอย่างน้อยก็ต้องถึงที่หมายก่อนเวลาสองถึงสามนาทีครับ
ตามข่าวเนี่ยเธอกดยกเลิกก่อนก่อนเวลาสองถึงสามนาทีหมายความว่าแทบอนุมานได้ว่ารถเกือบถึงบ้านเธอแล้วกดยกเลิกครับ
แถมเธอยังเดินไปร้านที่เธอตั้งใจกดเรียกให้ไปส่งด้วย
ถ้าเป็นมุมมองของคนที่ไม่รู้ว่าเธอป่วยเขาจะมองว่าเธอกวนประสาทครับ
กดเรียกเล่นไม่พอแถมเดินเย้ยอีกว่าที่ๆจะไปส่งฉันเดินไปเองได้
ถ้าผมเป็นคนขับผมก็วีนแตกครับเหตุการณ์มันเหมาะเจาะมาก
ถ้าตามกฎหมายผมว่าเธอไม่ควรมีอำนาจในการกดเรียกใช้บริการบางอย่างได้ด้วยตนเองต้องมีคนช่วยเธอพูดง่ายๆผมมองว่าเธอเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถครับ
เพราะอาการป่วยของเธอเป็นอาการทางจิตอย่างหนึ่ง
เหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้นเลยหากเธอมีคนดูแลครับ
นอกจากนี้เราไม่อาจรู้ได้ว่ารถมารับเธอแล้วเธอจะอาการกำเริบบนรถไหม คนเป็นโรคทางจิตแบบนี้บางคนอาจตายคารถได้
ผมว่า Uber จำเป็นต้องให้ผู้ใช้บริการกรอด้วยนะว่ากรณีมีโรคประจำตัวร้ายแรงให้ระบุ
เคสแบบนี้ผมไม่แนะนำให้เธอใช้ Uber หรอกครับ มันอันตรายเดี๋ยวอาการกำเริบหวิวๆแล้วเป็นลมบนรถ แทนที่จะได้ไปหาเพื่อน คนขับจะได้ขับส่งรพ.แทนน่ะสิ
แม้คนเราจะมีสิทธิเท่าเทียมแต่สำหรับผู้ป่วยทางจิตผมว่าก็จำเป็นที่จะต้องจำกัดทางสิทธิให้เหมาะสมกับอาการป่วยครับ
เรื่องอาการคนเรียกนั่นผมไม่ค้านอะไรนะครับ แต่เรื่อง "ต้องยกเลิกภายในกี่นาที" นั่นผมไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ครับ เพราะบางครั้งแผนมันเปลี่ยนฉุกเฉินจริงๆ ก็มี ไม่งั้นถ้ามันยกเลิกไม่ได้จริงๆ และผมต้องไปจากจุดนั้นแล้วด้วยเหตุอะไรบางอย่างนี่มันจะแย่กว่าเดิมอีกนะครับ
มันต้องมีกฎครับ แต่กฎก็ต้องมีข้อยกเว้นครับ ยิ่งประเทศที่เคร่งเรื่องเวลาอย่างอังกฤษหรืออเมริกาถือว่าสำคัญครับการยกเลิกต้องมีจำกัดเวลาที่จะยกเลิกหากดึงดันยกเลิกก็ต้องมีบทลงโทษครับไม่ว่าจะปรับหรือ black list เอาไว้ดัดนิสัยพวกกดเรียกเล่นๆด้วยครับ ในกรณีของเธอการกดยกเลิก2-3นาทีก่อนนัดหมายสำหรับผมถือว่าร้ายแรงครับ
เพราะคนขับไม่สามารถปลีกไปรับคนอื่นได้ทันเวลา ถ้า UBER มาบทลงโทษแบบปรับหนักๆคิดค่าธรรมเนียมในการเรียกและยกเลิกแบบไม่มีเหตุอันควร และเอาค่าปรับไปจ่ายให้คนขับรถผมว่าเขาคงไม่โทรมาด่าแน่ๆก็ได้ตังแล้วนี่เสียเวลานิดหน่อยเองอาจหงุดหงิดบ้างแต่คนแกล้งก็โดน black list ไป
ผมยกเว้นให้กรณีฉุกเฉินเท่านั้น ซึ่งผมก็ไม่ได้คัดค้านสิ่งที่คุณบอกแต่อย่างใดครับ
ดังนั้นประเด็นที่คุณโต้แย้งมาก็จบไปนะครับ
อย่างเคสนี้หากผู้ใช้บริการ มีข้อมูลระบุชัดเจนว่าป่วย และแจ้งไปยังผู้ขับคิดว่าเขาจะโทรมาด่ารึเปล่าครับ ปัญหาคือ UBER ได้แจ้งคนขับหรือไม่ถึงเหตุผลจำเป็นที่ต้องยกเลิก เช่น คนเรียกดันหัวใจวายล้มฟุบที่บ้านคนในบ้านต้องช่วยขอยกเลิกแล้วพาส่งรพ. ถ้าคนขับรถรู้เรื่องนี้คิดว่าเขาจะโทรมาด่าไหมครับ
สิ่งที่ผมเน้นคือ คนขับไม่รู้ว่าเธอป่วยครับ เคสนี้จะไม่เกิดขึ้นเลยถ้า
คนใช้บริการมีผู้ดูแลหรือ มีคนบอกคนขับเธอป่วยจึงจำเป็นต้องยกเลิก
แต่ที่สองเงื่ิอนไขนี้มันไม่เกิดมันมาจากความผิดของใครครับ
มันมาจากตัวผู้ป่วยเอง กับทาง UBER ประกอบกันทั้งสองฝั่งครับ
ผมว่าคนขับคงไม่ขาดสติโทรมาด่าหากเขารู้ว่าเธอป่วยจริงไหมครับ
เพราะในข่าวก็บอกว่าเขาโทรมาด่าว่าอย่าทำแบบนี้อีกนะ
แสดงว่าคนขับไม่รู้ว่าเธอป่วย ถ้ารู้คงไม่บ้าโทรฝากข้อความไว้
แม้การขู่ฆ่าจะเป็นความผิดแต่การสำคัญผิดว่าถูกคนใช้บริการแกล้งก็มีเหตุผลให้ลดโทษอยู่นะครับ
แต่ในความเป็นจริงผู้ใช้บริการอยากกดยกเลิกก็เลยอยู่แล้ว นี่แหละปัญหา
ส่วนที่คุณแนะนำว่าให้บริการผ่านตัวกลางอย่างเดียวก็มีเหตุผลเพราะตัวการคงไม่มาโทรด่าเธอแน่นอน
เคสนี้ผมมองลึกไปกว่านั้นว่าผู้ใช้บริการไม่อยู่ในสภาวะที่สามารถทำนิติกรรมใดๆได้มาแต่แรกครับ
ดังนั้นเราจึงไม่ควรให้เธอเรียกใช้บริการนี้ด้วยตัวเธอเองมาแต่ต้นโดยปราศจากคนดูแล
พูดง่ายๆคือรู้อยู่แล้วว่าตนเองป่วยแบบนี้ก็ไม่ควรเรียกใช้บริการนี้แต่แรกครับ
คนที่ควรจะรู้ดีที่สุดคือตัวคนที่ป่วยครับเพราะโรคพานิคแม้จะไม่ทราบว่าจะกำเริบเมื่อไหร่แต่ตัวคนป่วยย่อมทราบดีว่ามันอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อและเธอก็ไม่ควรไปเรียกใช้บริการประเภทนี้ตั้งแต่ต้นครับหากเธอมีสติสัมปชัญญะมากพอ
ว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการกำเริบได้ ควรโทรเรียกเพื่อนที่รู้จักมารับจะเข้าท่ากว่า
ที่อเมริกาก็ทำแบบนี้ครับ เพราะถ้าป่วยแล้วไปวูบในรถเสียตังค่ารักษาค่าส่งตัวเข้ารพ.เยอะมาก ไม่งั้นก็แบบเข้าโปรแกรมที่มีปัญหารถฉุกเฉินมารับเลยที่บ้าน (ในอเมริกาคนแก่วูบมีทุกวัน ฟังไซเรนจนชิน)
ถ้ารู้ว่าตนเองเสี่ยงที่จะวูบส่วนใหญ่จะให้คนรู้จักไปส่ง มากกว่าเรียกแท็กซี่ครับมันสร้างภาระให้คนขับเขาเปล่าๆ
การที่เธอไปเรียกใช้บริการเองโดยไม่มีคนดูแล ย่อมแสดงให้เห็นว่าตัวเธอเองก็ไม่ได้เป็นฝ่ายถูกมาแต่แรกครับ
ผมเข้าไปฟังคลิปเสียงคนขับมาครับ ถ้าแกไม่ได้เป็นโรคจิต ก็ขาดสติสุดๆครับผม เพราะพูดซ้ำๆว่า Don't do again เป็นสิบๆรอบ แล้วลงท้ายด้วยการขู่ว่าจะฆ่าปาดคอผู้หญิงครับ
คงต้องแบ่งเป็น 2 ประเด็นระหว่าง ผู้หญิงที่ดันไปยกเลิกเอาวินาทีสุดท้าย กับ คนขับที่ขู่จะฆ่าปาดคอ พูดจริงๆว่าไม่รู้ใครบ้ากว่าใคร?
ถึงมันจะไม่เหมาะยังไง ก็ไม่มีสิทธิอะไรจะไปขู่ฆ่าเขาแบบนั้นป่ะ
+1 ผมว่าคนขับป่วยกว่าผู้โดยสารอีก แล้วเรื่องนี้ทำให้เรารู้ว่านอกจาก Uber จะหย่อนยานเรื่องการรับอาชญากรมาขับรถอย่างข่าวในอินเดียแล้ว ยังรับคนมีอาการทางประสาทมาขับรถด้วย 555
หย่อนยานทั่วโลกเลยแหละ ต้องเหมารวมทั่วโลก รถเมล์ไล่ผู้โดยสาร แท๊กซี่ไม่รับคน นักบินทำเครื่องตก แสดงว่าองค์กรเหล่านั้นรับคนไม่ได้คุณภาพมา
มีส่วนมากครับ คุณต้องดูเป็นกรณีไป อย่างข่าวนักบินเยอรมันวิงส์นี่สายการบินผิดเต็มๆ ส่วนเรื่อง taxi ไม่รับผู้โดยสารนี่เกี่ยวอะไรด้วยหว่า LOL
ยังมี รถเมล์ส้ม ในตำนานด้วยนะครับ
ไม่รู้มันเป็นอะไรของมัน ขับแบบรีบไปตายทุกคันเลย ขอให้เป็นสีส้ม
มันคือรถเมล์เขียวร่างอวตารไงครับ สมัยที่เขายกเลิกรถเมล์เขียว เหล่าคนขับก็กระจายไปสองทาง 1 รถเมล์ส้ม 2 รถตู้
+1 ครับ กระชับ ได้ใจความ
ผมก็ไม่ได้เห็นด้วยเรื่องขู่ฆ่านะครับ
ผมแยกแยะครับ
แต่เรื่องนี้มันต่างคนต่างผิดไม่มีใครถูกสักคน
ทำไมไม่ลองคิดในทางกลับกันว่า เมื่อคนขับมันขาดสติขนาดนี้ได้ ก็ไม่ควรที่จะขึ้นรถมันก็ถูกแล้วมั่งหละครับ
อย่างไรก็ตาม ผมเป็นคนนึงที่ไม่เคยสนับสนุนบริการแบบนี้ มันไม่ได้มีมาตรฐานอะไรเลย
+1
แค่คนขับรถสร้างปัญหาก็เป็นข่าวเทคโนโลยี ถ้างั้นก็คงมีข่าว uber เต็มไปหมดหละ
แล้วมันเกี่ยวข้องกับ Uber ไหมครับ ?
อยากได้ข่าวอะไร แบบไหนก็เขียนเข้ามาเลยครับ
มีคนกรองอยู่แล้ว ถ้ามันนอกเรื่องจริงๆ
ถ้าไม่ถูกใจข่าวนี้ blognone ก็ยังมีข่าวเทคโนโลยีอื่นๆ ให้เลือกอ่านอีกเพียบเลยนะครับ
ช่างไฟสมัครเล่น (- -")
เรื่องแบบนี้แท๊กซี่ธรรมดาก็ทำได้ ไม่ว่าอะไรก็ไม่ปลอดภัยทั้งนั้นแต่ดี ที่ Uber มีบันทึกข้อมูลคนขับคนนั่ง อย่างน้อยๆเกิดอะไรพอได้สืบถูก
ตรงข้ามเลยครับ คนขับ Uber ได้ที่อยู่และข้อมูลลูกค้าทำให้สามารถก่ออาชญากรรมได้ง่ายกว่าการเรียก taxi ธรรมดาผ่านศูนย์บริการมากๆ
+1
ผมคนนึงครับ ไม่กล้าเรียกใช้ Uber จริงๆ
ต่อให้เป็นแท็กซี่ธรรมดาก็รู้ข้อมูลที่อยู่ครับเล่นให้ไปรับที่บ้านต่อให้มีตัวกลางคนขับก็รู้ได้เองอยู่ดีที่น่ากลัวคือเบอร์โทรบ้านมากกว่า
งั้นเราควรเรียกให้ไปรับห่างๆ บ้านหน่อยสินะครับ
//ทีนี้ไม่รู้เลยว่าโดนใครทุบ taxi บอกพอมาถึงเหยื่อก็ลงไปนอนอยู่แล้ว -_-"
บ้านผมครับ ให้ส่งแค่หน้าหมู่บ้านตรงป้อมยามแล้วค่อยเดินเข้ามาเอง
นั่นไม่ใช่ประเด็นครับ
ให้ไปรับที่บ้านตัวกลางก็ต้องบอกที่อยู่ที่ให้ไปรับอยู่แล้วครับ
ยิ่งบอกว่ามารับที่นี่หน่อยบ้านฉัน จบครับยังไงคนขับก็รู้
จะบอกว่าไม่รู้คนขับก็คงไม่โง่ขนาดนั้น
ที่ผมเห็นด้วยคือเรื่องเบอร์โทรศัพท์ครับไม่ควรให้ไป