วงการอีคอมเมิร์ซเฟื่องฟูต่อเนื่องตั้งแต่สมัยยุคดอทคอม วันนี้ถ้าจะนับ Etsy เป็นพ่อค้ายักษ์ใหญ่อีกราย คงเป็นพ่อค้าที่ฮิปสักหน่อย ใส่แว่นกรอบดำ แต่งตัวมีสไตล์ ใจอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม กินเบอร์เกอร์บนฟู้ดทรัค คราฟต์เบียร์ดื่มเอง เพราะร้านค้าออนไลน์แห่งนี้เน้นแต่ของทำมือ มีคุณค่าทางจิตใจ และบางทีก็วินเทจได้เหมือนกัน จุดนี้เองที่ทำให้ Etsy ยั่งยืนและทัดเทียมกับยักษ์ใส่สูทรายอื่นในยุทธภพ วันนี้ Blognone มีเรื่องนี้มาฝากกัน
Etsy (อ่านว่า “เอ๊ท-ซี่” แผลงจากคำว่า eh, si (oh, yes) ในรากภาษาอิตาเลียน) สาเหตุที่ใช้ชื่อนี้มาจากความต้องการของผู้ก่อตั้งอยากใช้ชื่อแบบไม่สื่อความหมาย ซึ่งเขาจับคำนี้ได้จากการดูหนังอิตาเลียนเรื่อง 8½ ที่มีบทสนทนาใช้คำนี้จนติดหู
สามมิตรสหายร่วมก่อตั้ง
Etsy เกิดขึ้นเมื่อ 18 มิถุนายน 2005 จากการลงขันกันของสามมิตรสหายในนครนิวยอร์กอย่าง Robert Kalin ตามด้วย Chris Maguire และ Haim Schoppik และทีมงานจากวงการต่างๆ ที่เปลี่ยนน้ำ-ผลัดใบกันหลายรอบ
Robert Kalin, Chris Maguire และ Haim Schoppik ตามลำดับ
ก้าวแรกๆ ของ Etsy ที่มาจากคำอธิบายใน Quora ของ David Lifson (หนึ่งในทีมงานยุคปี 2008) ระบุว่าเดิมกลุ่มผู้ก่อตั้งเป็นแค่ทีมรับทำเว็บไซต์ฟรีแลนซ์หลังเรียนจบ จนวันหนึ่งได้รับงานให้สร้างเว็บบอร์ดชุมชนคนทำสินค้าทำมือ จนพบคำบ่นว่าของเหล่านี้ขายบน ebay ก็ใช้ยาก เก็บค่าต๋งก็แพง เมื่อเห็นโอกาสนี้ก็เลยสร้าง Etsy ขึ้นมา และถูกบอกต่อปากต่อปากจนชุมชนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
มุมหนึ่งในสำนักงานย่าน DUMBO (Down Under the Manhattan Bridge Overpass) เขตบรู๊คลินของ Etsy ที่ดูแหวกขนบออฟฟิศน่าทำงานของกลุ่มเทคสตาร์ตอัพไปสักนิด ด้วยการตกแต่งบรรยากาศที่ทำงานด้วยสินค้าที่มีขายในเว็บ ลองดูภาพมุมต่างๆ เพิ่มเติมในงานของ Business Insider ชิ้นนี้
ไหนมีอะไรขายบ้าง?
Etsy แบ่งหมวดสินค้าออกเป็น 8 หมวดใหญ่และนานาหมวดย่อย ประกอบไปด้วยเสื้อผ้า, เครื่องประดับ, งานประดิษฐ์, ของแต่งงาน, การเป็นอยู่, สินค้าบันเทิง ฯลฯ โดยในแต่ละเซ็กชั่นของหน้าหลักก็จะแสดงสินค้าที่กำลังอยู่ในเทรนดส์ ตามด้วยสินค้าที่สมาชิกแนะนำกันเอง
อินเตอร์เฟสการจับจ่ายไม่ยุ่งยากนัก อย่างเรากำลังเลือกเสื้อผ้าร้านหนึ่งอยู่ เว็บจะแบ่งหน้าจอครึ่งหนึ่งให้ภาพสินค้าหลายๆ มุม ด้านขวาบอกราคา (รองรับหน่วยบาทเรียบร้อย) พร้อมข้อมูลเรื่องจำนวนและขนาดให้ตัดสินใจหยิบของใส่ตะกร้า ด้านบนแสดงสินค้าอื่นในร้าน และถ้ายังไม่พร้อมซื้อ ก็ดองของไว้ใน Wishlist ที่ต้องการ
มีสกิลเย็บปักถักร้อยสักหน่อย เอาสายชาร์จไอโฟนมาหุ้มเชือกถัก ก็ขายได้
โมเดลรายได้ของ Etsy มาจากการหัก 3.5% ของราคาขายสินค้าแต่ละชิ้นที่ขายได้ และการวางสินค้าแต่ละชิ้นบนหน้าร้าน คิดราคาของชิ้นละ 20 เซนต์ (ประมาณ 7 บาท) รวมถึงค่าใช้จ่ายอย่างอื่นที่ทำให้สินค้าอยู่ในลิสต์โปรโมต และยังมีรายได้จากการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบต่างๆ ด้วย ทว่าแม้จะขายของชิคๆ แต่ก็ยังมีกฎระเบียบและข้อห้ามค่อนข้างชัดเจน ทั้งการห้ามขายของที่ได้มาจากการทารุณสัตว์, สุรา-แอลกอฮอล์, ของผิดกฎหมาย ฯลฯ
จุดแข็ง-ความแตกต่าง
Etsy กล่าวไว้ในหน้า About ของเว็บไซต์ตนอย่างสวยหรูว่า หัวใจของพวกเขาคือชุมชนคนเสพงานคราฟต์ที่มีอยู่ทั่วโลก ทั้งฝั่งผู้ประกอบการที่ใช้เว็บไซต์นี้ขายของหรือเลือกสิ่งดีๆ มาขาย มีนักช้อปทางเลือกที่มักจะเจอของเด็ดๆ ที่ไม่เจอจากที่ไหน มีผู้ผลิตสินค้าที่ทำงานบนพื้นที่นี้เพื่อหาช่องทางเติบโตไปด้วยกัน และมีทีมงานของ Etsy เองที่ช่วยประคับประคองและเสริมสร้างชุมชนแห่งนี้
ในหน้า Mission & Values Etsy มองว่าการค้าขายต้องยั่งยืนและเสริมกันกับทุกฝ่าย ให้คุณค่าแก่ทุกสินค้าที่วางจำหน่าย และมุ่งสร้าง Etsy Economy (วิถีเศรษฐกิจเอ็ทซี่) ที่คนผลิตและคนซื้อได้เจอแต่ของดีที่ตรงใจ ซื้อหาได้จากทั่วโลก และได้สนทนาปราศรัยกันได้มากกว่าการซื้อของแล้วจบ รวมถึง ฟังก์ชั่นอย่าง Etsy Local เอื้อประโยชน์ให้คอมมูนิตี้ผู้ซื้อ-ผู้ขายในแต่ละท้องถิ่นได้เจอกัน
ทั้งยังมี Etsy Labs ที่เปิดพื้นที่บางส่วนในสำนักงานนิวยอร์กและเบอร์ลินให้คนมาเจอกับคน ทำงานประดิษฐ์ร่วมกัน และเป็น webinar ให้ติดตามจากแดนไกลได้ด้วย
Etsy ยังมีฮาร์ดแวร์อ่านบัตรเครดิตไว้ให้ผู้ขายจบการขายในหน้าร้านปกติได้ด้วย โดยยอดซื้อจะไปอัพเดตกับจำนวนสต๊อกของในร้านทันที โดยการรูดแต่ละครั้งจะคิดครั้งละ 2.75% ของราคาขาย (หรือถ้าเป็นการกรอกเลขบัตร จะคิดเป็น 3% + 25 เซ็นต์) แทนเรตที่กดซื้อจากหน้าเว็บ
มีนาคม 2015 - เข้า IPO
เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Etsy Inc. ได้ยื่น IPO (Initial Public Offering) ขอเข้าตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ ด้วยมูลค่าสินทรัพย์อย่างน้อย 100 ล้านเหรียญฯ จากการระดมทุนจากนักลงทุนหลายรายต่างตบเท้าเข้าลงเงิน ทั้ง Sean Meenan, Spencer และ Judson Ain, Union Square Ventures และจากกลุ่มผู้ก่อตั้ง Flickr และ Delicious จนทำให้ Etsy เป็นบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ที่สุดจากฝั่งนิวยอร์กที่ยื่น IPO ในรอบ 16 ปี จนกระบวนการ IPO เสร็จสิ้น Etsy มีมูลค่ารวมกว่า 3.5 พันล้านเหรียญฯ
ตัวเลขล่าสุดที่ Etsy เคลมไว้ถือว่าใหญ่ไม่ใช่เล่น ตอนนี้มีสินค้าวางจำหน่ายอยู่ 32 ล้านชนิด มีผู้ขายแอคทีฟอยู่ 1.5 ล้านคน ผู้ซื้อแอคทีฟรอจับจ่ายอยู่ 21.7 ล้านคน ปีกลายสร้างยอดขายได้กว่า 1.93 พันล้านเหรียญฯ มีพนักงานหลังบ้านดูแลอยู่ 757 ชีวิต
#ชีวิตดี๊ดี หลังมี Etsy
การเกิดขึ้นของ Etsy ทำให้ชาวฮิปผู้หลงใหลสินค้าทำมือได้แจ้งเกิดหลายราย มีหลายกรณีที่ Etsy นำมาเล่าต่อในบล็อก จนถึงขั้นออกจากงานประจำมาทำเงินกับของทำมือเลยก็มี
อย่างเช่นเคสของคุณ Norma Toraya ผู้ละทิ้งงานตำแหน่ง animation director กว่า 15 ปีในนครแอตแลนต้า รัฐจอร์เจีย มาทำงานวาดเขียนบนกระดาษและการ์ดแบบทำมือใบต่อใบในร้านของเธอ ตั้งแต่ปี 2007 จนถึงออกมาทำร้านนี้ประจำตอนปี 2012 มีงานของเธอส่งถึงมือลูกค้าไปแล้วกว่า 14,000 ชิ้น
และเท่าที่สืบค้นในบล็อกของ Etsy ก็มีร้านของคนไทยหลายร้านขึ้นเป็น Feature Shops พร้อมภาพสวยๆ แล้วเช่นกัน อาทิร้าน W.B.THAMM ขายเครื่องแต่งกายชาย หรือร้าน JooJoobs ขายเครื่องหนัง เป็นต้น
โอกาสของผู้ประกอบการไทย
เท่าที่เห็นตอนนี้ก็มีผู้ประกอบการไทยไปเปิดร้านขายของอยู่ในนั้นเป็นจำนวนพอสมควร แต่สิ่งหนึ่งก่อนที่จะคิดไป “ฝากร้านด้วยนะคะ” ในเวทีโลกก็คงจะต้องแข็งแกร่งเรื่องทักษะทางภาษาเพื่อชักจูงคนทั้งโลกให้มาซื้อสินค้า เป็นอีกช่องทางหนึ่งเพื่อกระจายสินค้านอกเหนือจากแย่งจองพื้นที่ flea market ที่คนชิคๆ ไปเดินกัน หรือเปิดเพจของตัวเอง สิ่งที่น่ากลัวอีกอย่างเมื่อสินค้าไปอยู่บน Etsy คือผู้ค้ารายอื่นจะเอาแบบไปลอกแล้วขายในราคาถูกกว่า อันนี้ก็ต้องใช้กึ๋นในการปรับตัวอีกทาง
ในบ้านเราก็มีชุมชนอะไรคล้ายๆ Etsy อยู่เหมือนกันอย่าง Blisby ที่สร้างคอมมูนิตี้คนทำของแฮนด์เมดโดยชูเรื่องของการเปิดร้านฟรี ง่ายเพียงไม่กี่คลิก และยังเป็นที่รวมคอนเทนต์งานคราฟต์ที่เข้าถึงง่าย เพราะเป็นภาษาไทยที่เข้าใจรสนิยมเราเป็นอย่างดี
คนฮิปๆ ชอบอะไรไม่เหมือนกระแสหลัก มีรสนิยมทางเลือก ไม่จำเป็นว่าต้องมีรายได้น้อย ไส้แห้ง คุยกับใครไม่รู้เรื่อง ฯลฯ ด้วยเจเนอเรชั่นผู้คนที่กำลังเปลี่ยนไป Etsy จึงน่าจะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้คนได้เจอสินค้าใหม่ๆ เจอคนคอเดียวกันมากขึ้น เป็นอีกช่องทางจับจ่ายที่ตรงใจ และละสายตาไม่ได้แล้วในเวลานี้
ที่มาและแหล่งอ้างอิง
Comments
ใช้อยู่เหมือนกัน ตั้งร้านง่าย แต่ดึงคนเข้าร้านสิยาก 55 ;)
my blog
อูยหลุด ขอบคุณครับ
เท่าที่เห็น (แต่ก็ยังไม่แน่ใจ) ผมว่าศัพท์ต้องมีหลุดอีกแน่ๆ ครับ รอคุณบอท 55
my blog
ผมขายมาตั้งแต่ปี 2012 ค่อนข้างดีกำไรเดือนละ $500 up แต่เป็นงานอดิเรกเฉยๆ ยังทำงานประจำเหมือนเดิม
ไม่มีลายเซ็น
ผมนึกว่าชื่อมาจาก Ebay ซะอีก
หลังๆผมเข้าไปนี่มีแต่ของสำเร็จรูปจากจีนที่เห็นได้ตามเว็บทั่วไป (eBay, Ali, DX) เต็มไปหมดและเคลมว่าเป็นของ Handmade ด้วย (ซึ่งก็อาจจะจริงใช้แรงงานคนเป็นบางส่วน)
เห็นด้วยช่วงหลังมาจาก ali เยอะจริง
บทความดีมากเลย แต่ผมยอมรับว่าเพิ่งรู้จัก Etsy