Qualcomm เปิดตัวเทคโนโลยี Quick Charge 3.0 สามารถชาร์จเร็วกว่ารุ่น 2.0 สูงสุด 27% และสูญเสียพลังงานน้อยลงได้ถึง 45% การชาร์จแบตเตอรี่เปล่าไปถึง 80% จะชาร์จได้ในเวลา 35 นาทีเท่านั้น
เทคโนโลยีสำคัญของ Quick Charge 3.0 คือ Intelligent Negotiation for Optimum Voltage (INOV) ที่สามารถปรับระดับความต่างศักย์สำหรับชาร์จไฟได้ตามความต้องกร จากเดิมที่ Quick Charge 2.0 จะจ่ายไฟได้สี่ระดับ คือ 5V, 9V 12V, และ 20V ใน Quick Charge 3.0 จะสามารถจ่ายความต่างศักย์เพิ่มขึ้นหรือลดลงทีละ 200mV ในช่วง 3.6V-20V
ซีพียูที่รองรับ Quick Charge 3.0 ได้แก่ Snapdragon 820, 620, 618, 617, และ 430
ที่มา - Qualcomm
Meet Quick Charge 3.0 — our fastest charging technology yet: http://t.co/pgXY8F57pb. pic.twitter.com/RrkjT7HDT5
— Qualcomm (@Qualcomm) September 15, 2015
Comments
ถามหน่อยว่าเทคโนโลยีชาร์จเร็วพวกนี้มันจะทำให้แบ็ตเสื่อมหรือเปล่าครับ
เข้าใจว่าก็ได้ตามรอบอายุของแบตตามเดิมแหละครับ
เข้าใจว่าตัวการทำแบตเสื่อมอยู่ที่ความร้อนสะสมครับ ยิ่งชาร์จเร็วยิ่งเกิดความร้อนมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้แบตเสื่อม แต่ถ้าระบายความร้อนได้เร็วก็ไม่ต่างกัน
ไม่แน่ใจว่า qualcomm quickcharge ใช้หลักการยังไงนะครับ พอดีใช้ oppo เลยรู้วิธีการชาร์จ
oppo จะแบ่งแบตเป็น 3 ส่วนแล้วชาร์จเจอร์จะจ่ายไฟ 4.5A แบ่งให้แต่ละส่วน ส่วนละ 1.5A เลยสามารถจ่ายได้เร็วขึ้น 3 เท่า โดยที่แบตก็ได้รับไฟเท่า ๆ กับระบบปกติ
ใช่ครับ แบตได้รับเท่าๆ กับปกติ แต่เอาเข้าจริงความร้อนสะสมมันก็ต่างกัน
เท่าที่เคยอ่าน ของ Qualcomm ใช้วิธีอัด Volt เพิ่มครับ อย่างมือถือทั่วไป 5V 2A ได้ 10 วัตต์ แต่ QC ใช้ V มากกว่า เช่น 9V 1.67A ก็ออกมาราวๆ 15 วัตต์
ส่วนของ OPPO เข้าใจว่าประหลาดกว่าตรงที่ใช้ 5V แต่อัด Amp แทน แต่ยังไงทั้งสองแบบก็เกิดความร้อนสะสมมากกว่าปกติอยู่ดีครับ
เอาเทคโนโลยีนี้ไปใส่ในรถไฟฟ้าได้เปล่า
ระบบชาร์จเร็วสำหรับรถยนต์ก็มีอยู่แล้วครับ แต่ความจุแบตมันต่างกัน ลองนึกถึงเอาไฟบ้านปริมาณมหาศาลขนาดนั้นวิ่งเข้ารถสิครับ ผมเกรงว่ามิเตอร์หน้าบ้านจะระเบิดซะก่อน อย่าง Tesla Motors จะมีจุด Supercharger ที่จ่ายไฟกระแสตรงได้ถึง 120,000 วัตต์ไว้ให้เราด้วย ใช้เวลาชาร์จครึ่งชั่วโมงเอารถไปวิ่งได้ 170 ไมล์ เทียบกับการชาร์จด้วยปลั๊กปกติ 240V/40A ไปวิ่งได้แค่ 14 ไมล์เองครับ (ย้ำว่า 40 แอมป์นะครับ ซึ่งนั่นก็มากมหาศาลแล้ว นั่น 9,600 วัตต์เลยนะครับ ถ้าวิ่งเต็มๆ มิเตอร์ไฟก็วิ่งไป 9.6 หน่วยต่อชั่วโมงเลยครับ)
ที่ชาร์จทั่วไป บอกเป็นระยะทางต่อชั่วโมง
จาก http://www.teslamotors.com/models-charging#/outlet
Supercharger อันนี้บอกเป็นระยะทางต่อครึ่งชั่วโมง
จาก http://www.teslamotors.com/supercharger
ฟิวส์บ้านกระจุย
แอบสงสัยเหมือนกันว่าถ้าใช้รถไฟฟ้าล้วนแทน ค่าไฟที่บ้านจะพุ่งไปขนาดไหน
มันน่าสนใจตรงที่ Tesla มีจุดชาร์จฟรีให้น่ะสิครับ ส่วนในไทยก็..แพงมาก orz
เสียบชาร์จสำหรับวิ่ง 300 กิโลเมตรนี่ก็น่าจะเกินค่าไฟผมทั้งเดือนไปแล้วครับ orz
ผมเคยจินตนาการ Model ธุรกิจประมาณว่า ที่จอดรถในห้างจะมีโซนจอดสำหรับรถไฟฟ้าโดยเฉพาะเท่านั้น ใครเอารถมาจอดสามารถเสียบชาร์จได้ (คิดเงินค่าชาร์จเท่าไหร่ก็ว่าไป) คนขับรถได้ประโยชน์ตรงมีที่จอดสำรองไว้ + ได้ชาร์จไฟไปด้วย รถจะได้ไม่ไปตายแถวแยกเกษตร ส่วนห้าง (หรือคนเช่าพื้นที่จากห้าง) ก็ได้ค่าชาร์จไป
แต่ถ้าภาษีรถไฟฟ้ายังแพงขนาดนี้ ก็.......นะ
เติมไฟฟ้า 200 แล้วก็ลงไปเดินห้าง ชิวๆๆรอซัก ชัวโมง น่าจะดีนะครับ
ซื้อสินค้าครบทุก 100 บาท เครดิตเงินคืนเข้า Wallet สำหรับเติมไฟฟ้า 10 บาท
ชาร์จไฟทุกๆ 50 บาท จอดรถฟรี 1 ชม.
แสดงว่ามันเป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคต
เรื่องมลพิษน้อย (มันไม่ได้ผลิต แต่มันก็มีมลพิษตอนผลิตไฟฟ้าอยู่ดี)
ยกเว้นจะเปลี่ยนเป็น แสงอาทิตย์/ลม/นิวเคลียร์
ส่วนเรื่องประหยัดลืมไปได้เลย ยังแพงกว่าน้ำมัน -*-
9,600 วัตต์ นี่เทียบง่ายๆ ก็ PC แรงๆ การ์ดจอเมพๆ
10-15 เครื่องเปิดทิ้งไว้แบบ Full load
วันนึง 3 ชั่วโมง ? พอไหมเนี่ย ? 40-50 กิโลเมตร ?
ตอนนี้ผมยังมองว่าต้องไฮบริดแบบโตโยต้า ไม่ก็กระโดดข้ามไปไฮโดรเจนแบบ Toyota Mirai นู่นเลยครับ
พวก Nissan Leaf เหมือนกันเปล่าหว่า ดูเน้นเบาๆ ไม่ซิ่ง
รถไฟฟ้าชาร์ทไฟช้าขนาดนี้ เศร้าเลย
อันนี้ผมไม่แน่ใจครับว่า 150 แรงม้าของ Nissan Leaf กับ 300 แรงม้าของ Tesla Model S นี่จะทำให้กินแบตต่างกันมั้ยถ้าวิ่งด้วยความเร็วเท่าๆ กัน แต่ Nissan Leaf ความจุแบตน้อยกว่ามากครับ ชาร์จเต็มเร็วกว่าแน่ๆ ส่วนถ้าชาร์จแค่ชั่วโมงเดียวไปได้ไกลแค่ไหนนี่ผมไม่แน่ใจ
ความต้องกร =>ความต้องการ
จ่ายไฟตามใช้งานจริงคืออะไรครับ
oxygen2.me, panithi's blog
Device: ThinkPad T480s, iPad Pro, iPhone 11 Pro Max, Pixel 6
ใจจริงอยากได้แบตอึด มิได้อยากชาร์ตไว ต่างกันเยอะแบตอึดกับชาร์ตไว
The Last Wizard Of Century.