Jonathan Petit นักวิทยาศาสตร์และวิจัยด้านความปลอดภัยที่ Security Innovation บริษัทด้านความปลอดภัยซอฟต์แวร์ ได้เขียนเปเปอร์งานวิจัยที่จะนำไปพรีเซนท์ที่งาน Black Hat ในยุโรป โดยระบุว่าสามารถโจมตีรถยนต์ไร้คนขับในลักษณะ DoS (Denial of Service) โดยการหลอกเซ็นเซอร์ LIDAR ที่ถูกใช้ในรถไร้คนขับเป็นส่วนใหญ่ จนทำให้รถไม่สามารถขับเคลื่อนได้
เนื่องจาก LIDAR (Light Detection and Ranging) ซึ่งเป็นระบบเซ็นเซอร์ที่ถูกใช้ในรถยนต์ไร้คนขับหลายๆ เจ้าเช่นของกูเกิล มีหลักการทำงานคล้ายๆ ระบบ SONAR (Sound Navigation and Ranging) ที่ใช้เสียง เพียงแต่เป็นการปล่อยแสงออกไปแทน และเมื่อแสงกระทบวัตถุจะสะท้อนกลับมาและสร้างเป็นภาพ 3 มิติ เพื่อค้นหาตัววัตถุและระยะทางรอบๆ คันรถ ทำให้ Petit อาศัยหลักการนี้สร้างสัญญาณเลียนแบบยิงกลับเข้าไปในเซ็นเซอร์ LIDAR ทำให้ระบบตรวจจับสิ่งกีดขวางที่ไม่มีจริง และคำนวนระยะทางและรถขับเคลื่อนผิด หรือไม่ขับเคลื่อนเลย
Petit ระบุว่าความยากอย่างเดียวคือการยิงสัญญาณเข้าไปในเซ็นเซอร์ให้ถูกเวลาเท่านั้น เพราะคลื่นแสงที่ใช้ใน LIDAR เป็นคลื่นในย่านความถี่ที่ใช้ได้ทั่วไป ไม่ได้มีการเข้ารหัสอยู่แล้ว โดย Petit ระบุว่าใช้แค่อุปกรณ์ถูกๆ อย่าง Raspberry Pi หรือ Arduino ก็ทำได้แล้ว
งานวิจัยชิ้นนี้ถือได้ว่าชี้ให้เห็นถึงช่องโหว่ความปลอดภัยของรถไร้คนขับ ที่มีหลายๆ ฝ่ายเป็นห่วง ให้นักพัฒนากลับไปแก้และปรับปรุงต่อไป
ที่มา - IEEE Spectrum via Naked Security
Comments
เสริมนะคับ LIDAR คือการยิงเลเซอร์ออกไปคับ
พูดให้ง่ายมันคือการประยุกต์เอา Laser rangefinder (เครื่องวัดระยะทางเลเซอร์) ที่ใช้กันดาษดื่นในวงการทหารมาประยุกต์นั่นเองคับ
ก็คือแทนที่จะเก็บค่าระยะของวัตถุ ณ จุดที่เลเซอร์ เส้นเดียวชี้ไปจุดเดียว ก็ยิงปูพรมเป็นหมื่นเส้น
เก็บความแตกต่างของระยะบนผิววัตถุ (เช่นวัตถุโค้ง ริมๆก็จะระยะ > ตรงกลาง) แล้วเอาค่าระยะมากำหนด vertice จนได้พื้นผิววัตถุมาคับ
ซึ่งจริงๆมันน่ากลัวกว่านั้น เพราะข้อมูลที่เก็บได้อาจไม่ได้มีแค่ข้อมูลหยาบๆอย่างเดียว
การใช้ในทางโยธาหรือการสำรวจ ส่วนมากจะเป็นเลเซอร์ประเภทที่เป็นอันตรายต่อสายตาด้วยคับ
ผลกระทบของรถยนต์ประเภทนี้อาจมีตามมาหลายอย่างคับ เช่นปัญหาเรื่องอันตรายต่อระบบนิเวศ หรือสุขภาพของคน
เพราะการรีเฟรชของ LIDAR ต้องยิงเลเซอร์ออกมาถี่มาก
หรืออาจมีการแอบติดเครื่อง LIDAR ประสิทธิภาพสูงแทนตัวต่ำก็เป็นได้ (ซึ่งเป็น non-eye safe ทุกตัว)
ตรงนี้เราสามารถมองได้ว่า เป้าหมายที่แท้จริงของโครงการนี้คือการเก็บข้อมูล ชัยภูมิ วัตถุ สถานที่ตามเมืองต่างๆ ทั่วโลกนั่นเองคับ
ผลประโยชน์นั่นมีได้ตั้งแต่ทางธุรกิจ อสังหา จนถึงความได้เปรียบทางการทหาร (หากรถแล่นออกสาธารณะจริงๆนะคับ)
ซึ่งก็เหมือนกับ Social network หรือมือถือนี่แหละคับ สร้างจารชนอย่างถูกกฎหมาย
เรื่องอันตรายต่อสายตาผมว่าเขาคิดแล้วล่ะครับ เมื่อก่อน LIDAR อาจไม่คำนึงถึงตรงนี้มากนัก เพราะส่วนใหญ่มันใช้ติดกับเครื่องบินแล้วยิงลงมาที่พื้นแบบตั้งฉาก เพื่อสร้างแผนที่ขึ้นมา โอกาสที่คนจะเงยหน้ามองขึ้นท้องฟ้าไปเจอพอดีมันมีน้อยมาก
แต่นี่ติดกับรถยิงไปรอบทิศเลยเขาก็คงต้องคำนึงถึงแหละครับ ส่วนเรื่องแฮกเนี่ยเขาก็มีข่าวนักวิจัยแสดงความเป็นห่วงอยู่เรื่อย ๆ อันนี้ก็ต้องตามติดกันต่อไป แต่ข่าวนี้ไม่ได้แฮกเอาข้อมูลที่ได้มาใช้ ตรงข้ามเลย เป็นการส่งข้อมูลปลอมเข้าไปให้เครื่องมันงงเฉย ๆ ยังไม่น่ากลัวมากนัก
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
นั่นไงคับ เพราะ LIDAR แบบ research นานทีปีหน ถึงจะบินขึ้นทีนึง
ลองนึกถึง รถยนต์ไร้คนขับแล่นเกลื่อนถนน 24/7
ต่อให้เป็น eyesafe แต่ยิงกันหลายเครื่องคนได้อาบแสงกันทั้งวันแน่
ปริมาณแสงเข้าตา ในระยะเวลาหนึ่งมันคงเกินมาตรฐาณ safe ไปแล้ว
น่ากลัวสุดคือ มันเป็นแสงที่มองไม่เห็นนี่แหละ
วันดีคืนดีตื่นมาจอดับไปข้าง หาคนรับผิดชอบไม่ได้
ส่วนข้อมูลที่ได้จาก LIDAR ก็ตกเป็นสมบัติของต้นทางก็คือ USA ไป ครองโลกไปอีกระดับ
"ระยะเวลาหนึ่งมันคงเกินมาตรฐาณ safe ไปแล้ว"
อันนี้คือคำนวณตัวเลขมาแล้ว? หรือจินตนาการเอาเองครับ
lewcpe.com, @wasonliw
เดี๋ยวนะ ไอ้แสงนี่มันมีผลกับสุขภาพคนทั่วโลก แต่ไม่มีผลกับชาวอเมริกันเหรอครับ? เพราะถ้าเรื่องเกิดที่อเมริกากูเกิ้ลโดนรุมฟ้องไม่เหลือซากแน่
“แสงที่มองไม่เห็น“ เนี่บมันก็คือคลื่นชนิดนึง ซึ่งรอบตัวเราใีสารพัดคลื่นอยู่แล้วนะครับ ขนาดโทรศัพท์เนี่ย ยังวิจัยกันใาหลายสิบปีแล้ว ทุกวันนี้ยังเถียงกันอยู่เลยว่าอันตรายหรือไม่? ผมคิดว่าแค่เลือกใช้ช่วงคลื่นที่ไม่อันตรายฝนทางมฤษฎีไปก่อนก็ไม่น่าจะยากจนเกินไปนะครับ ระหว่างนั้นก็วิจัยรอกันไปว่าช่วงไหนปลอดภัยจริงแม้จะโดนอาบกันหลายปีก็ยังไม่สายมั้ง
ส่วนเรื่องอเมริกานี่เอาที่สบายใจเลยครับ
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
ตกลงคุณรู้จัก LIDAR จริงมั้ยคับ ?
เชิญดู spec sheet อุปกรณ์ยิง LIDAR เลยคับมีแค่ไม่กี่ยี่ห้อหรอก ตัวท๊อป laser type4 แสงก็มองไม่เห็นเหมือนกัน แต่ยิงคนตาบอดได้
เข้าโหมดโต้วาทีภาษาไทยแล้วได้อะไรคับ เถียงให้กบเป็นนกยังได้เลย
ผมไม่รู้จริงครับ ผมยอมแล้วครับ เอาเป็นว่ารอดูข่าวคนตาบอดเพราะรถพวกนี้แล้วฟ้องกันให้ล้มละลายไปข้างนึงละกันนะครับ
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
อันนี้ไม่น่ากลัวเท่าไหร่นะ ถ้าไม่มีสิ่งกีดขวางแล้วใช้ Arduino ทำให้เหมือนมีสิ่งกีดขวางขึ้นมา รถไม่วิ่ง นั่งหาสาเหตุ
ถ้ามีสิ่งกีดขวางแล้วทำให้หายไป (ในสายตา LIDAR) ได้นี่น่ากลัวกว่าเยอะ
lewcpe.com, @wasonliw
เห็นว่าที่ไช้อยู่มี ridar, กล้อง และ sonar
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
ในแง่คนออกแบบ ผมว่าไม่แปลกถ้ามีเซ็นเซอร์ตัวใดตัวหนึ่งบอกว่ามีสิ่งกีดขวางแล้วรถจะหยุดหรือหลีกนะ โดยเฉพาะ LIDAR ที่น่าจะแม่นสุด
lewcpe.com, @wasonliw
หมายถึง ทำให้สิ่งกีดขวางหายไปน่าจะยากอยู่เพราะไช้เซ็นเซอร์หลายแบบนะครับ
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
วิ่งๆอยู่แล้วหยุดก็น่ากลัวครับ มันมันเป็นทางที่รถต้องไม่หยุด เช่น ถนนมอเตอร์เวย์ หรือข้ามทางรถไฟครับ ฆ่ากันตายแบบเนียนๆได้เหมือนกันครับ
ข้ามทางรถไฟ +1
คำนวน => คำนวณ
ผมนึกถึง กรณี หุ่นยนต์ Service ของญี่ปุ่น ที่ ช่วยให้ข้อมูลข่าวสาร คอยช่วยเหลือผู้คน ตาม สถาณี
ทีนี้เจ้ากรรม หุ่นยนต์เนี่ยไปเจอกลุ่มเด็ก บรรเทิงเลย เด็กก็เล่นบ้างแกล้งบ้าง เดินดักหน้าดักหลัง คือ แบบปั่นป่วนเล็กๆ
ตัวหุ่นเองก็พยายาม จะเดินหนี เข้าใจว่า โปรแกรมเมอร์ โปรแกรมไว้แบบนั้น ... แต่เด็กก็เดินตาม วิ่งไปดัก ...
โปรแกรมเมอร์ คงจะปวดหัวมากๆ ถ้าจะเจอ DDOS แบบนี้... โปรแกรม ธรรมดาเขียนไม่ยาก เงื่อนไข ไม่ซับซ้อนตรงไปตรงมา ... แต่ โปรแกรมเมอร์ vs เด็ก นี่สิ