คล้อยหลังเหตุฉาวที่ Volkswagen โกงผลทดสอบมลพิษมาเพียงวันเดียว ความเสียหายต่อบริษัทเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างมากแล้ว
เริ่มด้วยราคาหุ้นของ Volkswagen ที่ตลาดหุ้นเยอรมนีกันก่อน (Deutsche Börse) เมื่อเปิดตลาดในวันจันทร์ ราคาหุ้นของ Volkswagen AG ร่วงลงกว่า 20% (Bloomberg รายงานว่ามากถึง 23%) เหลือต่ำสุดที่ 125.40 ยูโรต่อหุ้น ส่งผลให้มูลค่าบริษัทหายไปราว 15,600,000,000 ยูโรเลยทีเดียว (ประมาณ 628,205,760,000 บาท) โดยในรอบปีที่ผ่านมา ราคาหุ้นของ Volkswagen AG เคยขึ้นสูงสุดถึง 250 ยูโรต่อหุ้นเมื่อเดือนมีนาคม
Volkswagen AG ออกมาเปิดเผยว่าบริษัทจะหยุดขายรถยนต์รุ่นที่ EPA ตรวจพบว่าใส่ซอฟต์แวร์โกงผลการทดสอบมลพิษดังกล่าวทันที อีกทั้งจะยังไม่ขายรถ Volkswagen และ Audi รุ่นปี 2015 และ 2016 ในอนาคตที่วางเครื่องยนต์ดีเซลสี่สูบเทอร์โบ ซึ่งบริษัทโฆษณาไว้ว่าเป็น “เครื่องยนต์ดีเซลสะอาด” อีกด้วย
Martin Winterkorn ซีอีโอของ Volkswagen AG ให้สัมภาษณ์ว่า “ผมรู้สึกเสียใจอย่างยิ่งต่อการที่เราได้ทำลายความเชื่อมั่นของลูกค้า เราจะทำทุกอย่างที่จะแก้ไขความเสียหายที่เกิดขึ้น” Winterkorn เป็นซีอีโอมาเกือบเก้าปี และวันศุกร์นี้บอร์ดบริหารจะโหวตว่าจะให้เขาดำรงตำแหน่งต่อหรือไม่
อัพเดต: Volkswagen ออกมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่ารถยนต์ที่ถูกติดตั้งซอฟต์แวร์โกงดังกล่าว มีอยู่ราว 11 ล้านคันทั่วโลกครับ เฉพาะในสหรัฐอเมริกาที่ว่าหนักหนาแล้วยังแค่เกือบห้าแสนคันเท่านั้นเอง - The New York Times
ที่มา - Ars Technica, Bloomberg
Comments
นึกถึงกรณี Samsung Galaxy S4 ใช้เทคนิคเดียวกันเลย แต่รายนั้นชิลมาก Samsung Galaxy S4 โกงผล Benchmark
ก็ผล Benchmark มันไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เลยไม่มีใครสนใจ
นั้นจะเป็นด้านราคาที่สูง กับภาษีที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นมากกว่าครับ เพราะถ้าพูดถึงมลพิษไปซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเลยดีกว่า
ครับ อันนั้นขำขำ scale มันต่างกัน แต่ก็ยังถือว่าจงใจโกงผลการทดสอบนะครับ อย่างน้อยๆ คนที่อ่านรีวิวก่อนซื้อก็โดนหลอกไปเต็มๆ เช่น สมมุติตอนทดสอบแบต ก็โปรแกรมให้ใช้ clock เบาสุดๆ เพื่อให้ได้เลขชั่วโมงเยอะๆ แต่พอทดสอบความแรง ก็โปรแกรมให้ดัน clock ให้พุ่งสูงๆ เพื่อได้คะแนนความแรงสูงมากๆ พอคนหลงเชื่อซื้อไปใช้จริง ก็ได้มือถือที่อยู่ไม่ได้นาน แรงก็ไม่แรง อะไรแบบนี้ครับ
จะถึงขั้นล้มมั้ยครับ?
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
คงไม่ถึงขั้นนั้นแน่ๆ ครับ เพราะบริษัทในเครือมีเยอะมากๆ แถมพื้นฐาน VW ก็แข็งแกร่งอยู่แล้ว ขายดีมากมาตลอด ส่วนตัวผมถ้าเทียบกับ Ford ตอนนู้นแล้ว VW สถานการณ์ดีกว่ามาก ขนาด Ford ว่าจะล้มยังไม่ล้มเลยครับ
แต่สิ่งที่น่าจะกู้กลับมายากคือความเชื่อใจของผู้บริโภคน่ะครับ
Pitawat's Blog :: บล็อกผมเองครับ
เรื่องแค่นี้คงไม่ทำให้บริษัทไปถึงขั้นเจ๊งจิงๆน่ะล่ะครับ โฟล์กเงินเยอะ อีกอย่างนี่มันก็อารมแบบ ดารามีคลิปหลุดอ่ะ ก็เดี๋ยวก็ลืมๆกันไป (ฝรั่งจะเป็นงั้นมั้ย?)
แต่เรื่องมีบริษัทในเครือเยอะแล้วจะช่วยได้นี่ผมว่าถึงเวลาช่วยไม่ได้ เพราะเหมือนรถแบรนด์อื่นๆในเครือโฟล์กมีสภาพคล้ายๆแผนกนึงของโฟล์กมากกว่า ถ้าโฟล์กยึดแนวทางนี้ไปเรื่อยๆ ถึงเวลาวิกฤตจริงน่าจะเป็นเหมือน GM มากกว่า Ford ครับ คือ รถแต่ล่ะยี่ห้อใช้ core engineering และ design ร่วมกันมากไป ไม่มี product differentiate เลย พอร่วงทีร่วงเป็นแผงไม่มีใครช่วยใครได้ พาลต้องยุบทิ้งเป็นขบวน เหลือแต่ที่แบรนด์มันแข็งแรงจริงๆไม่กี่แบรนด์ ส่วน Ford สร้าง อัตลักษณ์ในแต่ล่ะ แบรนด์ไว้อย่างดี พอถึงเวลาต้องขายของกิน เลยขายไม่ยาก อย่าง Volvo Jaguar Land Rover ก่อนนี้รถคุณภาพน่ากังขามาก แต่มันมีจุดเด่นสูงมาก ทำให้จีนกับอินเดียมาซื้อไป
คือ Samsung โกง Benchmark มันยังพอล้อกันขำๆได้ว่ากลัวไม่แรง
แต่การโกงผล Emission นี่เป็นอะไรที่ร้ายแรงมากๆ เพราะมันกระทบกับ ตัวรถโดยตรง เช่นอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน อัตราภาษี ผมไม่รู้ว่ามีแรงจูงใจอะไรทำไมรถ Volkswagen ที่ประสิทธิภาพสูงอยู่แล้วต้องทำแบบนี้ แต่ช่วงหลังๆ Volkswagen เริ่มงกหนักมากขึ้นเนื่องจากต้องการทำกำไรตามคู่แข่งให้ไ้ด้ ไม่รู้จะเกี่ยวกันรึเปล่า
ถ้าพูดถึงตัวผลิตภัฑณ์ทั้งสองกรณีผมว่ามันก็ส่งผลต่อตัวผลิตภัณฑ์คล้ายๆ กันครับ เพียงแต่ว่าเรื่องรถมันมีอิมแพ็คต่อคนส่วนใหญ่มากกว่า
รถกระทบมากกว่าแน่นอนครับ เพราะมันกระทบกับ Homologation (การทำให้ผ่านกฎหมายเพื่อให้ขายได้) ด้วย ด้วยเหตุนี้พอถูกจับได้ว่าโกง ก็ต้องยุติการขายรถยกรุ่นอะครับ มันเลยกระทบมากกว่า
จะซื้อหุ้นก็ต้องซื้อช่วงแบบนี้แหละ 555
ราคารถจะตกตามราคาหุ้นไหมเนี่ย
แต่ถึงจะตกขนาดไหน ก็คงไม่มีเงินจะซื้ออยู่ดี T T