Facebook ออกมาประกาศเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (ตามเวลาในสหรัฐฯ) ว่าได้เพิ่มคุณสมบัติใหม่ให้กับผู้ใช้ทุกคน โดยจะมีระบบแจ้งเตือนกับผู้ใช้งานที่ Facebook คิดว่า ผู้ใช้ดังกล่าวกำลังตกอยู่ภายใต้ความเสี่ยงที่จะเป็นเหยื่อจากการโจมตีหรือแฮกจากหน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรที่รัฐให้การสนับสนุน (state-sponsored actor)
Facebook จะทำการแจ้งเตือนเมื่อมีหลักฐานที่พอเพียงและควรเชื่อได้ว่าจะถูกโจมตี แต่ Facebook ระบุว่าจะไม่ขอเปิดเผยวิธีการตรวจจับดังกล่าวเพื่อการรักษามาตรฐาน ทั้งนี้ ทางบริษัทระบุว่าหากใครก็ตามที่เห็นข้อความแจ้งเตือนแล้ว แนะนำว่าให้จัดสร้างหรือซื้ออุปกรณ์ต่างๆ ใหม่ทั้งหมดถ้าหากเป็นไปได้
Comments
เยี่ยมครับ หวังว่าจะไม่ขึ้นมาให้ทดสอบ 'Feature' ที่ว่า ในบ้านเรา
ขออย่าให้มีบั๊กแจ้งเตือนผิดๆ ละกัน มีเครียดจริงๆ นะ
อ้าว แล้วที่ถูกแฮกจากแฮกเกอร์กันให้รึ่มนี่ไม่เตือนด้วยเหรอ เอ๊ะหรือมีอยู่แล้ว?
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
Notification ของคนในประเทศแถบนี้คงขึ้นเยอะจนน่ารำคาญเหมือน Invite เกมส์
สำหรับผม ผมไม่ได้ทำอะไรผิด จึงไม่เคยกลัวเรื่องการเปิดเผยข้อมูลกับทางรัฐอยู่แล้ว
น่าจะมีการพัฒนาเกี่ยวกับความเสียง ภัยคุกคาม หรือความน่าจะเป็นของผู้ที่จะมาหลอกลวงสำหรับเยาวชนน่าจะดีกว่า
รับทำเว็บไซต์ ออกแบบเว็บไซต์
ทุกวันนี้ไอ้ที่ติดคุกหรือถูกเชิญไปปรับทัศนคติที่ไม่ถูกต้อง (ผมประชด) ก็ไม่ได้ทำอะไรผิดนะครับ
ผมไม่ได้ทำอะไร ให้เกิดเป็นเหตุจูงใจที่รัฐบาลจะต้องเข้ามาสอดส่องเอาข้อมูลในเฟสบุ๊คของผมให้เสียเวลาครับ ผมคิดแบบนั้น
รับทำเว็บไซต์ ออกแบบเว็บไซต์
ถึงจะไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ข้อมูลส่วนตัวมันก็ควรจะเป็นส่วนตัวครับ ไม่ใช่ให้คนอื่นมารู้ทั้งที่เค้าไม่มีสิทธิ์จะมารับรู้ เพราะเราไม่มีทางมั่นใจได้ 100% ว่าคนที่เค้ารู้ข้อมูลส่วนตัวของเราเค้าจะเอาข้อมูลนั้นไปใช้ในทางที่ผิดหรือเปล่า ต่อให้เป็นหน่วยงานของรัฐก็เหอะ คุณมั่นใจได้เหรอกับหน่วยงานของรัฐในประเทศนี้
เอาง่ายๆละกันถ้าคุณคิดว่าไม่ได้ทำอะไรผิด คุณเอาสำเนาบัตรประชาชนของคุณมาแชร์ในนี้ได้หรือเปล่า
เห็นด้วยเลยครับ +100%
ในเมื่อตั้งใจใส่ข้อมูลส่วนตัวลง Facebook มันก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความเป็นส่วนตัวแล้วครับ
ผมจึงเลือกนำเสนอในสิ่งที่นำเสนอได้
รับทำเว็บไซต์ ออกแบบเว็บไซต์
แนวคิดเดียวกันกับไม่ได้ทำผิดจะต้องกลัวอะไรสิน่ะ 555
ก็ดักจับข้อมูลไปได้ ก็ไม่มีอะไรอยู่แล้ว ในเฟสมีแต่บ่นเรื่องไร้สาระครับ แต่ ถ้าเฟสบุ๊คสามารถเตือนผู้ใช้ได้ว่า คู่สนทนาของคุณรายนี้มีพฤติกรรมเข้าข่ายหลอกลวง อันนี้สิน่าสนใจ เยาวชนที่ใช้โซเชียลไม่เป็น และใช้ในทางที่ผิดมีเยอะครับ
รับทำเว็บไซต์ ออกแบบเว็บไซต์
จับแพะ จับได้
ยัดยา ก็มีให้เห็น
ในโลก Internet มันก็ทำได้เหมือนกัน
"ผมไม่ได้ทำอะไรผิด" ก็ทำให้ผิดได้เหมือนกันครับ
ถ้างั้นคุณควรเอา login password มาโพสได้เลยครับ เพราะอาจจะมีเจ้าหน้าที่รัฐมาแวะ login เข้าไปดูก็ได้
และไม่ต้องมาอ้างเรื่องที่กลัวคนที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐจะเข้าไปดูครับ เพราะถ้าเจ้าหน้าที่รัฐดูได้ เขาก็สามารถส่งต่อข้อมูลให้คนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐได้เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นก็คงไม่ต่างกันครับ เอาล่ะ เอามาโพสโชว์ได้เลยครับ
คุณคือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกดีนะที่โลกตะวันตกเป็นพวกที่สร้างอินเตอร์เน็ตขึ้นมา คนบางคนต่อให้อธิบายแค่ไหนก็ไม่เข้าใจเรื่องสิทธิความเป็นส่วนตัว
สมมติว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐมาถามคุณว่า "เมื่อคืนนี้คุณเล่นกับภรรยาท่าไหนครับ" คุณจะตอบไหมครับ :-) ตอบไปสิครับว่า... (เอ่อ ละไว้ดีกว่า) ก็ไม่ได้ทำอะไรผิดนี่นา ?? แล้วจะกลัวอะไร ไม่ใช่เรื่องผิดใช่ไหมครับไอ้การมีอะไรกับภรรยาเนี่ย :-D
น่าจะช่วยให้เห็นภาพขึ้นมาบ้างนะครับ ถึงแม้ผมจะไม่คิดว่าจะมีใครบ้าเอาคลิปวิดีโอการมีอะไรกับภรรยาตัวเองขึ้น Social Network (มันอาจจะมีก็ได้นะใครจะรู้) แต่ว่าข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ ก็น่ากลัวเหมือนกันนะครับ อย่าง ภาพถ่ายลูกหลานเอย ตำแหน่งที่อยู่ในปัจจุบันเอย ทั้งหมดเป็นเรื่องอันตรายมาก ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ถ้าเกิดมีผู้ไม่ประสงค์ดีแต่ดันทำงานในภาครัฐเข้าถึงได้ขึ้นมาจะกลายเป็นว่าคุณจะซวยอย่างไม่ต้องสงสัย (อย่าลืมว่าคนที่ทำงานภาครัฐนั้นไม่ได้มีแต่คนดีไปซะหมดนะครับ พูดกันตามความเป็นจริง ไม่ว่าองค์กรแบบไหนก็มีทั้งคนดีและคนไม่ดี) และการตรวจสอบอำนาจของภาครัฐนี่คนธรรมดาอย่างเรายังเข้าถึงได้ยากอยู่นะ
คือ ถึงเราจะสามารถสมมติว่า ภาครัฐจะเป็น "คนดี" แต่เราไม่สามารถถือว่าคนที่ทำงานภาครัฐทั้งหมดเป็นคนดี และคนเหล่านี้อาจจะใช้อำนาจในทางที่มิชอบในการกระทำการอะไรสักอย่าง ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีกลไกลตรวจสอบย้อนหลัง แต่กว่าจะทำได้ถึงจุดนั้นความเสียหายก็เกิดขึ้นแล้ว เกิดลูกสาวคุณถูกเจ้าหน้าที่เขตลากไปข่มขืน เพราะว่าเขาดันเข้า Social Network คุณเพื่อติดตามลูกสาวคุณได้ มันก็ไม่คุ้มใช่ไหม
อ้อ หมอนี่ไม่ได้กระทำการในฐานะ "เจ้าหน้าที่เขต" นะครับ แค่เผอิญดันเข้าถึงได้เฉย ๆ
จริง ๆ คือนอกจากภาครัฐแล้วมันยังช่วยป้องกันการ "สวมรอย" เป็นเจ้าหน้าที่รัฐด้วยครับ (คือตีว่าน่าสงสัยหมดเลย) เพราะว่าเอาเข้าจริง ๆ การจะรู้ว่าเป็นตัวจริงหรือตัวปลอมมันก็ยากอยู่นะ แล้วก็ถ้าเกิดว่ามีวิธีการโจมตีจากภาครัฐที่ใช้ได้ผลจริง มันก็มีความเป็นไปได้สูงว่าผู้ประสงค์ร้ายสามารถใช้เทคนิคเดียวกันในการโจมตี
รู้ไหมครับว่าไอ้กุญแจ TSA ที่ใช้ในการเปิดกระเป๋าตรวจสัมภาระตามสนามบิน ตอนนี้หลุดออกมาแล้ว และมีเกลื่อนอินเตอร์เนตด้วย (สามารถใช้เครื่องพิมพ์สามมิติพิมพ์ออกมาได้เลย) คนที่ทำหลุดคือเจ้าหน้าที่ภาครัฐด้วยนะครับ (หลุดง่าย ๆ เลยครับ คือดันถ่ายรูปแล้วแชร์ในเนต คนเห็นเข้าก็เลยเอาไปสร้างแบบจำลองเลย) ดังนั้นถ้ามีวิธีที่สามารถเปิดให้ภาครัฐเข้ามาใช้ในการสอดส่องดูข้อมูลได้ ก็เท่ากับว่า ข้อมูลทั้งหมดตกอยู่ในความเสี่ยงที่ผู้ประสงค์ร้ายจะสามารถเข้าถึงได้ด้วยเช่นเดียวกัน จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น และที่แย่กว่าคืองานนี้ไม่ต้องใช้เครื่องพิมพ์สามมิติราคาแพงซะด้วย
ตอนนี้ที่ US เองก็กำลังมีการถกเรื่องกลไกการขอเข้าถึงข้อมูลจากฝั่งรัฐบาล เช่นการใช้กุญแจดอกที่สาม (แบบ TSA ข้างบนที่หลุดแล้วเรียบร้อย) เป็นต้น อันนี้ยังไม่มีข้อสรุป เพราะว่าไม่ว่าทางไหนก็เลี่ยงการถูกจารกรรมครั้งใหญ่ได้ยากอยู่ดี
ถ้าคุณห่วงเยาวชน อันนี้จริง ๆ ไม่ยากนะ คือคิดว่าน่าจะรู้อยู่แล้วว่าบริการ Social Network นั้นมีการจำกัดอายุอยู่ ถ้าลูกคุณอายุไม่ถึง ... ก็ไม่ควรให้เล่น ถ้าลูกคุณอายุถึง ก็ต้องดูแล สอนให้เป็น สอนให้ดูแลตัวเองเป็น ไม่ใช่ปล่อยไปแล้วบอกว่ารัฐบาลต้องดูแลนะ
เรื่องความเสี่ยงของเยาวชนเนี่ย ที่แย่ที่สุดคือคนที่หวังให้คนอื่นเลี้ยงลูกตัวเองให้ และที่แย่พอ ๆ กันก็คือคนที่พยายามที่จะเลี้ยงลูกคนอื่นทั้งที่ไม่ได้มีหน้าที่เลยนั่นล่ะครับ ถ้าภาครัฐหวังดีกับเยาวชนจริง เริ่มจากเพิ่มหลักสูตรการใช้งานบริการสาธารณะ/บริการบนเครือข่ายให้กับนักเรียนในระดับมัธยมขึ้นไปเลยก็ดีนะ (เอ๊ะแต่อาจารย์หลาย ๆ คน เองตอนนี้ก็เล่นไม่ค่อยเป็นอยู่แฮะเท่าที่สังเกตดี)
แต่เท่าที่ผ่านมาเหมือนการศึกษาบ้านเราจะไม่ค่อยมีคนให้ความสำคัญเท่าไหร่นะผมว่า
ปล. จริง ๆ เห็นว่ามี พรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กำลังถูกพิจารณาอยู่นะครับ (เห็นว่าโดนสอยร่วงไปพร้อม ๆ กับดิจิตัลอิโคโนมี่ กับซิงเกิลเกตเวย์ หรือไงนี่ล่ะ) ดังนั้นเจ้าหน้าที่รัฐเองจะเข้าถึงก็คงไม่ง่ายนัก แต่ถ้าระบบมันดันอนุญาตขึ้นมาก็คงมีคนแอบใช้แหละ ขึ้นอยู่กับว่าระบบออกแบบ "ระดับการเข้าถึงข้อมูล" ไว้ดีขนาดไหนเหมือนกัน
+พันล้าน
ผมไม่ต้องพิมพ์เพิ่มเติมเลย คุณพูดสิ่งที่ผมอยากพูดออกมาหมดล่ะ
เรื่องแบบนี้ผมพยายามอธิบายให้คนรอบตัวฟังมาตลอด แต่สกิลด้านสื่อสารผมคงต่ำไป ไม่ค่อยจะมีใครสนฟังเล้ย
ผมเคยเข้าใจผิดมากว่า การรักษาข้อมูลส่วนตัวของตัวเองเป็น common sense ในสังคม มาเจอประโยค ไม่ได้ทำผิด จะกลัวอะไร เลยถึงบางอ้อว่าตัวเองเข้าใจสังคมผิด
เรื่องอื่นยังเห็นปกป้องตัวเองดี พออะไรในเน็ตกลับมองข้าม ย้อมให้คนอื่นแอบดูข้อมูลเราได้เฉยเลย ย้อนแย้งกันเองจนผมหมดแรงจะพูด :v
จริงๆสิ่งที่รัฐประเทศไหนๆน่าจะทำ คือฝังเข้าไปในการศึกษา เรื่องสิทธิส่วนบุคคล เรื่องการปกป้องความเป็นส่วนตัว โปรโมทแรงๆไปเลย ให้คนที่ไม่ตระหนักได้รู้ .... แน่นอน ผมพูดจากอารมณ์ความฝัน รัฐบาลทหารตอนนี้ทำในสิ่งที่ห่างจากผมฝันไว้เยอะ ซึ่งก็ไม่แปลก
มันไม่เกี่ยวกับสกิลหรอก บางคนเขาเลือกที่จะเชื่อแบบนั้นแล้ว เพราะออกตัวไปกับฝ่ายการเมืองแรง
ผมไม่เกี่ยวกับฝ่ายการเมืองฝ่ายนี้ และไม่มีผลได้ มีแต่ผลเสียถ้าจะทำ Single Gateway ครับ (เผื่อคิดว่าผมเห็นด้วย)
ผมแสดงสิทธิส่วนบุคคลเกี่ยวกับความเห็นต่อหัวข้อนั้นๆ เพียงแค่นั้นเอง เป็นสิ่งที่ผมคิดเองไม่มีการตามกระแสหรือเห็นชอบต่อท่านใด
รับทำเว็บไซต์ ออกแบบเว็บไซต์
ขอขอบคุณครับ อย่างแรก ทำให้ผมได้เข้าใจและได้ความรู้มากยิ่งขึ้น
สำหรับโซเชียล เมื่อเลือกที่จะโพสหรือแสดงความคิดเห็น มันไม่มีคำว่าส่วนตัวอยู่แล้วครับ ผมเชื่อแบบนั้น อย่างน้อย Facebook ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ได้ข้อมูลส่วนตัวของเราไปหมดแล้ว
ผมก็เลือกที่จะไม่นำเสนอสิ่งที่เรียกว่าเป็น ส่วนตัว ต่อสื่อโซเชียลเน็ตเวิร์คต่างๆ
สิ่งไหนที่เราคิดได้ มั่นใจแล้วว่าสิ่งนั้นนำเสนอสู่สาธารณะได้ ผมจึงนำเสนอสิ่งนั้นขึ้นสู่โซเชียลครับ
มีเพียงเท่านี้ หากจะมีการมาดักข้อมูลจาก "โซเชียล" ของผม ผมจึงไม่เคยคิดระแวงหรืออันตรายอะไรเลยครับ
รับทำเว็บไซต์ ออกแบบเว็บไซต์
สำหรับคุณ คุณคิดตื้นๆว่า ฉันไม่ได้เดือดร้อนอะไร คุณเลยแสดงความเห็นแบบนั้น ไม่แปลกครับ
แต่สำหรับ facebook เขาคิดไปไกลกว่าคุณครับ ว่าไม่ใช่ทุกคนจะทำอะไรแบบคุณ ทุกคนมีเรื่องส่วนตัวอยู่ทั้งนั้น และเขาพร้อมจะรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน
ต่อให้ account facebook ของคุณไม่มีอะไรที่คุณอยากปิดบัง แล้วถ้าเกิดเป็น email ของคุณล่ะ หากวันไหนผู้ให้บริการ email ของคุณประกาศออกมาว่าเราพร้อมจะให้คนของรัฐเข้าไปดูเมลล์คุณได้ตลอดเวลาล่ะคุณจะว่ายังไง เพราะคุณบอกว่าต่อให้รัฐมาดักข้อมูลก็ไม่สนใจนิครับ ซึ่งถ้าเขาดักได้จริงก็คงไม่ใช่แค่ facebook เท่านั้นแน่
ความคิดที่ว่าต่อให้โดนบุกรุกแค่ไหน ฉันก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร สุดท้ายก็จะกลายเป็นความเคยชินและโดนรุกหนักขึ้นๆเรื่อยๆครับ
เออ แล้วเวลาคุณออกแบบเวบไซด์ให้ลูกค้านี่คุณคิดแบบนี่ด้วยรึเปล่าเนี่ยว่า security ไม่ต้องมีหรอก แค่อย่าเอาข้อมูลส่วนตัวไปไว้บนเวบไซต์ก็พอ รึเปล่าครับ คิดให้ดีๆนะข้อมูลส่วนตัวมันไม่ได้หมายถึงข้อมูลส่วนตั๊ว ส่วนตัวของคุณเท่านั้นหรอกนะ?
ความเป็นส่วนตัวนั้น ไม่มีตั้งแต่คิดจะใส่สิ่งที่เรียกว่าส่วนตัวใน facebook แล้วครับ
จริงๆ แล้วทาง Facebook นั่นเอง ที่ควรจะพัฒนาระบบ (หากต้องการปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้จริง) เป็นเรื่องธรรมดาที่ทาง facebook จะต้องรัดกุมในเรื่องนี้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องออกมาป่าวประกาศให้เป็นกระแสและชื่นชมจากผู้ใช้
และก็ อย่างแรก ข้อมูลส่วนตัวที่ใส่ใน facebook ก็มี Facebook, Inc. ที่รู้ล่ะครับ
อย่างที่สอง เราควรจะเรียกร้องผลประโยชน์ ความเสียหายจากผู้ให้บริการ เพื่อให้เกิดสิ่งที่ดีขึ้น
รับทำเว็บไซต์ ออกแบบเว็บไซต์
เออ ถ้าเขาไม่ประกาศจะมีคนรู้ไหมครับว่ามี feature นี้ เวลาคุณพัฒนา software ไม่คิดจะประกาศ feature ใหม่เลยหรือครับ?
ประเด็นคือการเก็บรักษาความเป็นส่วนตัวครับ เราเชื่อถือได้ว่าเขาจะรักษาความลับของเรา
ผมยกตัวอย่างเล็กๆของผมให้ฟังนะครับ database production ของบริษัทที่ผมทำงานให้ที่นึง
มีกฎเข้มงวดมากๆว่าใครจะ access ต้องใบคำขอ มีลายเซ็นของหลายระดับทีเดียว
และทุกๆสิ้นเดือนเขาจะตรวจสอบ log การ access หากพบว่ามีการ access โดยไม่ได้ส่งเอกสาร โดนเรียกคุยครับ
ผมเชื่อว่า facebook ต้องมีระบบคล้ายๆกันเหมือนกัน
นั่นคือเราเชื่อได้ว่าเขาจะไม่นำข้อมูลใดๆของเราไปใช้ในทางมิชอบ หรือไม่มีแม้แต่กระทั่งแอบเข้าไปดู เพราะทุกข้อมูลที่เขาจะดูเขาต้องเขียนประกาศบอกเราล่วงหน้าครับ ซึ่งหากเขายังรักษาไว้ให้เราได้ มันก็ยังเป็นส่วนตัวครับ
ไม่งั้นก็เป็นแบบเรื่องเงินเดือนที่ผมเคยบอกไว้ด้านล่าง หากคุณคิดว่าการที่ hr รู้เงินเดือนคุณมันหมายถึงไม่มีความเป็นส่วนตัว งั้นหาก hr เอาข้อมูลไปบอกคนอื่นคุณก็คงทำได้แค่ถอนหายใจแล้วบอกว่า เฮ้อ มันไม่ใช่ข้อมูลส่วนตัวนิ ช่วยไม่ได้
หรือถ้าสนามหญ้าหลังบ้านคุณมีคนเอาโต๊ะมานั่งกินเหล้ากัน คุณก็จะถอนหายใจแล้วบอกว่า เฮ้อเขาสามารถบุกรุกเข้ามาได้ ดังนั้นมันก็ไม่ใช่บริเวณส่วนตัวของเราอีกแล้ว แล้วเดินเข้าบ้านไป รึเปล่าครับ?
ถึงอย่างน้อย ข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานของเราทั้งหมด ก็ถูกนำไปวิเคราะห์เพื่อนำเสนอโฆษณาล่ะครับ
ขอบคุณครับ
รับทำเว็บไซต์ ออกแบบเว็บไซต์
สิ่งนั้นถูกเขียนไว้ให้อ่านก่อนจะสมัครอยู่แล้วครับ ทุกคนต้องยอมรับ อีกอย่างข้อมูลที่เขาดึงไปเขาก็บอกวัตถุประสงค์ชัดเจน และไม่ได้เอาข้อมูลคุณไปแผ่หลาหน้าเวบทั้งดุ้น ส่วนมากก็เอาไปเก็บสถิติไม่ใช่หรือครับ ข้อมูลมันโดนย่อยจนไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว
แต่การดักเอาข้อมูลจากรัฐ เป็นสิ่งที่คุณยินยอมหรือครับ? หรือเขาเขียนข้อตกลงไว้ว่าข้อมูลคุณจะถูกตรวจสอบจากรัฐเมื่อไรก็ได้? หากข้อมูลคุณรั่วไหลไปจากทางนั้น ใครรับผิดชอบครับ? นี่คือสิ่งที่เขาตระหนักและต้องการป้องกันนะครับ เพราะแบบนี้ผู้ใช้ถึงไว้วางใจที่จะใช้งานระบบของเขาไม่ใช่เหรอ
ผมก็อยากเห็นเหมือนกันว่า social network ที่ไม่มีความสามารถในการเก็บรักษาข้อมูลผู้ใช้ได้ มันจะมีคนนิยมได้ยังไง
นั่นคือจุดขายของ facebook ก็เป็นเรื่องที่ดี
ขอขอบคุณที่เข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันครับ ^^
รับทำเว็บไซต์ ออกแบบเว็บไซต์
คนทั่วไปไม่ได้ทำอะไรผิดอยู่แล้วครับ
แต่มันคนละเรื่องกับที่ต้องมีใครก็ไม่รู้มาดูข้อมูลส่วนตัวของเรา
แล้วเราจะไว้ใจคนๆนั้นได้มากแค่ไหน ว่าจะไม่เอาข้อมูลเราไปเผยแพร่ หรือไปใช้ในทางที่ไม่ดี
ไม่เข้าใจความเป็นส่วนตัวนะ
ถ้าคุณเปิดประตูไปชนรถเบนซ์ป้าที่มีสามีทำงานกับภาครัฐด้านนั้น ๆ พอดี ภัยอาจจะถึงตัวคุณเร็วขึ้นได้นะครับ ที่สำคัญข้าราชการไทยส่วนใหญ่จ้างลูกจ้างชั่วคราวทำงานแทน ถ้าทุกคนไม่ให้ความสำคัญเรื่องความเป็นส่วนตัว งานพวกนี้ก็จะตกไปอยู่ในงานที่ไม่สำคัญให้ลูกจ้างชั่วคราวทำแทน ตอนนั้นอะไรอะไรมันก็อาจจะออกมาให้คนทั้งโลกเห็นหมดแล้ว หรืออาจถูกเอาไปใช้ประโยชน์ในด้านไม่ดี แล้วเราเป็นฝ่ายที่ต้องมาปวดหัวหาข้อแก้ต่างในสิ่งที่เราไม่ได้ทำนะครับ
นี่อยากจะมอบทุกอย่างให้รัฐเลยหรือครับ โอวก๊อดด เอา Single Gateway ตั้งหน้าบ้านด้วยไหมครับ
ผมเป็นคนแรกๆ ที่ลงชื่อประท้วงเลยครับ
รับทำเว็บไซต์ ออกแบบเว็บไซต์
การนำบทความของที่อื่นไปใส่ใน blog ของตนเอง แล้วทำ seo ยิง link เข้า blog ตัวเอง แต่แปะเครดิตไว้แค่ text ธรรมดา ไม่ได้ทำ backlink กลับไปที่เว็บต้นทาง แบบนี้เสียมารยาทมั้ยครับ
โดยส่วนตัวผมเข้าใจว่าเสียมารยาท เพราะในโลกอินเตอร์เน็ทไม่ได้ต้องการแค่เครดิต แต่การไม่ทำ backlink คือการตัดตวงผลประโยชน์โดยที่เจ้าของบทความจะไม่ได้อะไรเลย คนอ่านก็คงไม่ได้สนใจชื่อเครดิต เสริ์ชเอนจิ้นเองก็ไม่ได้รับรู้การมีอยู่ของ link ด้วย
รบกวนขอความเห็นจากหลายๆ ท่านหน่อยครับ
เอาแค่เรื่อง SMS โฆษณา กับ โทรขายประกันคุณ เฉยๆ ป่ะ นั่นแหละเขาเอาข้อมูล (เกือบส่วนตัว) คุณไปหากิน
คิดว่า Facebook จะไม่ทำรึครับ
อย่างน้อย โฆษณาทั้งหมดที่คุณเห็น ก็มาจากการที่ facebook รู้ถึงข้อมูลการใช้งานของคุณอย่างละเอียด
รับทำเว็บไซต์ ออกแบบเว็บไซต์
เมื่อเราคิดจะใส่สิ่งที่คิดว่าเป็นส่วนตัวในโซเชียล เมื่อนั้นก็ไม่มีคำว่าส่วนตัวแล้วครับ ผมเชื่อแบบนั้นมาตลอด เพราะฉนันผมจึงนำเสนอสิ่งที่อยากจะนำเสนอบนโซเชียล และไม่มีการโพสสิ่งที่เป็นส่วนตัวจริงๆ ขึ้นมา
และเรื่องรัฐบาล ผมเห็นว่าในทุกประเทศล้วนมีการแสดงความไม่พอใจ และกล่าวถึงแง่ร้ายของรัฐบาลอยู่เสมอ ไม่ว่าจะด้านการเจาะข้อมูลส่วนตัว การกระทำเรื่องลับๆ ร้ายแรงระหว่างประเทศ สิ่งที่เห็นตามภาพยนตร์ต่างๆ สื่อต่างๆ เหล่านี้มีเยอะครับ โดยเฉพาะบทเพลงของ Metallica และ Guns N' Roses วงโปรดของผม ที่สื่อเกี่ยวกับการต่อต้านการกระทำของรัฐบาลอย่างเห็นได้ชัด สำหรับผม ผมก็มีวิธีต่อต้านสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควรในรูปแบบผม อย่างน้อยผมก็มั่นใจว่า ฝ่าย IT ของภาครัฐที่เห็นข้อความเชื้อเชิญของผม อาจจะกำลังอ่านข้อมูลใน Facebook ผมอยู่ก็เป็นได้
ผมต้องขอขอบคุณทุกๆ ท่านจริงๆ ที่ช่วยชี้แนะ ให้ผมเห็นว่า การแสดงความคิดเห็นของบุคคลที่มีความคิดเป็นของตนเอง มีความคิดต่างนั้น คือการถูกตราหน้าว่าเป็นคนแบบไหน เป็นพวกไหน โดยทันทีก่อนที่ท่านจะได้เคยทำความรู้จัก จนแทบจะไม่มีที่ให้ยืนเลยทีเดียว สำหรับผม ผมคิดว่าสิ่งที่น่ากลัว และเป็นปีศาจร้ายที่สุดจริงๆ แล้วนั้น อาจจะเป็น Facebook ครับ และนี่เป็นคอมเมนท์ ที่มีผู้เข้ามา Reply มากที่สุดเท่าที่ผมเคยมีใน Blognone เลยทีเดียวครับ ขอบคุณครับ
รับทำเว็บไซต์ ออกแบบเว็บไซต์
หากมันถูกตั้งค่าความเป็นส่วนตัวแล้ว มันก็ต้องเป็นส่วนตัวสิครับ ในสถานการณ์ปกติถ้าผมตั้งค่าไม่ให้คุณอ่าน facebook ของผมได้ คุณจะอ่านได้หรือครับ?
ผมตอบให้ครับ ผมตั้งค่าความเป็นส่วนตัวแล้ว คุณอ่านของผมไม่ได้ครับ แต่ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่ "หลุด" ออกไปครับ
เห็นออกเยอะกรณีแคปไปแปะแฉคนโน้นคนนี้ ฟ้องหมิ่นกันกระจายเลยครับ
นั่นจึงมีคนพูดบ่อย ๆ ว่ามันไม่ได้มีความเป็นส่วนตัวจริง ๆ หรอกในโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค ดังนั้นจะโพสต์อะไร ต่อให้ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวแล้ว ก็ยังต้องระวังอยู่ดี เราไม่รู้ว่าคนที่เราเปิดให้ดูนั้นจะหักหลัง หรือไม่ตั้งใจทำให้มันหลุดไปเมื่อไหร่
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
การหลุดไป มันก็เหมือนกับการโดนดักข้อมูลแหละครับ เราตั้งใจมั่นหมายว่ามันเป็นส่วนตัวแล้ว คนเอาไปปล่อยก็ต้องผิดใช่ไหมครับ
ไม่อย่างนั้นเท่ากับคุณกำลังบอกว่าข้อมูลเงินเดือนของคุณไม่ใช่ข้อมูลส่วนตัว เพราะ hr สามารถเห็นข้อมูลและเอาไปโพนทนากับคนอื่นได้ซิครับ
ในกรณีที่เราคุยกันไม่ใช่ว่ามันจะหลุดออกไปวิธีไหน แต่ความเป็นส่วนตัวมันกำหนดได้จริงครับยืนยัน แต่จะมีใครมารุกล้ำเราวิธีไหนแค่นั้นอง เพราะความเป็นส่วนตัวไม่ได้หมายถึงความแข็งแกร่งของการปกป้องข้อมูล แต่หมายถึงพื้นที่ๆเรากำหนดให้เป็นส่วนตัวครับ
หากเราไว้ใจเรื่องการใส่ข้อมูลที่มีความเป็นส่วนตัวลงใน Facebook แล้ว หากเกิดกรณีการดักข้อมูล นั่นคือปัญหาของ Facebook ที่ต้องแก้ไขครับ ในทุกประเทศไม่ใช่มีแค่รัฐบาล ยังมีหน่วยงาน หรือนักสืบอีกหลากหลายที่พยายามดักข้อมูลต่างๆ ซึ่งมีความจำเป็นอยู่แล้วที่ทาง Facebook จะต้องพัฒนาระบบป้องกันในส่วนนี้ครับ
Facebook เป็นผู้ให้บริการสังคมออนไลน์ ที่ผู้ใช้มีความไว้วางใจ มีระบบความเป็นส่วนตัว โพสสื่อสารในที่สาธรณะมีผู้ติดตามและเข้าชมการโพสรวมถึงคอมเมนท์ต่างๆ ได้อย่างกว้างขวาง และยังเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลส่วนตัวของประชากรแทบทั่วทั้งโลกที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบันนี้ ดังนั้น Facebook, Inc. นั่นเอง ที่มีความอันตรายที่สุดด้วยเช่นกัน
รับทำเว็บไซต์ ออกแบบเว็บไซต์
"หากเกิดกรณีการดักข้อมูล นั่นคือปัญหาของ Facebook ที่ต้องแก้ไขครับ"
เค้าทำแล้วครับ ถึงได้ประกาศแล้วออกมาเป็นข่าวนี้ครับ
สำหรับผม เริ่มจากรัฐบาลนี่แหละครับดีที่สุดละ เพราะผมไม่เคยไว้ใจรัฐบาลที่ยึดอำนาจมาเลย
ส่วนตัวผม ไม่เคยไว้ใจทุกรัฐบาลครับ เพราะที่ผ่านมา ไม่เคยมีรัฐบายยุคไหนทำเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนมากกว่าผลประโยชน์ของพวกพ้อง
รับทำเว็บไซต์ ออกแบบเว็บไซต์
อืม ก็จริงแฮะ ถ้ามองในมิตินั้นผมก็เห็นด้วยนะ แต่ที่ชอบพูดกันว่าโลกโซเชี่ยลไม่มีความเป็นส่วนตัว คงเป็นเพราะมันหลุดง่ายกว่ากันหลายเท่าล่ะมั้งครับ
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
ถ้าพูดถึงคนที่ใช้facebookเป็นเครื่องมือต่อสู้กับรัฐบาลที่ริดรอน สิทธิเสรีภาพ ของประชาชน
นับว่าเป็นข่าวดีอย่างยิ่งครับ