ศาลในนิวยอร์คมีคำสั่งให้ Apple ถอดรหัสข้อความ iMessage ใน iPhone ของผู้ต้องหาคดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดและปืน แต่ Apple ชี้แจงต่อศาลว่า บริษัทไม่สามารถถอดรหัสสมาร์ทโฟนกว่า 90% ที่รัน iOS 8 ขึ้นไปได้ เนื่องจากบริษัทใช้ระบบเข้ารหัสแบบ end-to-end ที่แม้แต่บริษัทเองก็ถอดรหัสไม่ได้
ขณะเดียวกัน ถึงแม้ Apple จะยังพอสามารถถอดรหัสข้อความใน iPhone อีก 10% ที่เหลือได้ (รวมถึงเครื่องที่ศาลร้องขอ) แต่ทนายของ Apple ได้แถลงต่อศาลว่า การบังคับให้บริษัทถอดรหัส เพื่อช่วยเหลือในคดีนี้ ทั้งๆ ที่บริษัทไม่มีอำนาจตามกฎหมาย จะส่งผลต่อความไว้วางใจของลูกค้าและสร้างความเสียหายต่อแบรนด์ Apple
ปัญหาเช่นนี้สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐมานาน โดยเฉพาะ FBI ที่โจมตีว่ากระบวนการเข้ารหัสแบบนี้ สร้างปัญหาให้การสืบสวนคดีต่างๆ อย่างมาก เพราะไม่ว่าเจ้าหน้าที่ด้านยุติธรรมจะมีอำนาจตามกฎหมายแค่ไหน ก้ไม่สามารถดึงข้อมูลที่อาจมีประโยชน์ต่อคดีออกมาจาก iPhone ได้
ทั้งนี้ ในช่วงกลางปีที่ผ่านมา Apple, Google และบริษัทไอทีอีกหลายบริษัท ร่วมกันเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ คัดค้านความพยายามของ FBI (และน่าจะ CIA ด้วย) ที่จะทำระบบประตูหลัง (back door) ให้หน่วยงานด้านความมั่นคง สามารถสอดส่องข้อมูลของผู้ใช้ได้ตามกฎหมาย (Tim Cook ก็เคยออกมาให้ความเห็นในประเด็นนี้ว่า บริษัทมองว่าความเป็นส่วนตัวคือสิทธิขั้นพื้นฐาน)
ที่มา - Reuters, The Guardian
Comments
Appple -> Apple
นิวยอร์ค => นิวยอร์ก
มีคำสั่ง Apple ถอดรหัส => มีคำสั่งให้ Apple ถอดรหัส
ก้ => ก็
นึกถึงกรณีกุญแจถูกก็อบ..
May the Force Close be with you. || @nuttyi
ชอบอะ "บริษัทมองว่าความเป็นส่วนตัวคือสิทธิขั้นพื้นฐาน"
เอ้ย นี่ศาลสั่งนะ ... ถ้าเป็นประเทศไทยไปย้อนศาลแบบนี้ จะเป็นไงบ้างนะ
ไม่มีกุญแจจ้า
เรียกหน่วย FBI Cyber แบบในหนัง CSI: Cyber เลย //ตื่นๆๆๆ
Mekokung's Story บล็อกส่วนตัวที่ย้ายไป Blogger แล้วนะ
ตอบแบบนี้ผมถึงรักทั้ง2ค่ายเลย
ข้าขอทรยศต่อคนทั้งโลก ดีกว่าให้ใครมาทรยศข้า
ชอบแนวคิด apple
หล่อเลย apple
แล้วถ้าวันไหน เกิดลูกหลานถูกคนร้ายล่อลวงหายไป แล้วจะขอให้ช่วยตามหา นี่คงหมดโอกาสโดยสิ้นเชิงเลยล่ะสิ เพราะความเป็นส่วนตัวสูง
จะมองว่าดี มันก็ดี แต่จะมองว่า คนไม่ดีเอาช่องทางนี้ไปใช้ประโยชน์แล้วไม่มีใครตามได้นี่ ปัญหาใหญ่เหมือนกันนะ
ถ้าจะมองแง่ลบมันก็คงต้องมองในแง่ที่ว่า ถ้าไม่ encrypted แล้วถ้าเกิดคนร้ายมุ่งเอาจุดอ่อนตรงนี้มาโจมเพื่อก่ออาชญากรรมล่ะแบบไหนมันจะก่อให้เกิดผลกระทบและความเสียหายมากกว่ากัน
ถ้ามองอีกแง่คือ หากแอบเปิดช่องโหว่ไว้ให้รัฐบาล แล้วมีผู้ไม่ประสงค์ดีเข้ามาดูได้ เขาสามารถติดตามได้แม้กระทั่งที่อยู่ของเรา ซึ่งนั่นก็เป็นอันตรายเหมือนกัน
ผมว่ามันก็ควรจะมียอมให้ทางพนง.สืบสวนของรัฐบ้างนะครับ ไม่ใช่ว่าเป็นส่วนตัวเต็มที่ให้มากที่สุด เพราะว่าลองนึกสภาพว่าถ้าแม้แต่เจ้าหน้าที่สืบสวนค้นบ้านผู้ต้องสงสัยไม่ได้เพราะละเมิดความเป็นส่วนตัวนี่ก็จบกัน
ถ้าพนักงานสืบสวนของรัฐมีช่องโหว่ทำได้ จะมั่นใจได้อย่างไรครับ ว่าคนอื่นทำไม่ได้
เราอยู่ในสังคมส่วนรวมมันต้องสมดุลย์ไม่สุดโต่งนะครับ ต้องการความเป็นส่วนตัวสูงสุดหรือเสรีภาพสูงสุดอะไรแบบนั้นมันไม่ได้หรอกครับ
มันไม่ได้สุดโต่งอะไรหรอกครับ เพียงแต่ว่ามันมีกรณีที่
ทำให้ภาคเอกชนหมดความเชื่อถือในตัวภาครัฐไปเรียบร้อย เพราะไม่ว่าทางไหนภาครัฐก็ทำเสียเรื่องได้หมด
ผมเข้าใจเรืีองกรณีลูกหลานนะ แต่มันจะน่ากลัวกว่า ถ้ามีมีคนเข้าถึงข้อมูลได้ (อาจจะด้วยกุญแจที่หลุดออกมา) และใช้มันในการก่ออาชญากรรม
ดังนั้นพยายามทำให้ยากเข้าไว้ดีกว่า
แล้วสมดุลที่ว่าใครเป็นคนกำหนดว่าแค่ไหนเรียกว่าสมดุลครับ ??
มองแต่ best case แล้วไม่มองที่ worst case มันจะตอบโจทย์ให้กับสังคมได้แค่ไหน
ถ้าให้เลือกระหว่าง
มี best case และมี worst case
ไม่มี best case และไม่มี worst case
ทางเลือกแบบมี best case แต่ไม่มี worst case มันไม่มีสำหรับกรณีนี้ เพราะถ้าคุณให้รัฐหรือผู้มีอำนาจที่ไหนสามารถตรวจสอบบันทึกการสนทนาย้อนหลังได้อย่างอิสระ ข้อมูลเรื่องอื่นคุณต้องหลุดไปด้วยกับการตรวจสอบนั้น ๆ ด้วยอยู่แล้ว เนื่องจากเวลาตรวจสอบก็ต้องอ่านข้อมูลทั้งหมดก่อนเพื่อหาข้อมูลบางชุดที่สนใจ นั่นแปลว่าอย่างน้อยมีคนหนึ่งกลุ่มที่ได้อ่านข้อมูลที่คุณไม่พึงประสงค์จะให้เขาได้อ่าน และไม่มีอะไรการันตีว่าข้อมูลที่เขาได้รับรู้นั้นเขาจะไม่นำไปบอกต่อให้กับคนอื่น
อนึ่งคำว่า "สูงสุด" ของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันอีก คุณมองว่าเรื่องนี้ให้เสรีภาพสูงสุด (?) แต่ Tim Cook บอกว่าเสรีภาพเรื่องนี้เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน แล้วตกลงความคิดใครถูก ??
That is the way things are.
ผมจะยกตัวอย่างกรณีหมอกับคนไข้นะครับ คนไข้ต้องเล่าเรื่องส่วนตัวให้หมอฟังมีกรณีเรื่องน่าอายเช่นเกี่ยวกับการตรวจภายในอะไรพวกนี้ด้วย ถ้าเราตั้งแง่ว่าต้องเล่าเรื่องส่วนตัวให้คนอื่นฟังหรือกลัวหมอเอาเรื่องส่วนตัวเราไปป่าวประกาศก็คงจบกัน
ซึ่งพวกนี้มันก็คือเรื่องจรรยาบรรณในวิชาชีพในอาชีพต่าง ๆ น่ะแหละครับ ถ้าเราตั้งแง่กันต่อไปอะไรล่ะ ไม่เชื่อใจรัฐตั้งกองกำลังของตัวเอง แยกมาอยู่อิสระ ต่างคนต่างอยู่ก็กลายเป็นโลกยุคไม่มีรัฐไม่มีกฎหมายกันไป
อันนั้นคือคนไข้ตัดสินใจบอกหมอเท่าที่จำเป็นนะครับ ไม่ใช่ให้หมอใช้เครื่องมือพิเศษอ่านความทรงจำคนไข้ทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ อีกอย่างคือการตัดสินใจว่าจะบอกหรือไม่บอกอยู่ที่คนไข้ไม่ใช่หมอ
ยกตัวอย่างเช่น คนไข้อยากไปตรวจ HIV หมอก็จะถามว่าไปเสี่ยงอะไรที่ไหนมา คนไข้ก็บอกไป แต่ก็คงไม่ถึงขั้นที่ว่าคนไข้ต้องบอกหมอไปทั้งหมดว่าไปเสี่ยงกับใคร ชื่อนามสกุลอะไร ทำกันท่าไหน กี่รอบ ถูกไหมครับ ?
ประชาชนมีสิทธิ์ที่จะเชื่อรัฐหรือไม่เชื่อรัฐก็ได้ มันคือสิทธิ์ของประชาขนครับ ไม่ใช่สิทธิ์ของรัฐที่จะมาใช้อำนาจนอกเหนือจากที่ประชาชนได้อนุญาตไว้
That is the way things are.
1.สมัยก่อนที่ไม่มี smartphone ตามหาคนถูกล่อลวงกันยังไงล่ะครับ การมีเทคโนโลยีมันทำให้สะดวกขึ้นก็จริงแต่การการเอาแต่ตั้งความหวังจะพึ่งพาเทคโนโลยีจนถึงขั้นต้องเตรียมช่องทางละเมิดสิทธิคนเป็นร้อยล้านนี่ผมว่ามันเกินไปครับ
2.แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรครับว่าคนที่ถูกอ่านข้อมูลเป็นคนล่อลวงไปจริง
การไล่เปิดอ่านข้อความของ ผู้ต้องสงสัย นี่มันละเมิดสิทธิส่วนบุคคลเอามาก ๆ เลยนะครับ
แล้วจะมั่นใจได้แค่ไหนว่าข้อมูลที่เปิดดูมีข้อมูลว่าล่อลวงไปไหน อยู่ตรงไหน ขอลองไล่เปิดอ่านให้หมดก่อน ถ้าไม่ใช่คนร้าย มีแต่เรื่องส่วนตัวหรือความลับทางธุรกิจก็ขออภัยด้วย แบบนี้เหรอครับ
3.ควรจะดูแลลูกหลานให้ดีครับอย่ามัวแต่จะรอล้อมคอก
ก็คงต้องหาจุดสมดุลแหละครับ แต่ไม่ใช่หมดโอกาสโดยสิ้นเชิงหรอก มีช่องทางอื่นให้สืบอีก ไม่ใช่ว่าต้องสืบจาก iMessage อย่างเดียว ก็เหมือนคนคุยกันสองคนด้วยวิธีอื่น ซึ่งก็ไม่มีคนอื่นรู้ว่าคุยอะไรเหมือนกัน
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
ผมยกตัวอย่างจากคลิปที่มีคนเขาเคยทำนะครับ ที่ไปแชทกับเด็กวัยรุ่น แล้วชวนออกมานอกบ้านบ้าง ชวนให้เปิดประตูเข้าไปหาบ้าง ในคลิปนั้นทำในสายตาพ่อแม่ แต่ถ้าเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นจริง แล้วไม่อยู่ในสายตาพ่อกับแม่ล่ะครับ เช่น เด็กไปแอบคุยกับใครก็ไม่รู้ แล้ววันนึงเด็กเกิดหายตัวไป แล้วเข้าไปดูบันทึกย้อนหลังอะไรไม่ได้เลย แล้วจะช่วยได้ยังไง ในอดีตเวลาเขาคุยก็คุยทางโทรศัพท์ เลยสามารถเช็คได้ว่าโทรหาใคร หาความเชื่อมโยงได้ เลยตามตัวได้ แต่ถ้าส่งข้อความมันไม่ได้หาง่ายเหมือนโทรนี่ครับ
ผมไม่ได้บอกว่าให้ภาครัฐเข้ามายุ่ง แต่อย่างน้อย ทางบริษัท น่าจะมีมาตรการอะไรสักอย่างที่เป็นการป้องกันภัยที่อาจจะเกิดขึ้น เช่นสายข่าวสืบมาแล้วว่า นายตนนี้มีแผนกำลังจะวางระเบิดในเมือง เขาสั่งงานกันโดยการส่งข้อความให้กัน พอขอความร่วมมือแล้วบอก ไม่รู้ทำไม่ได้ แล้วบังเอิญระเบิดนั้นอยู่ข้างบ้านคุณขึ้นมาล่ะครับ อะไรจะเกิดขึ้น
ผมมองว่าความเป็นส่วนตัวเป็นสิ่งที่ดีนะครับ แต่อย่างน้อย ถึงจะใช้เวลามาก แต่น่าจะมีกระบวนการย้อนกลับที่สามารถทำได้ อาจจะแค่ภายในบริษัทก็ยังถือว่าโอเคนะ ถ้ามีเหตุฉุกเฉินขึ้นมาสิ่งเหล่านี้อาจช่วยได้นะครับ
iMessage ไม่ใช่ SMS ครับ
สืบจากเบอร์ไม่ได้เหรอครับ ใครส่งหาใครเบอร์ไหนน่าสงสัยมากน้อยอะไรก็ว่ากันไป ส่วนเรื่องวางระเบิด คงไม่มีใครส่งข้อความออกไปตรงๆ บอกว่า "เฮ้ยคุณแพะครับ วันพรุ่งนี้เราจะไปวางระเบิดกันนะครับ สนใจจะไปวางด้วยกันไหม" หรอกมั้งครับ
ตกลงฮ่ะเฮียทิม ผมจะซื้อ iphone ปลอดภัยสูง
แต่รอบาทแข็งก่อนนะ ราคาตอนนี้ เทียบกับสิ่งที่ทำได้ผมว่า มันแพงไป
หนีไป จีนก่อน
ตอบแบบนี้ เครื่องต่อไปยังไงก็ iPhone
Tim Cook ก็เคยออกมาให้ความเห็นในประเด็นนี้ว่า บริษัทมองว่าความเป็นส่วนตัวคือสิทธิขั้นพื้นฐาน
โอเค ถ้าซื้อมือถือเครื่องใหม่เดี๋ยวจะช่วยเพิ่มยอดให้ครับ
พวกค้ายาเสพติด ค้าของเถื่อน ต้องใช้ระบบนี้ติดต่อกันแน่ๆ ปลอดภัยสูง
ผมว่าเรื่องพวกนี้ปล่อยวางกันบ้างเถอะครับ ไม่ว่าสิ่งใดก็ตามบนโลกใบนี้ มันก็สามารถเอาไปใช้ทั้งด้านดีและด้านลบได้ทั้งนั้น ไม่มีอะไรที่ขาวสะอาดผุดผ่องไปซะทุกอย่างบนโลกนี้ ถ้าเราจะมัวแต่ระแวงว่าคนจะเอาไปใช้ด้านลบ เลยทำโน่นห้ามนี่จนกระทบต่อคนทั่วไปที่เอามาใช้ด้านบวกด้วย โลกของเราก็ไม่ต้องไปไหนกันพอดี
ทุกอย่างมันมีผลกระทบทั้งนั้น อย่าลืมผลกระทบต่อคนทั่วไปด้วย ถ้าจะมีช่องทางให้ดักฟังคนค้ายาได้ ทำไมผู้มีอำนาจนั้นจะมาดักฟังคนทั่วไปไม่ได้ ซึ่งก็อาจเป็นการดักฟังที่ประสงค์ร้ายก็ได้
ถ้าจะป้องปรามการค้ายาเสพติด ค้าของเถื่อน มันมีช่องทางอื่นๆ ให้ได้การข่าวมา มากกว่าการมาคิดเล็กคิดน้อยกับการดักฟังในอุปกรณ์พวกนี้เยอะครับ อย่างตำรวจไทย เขาก็มีสายข่าว มีคนของเขาสอดแนม ไม่จำเป็นต้องดักฟังทางมือถือ เขาก็ยังจับคนร้ายได้เลย
ถ้ามีช่องทางสืบเพิ่มมันก็จับคนร้ายได้มากขึ้นไม่ใช่เหรอครับ เช่นทำคดีสำเร็จเพิ่มขึ้น 10% อะไรแบบนี้
ทำคดีสำเร็จเพิ่มขึ้น 10% แล้วความเสี่ยงของผู้ใช้คนอื่นๆ ที่จะได้รับผลกระทบหรือถูกโจมตีเพิ่มมากขึ้นและกลายเป็นการเพิ่มคดีให้ตำรวจนี่มีกี่ % ครับ
เรื่องความปลอดภัยนะครับ อาจจะทำเป็นแบบแอ็ปเปิ้ลเก็บ key ถอดรหัสออฟไลน์ไว้ในเซฟ ต้องมีคำสั่งศาลร้องขอจริง ๆ ถึงจะเปิดเอา key มาให้พนักงานสอบสวนได้ และให้เฉพาะ key ของผู้ต้องหาเท่านั้นอะไรแบบนี้ เหมือนประมาณตำรวจจะไปค้นบ้านผู้ต้องหาก็ต้องมีหมายศาล
แต่ถ้าตามข่าวนี้คือถึงแม้จะทำอย่างนั้นได้ apple ก็จะไม่ทำให้ ซึ่งถ้าแบบนี้ผมว่ามันก็เกินไปไงครับ
ผมก็ไม่รู้จะเทียบกับอะไรดี เอาเป็นว่าเทียบกับบ้านแล้วกัน ซื้อบ้านปกติคงไม่มีใครเอากุญแจไปฝากไว้กับตำรวจหรือว่าหน่วยงานใดๆ เพื่อเอาไว้ในกรณีที่จำเป็นจะได้ให้ตำรวจสามารถไปเบิกกุญแจเพื่อมาเปิดค้นบ้านเราได้ มุมมองตรงนี้ Apple คงมองแบบธนาคารสวิสที่มองเรื่องข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้มีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
ตอน key บินกลับก็โดนดักใด้ครับ ถ้ามีประตูลับก็มีคนเจาะใด้
หัวใจของกรณี NSA คือ NSA ตั้งศาลเพื่อ print หมายศาล ด้วยคำสั่งแบบขอทั้งหมด ทำให้ไม่มีเอกชนใดเชื่อใจอีกต่อไป แต่ก็ต้องยอมให้เพื่อปกป้องตนเอง เมื่อเรื่องแดงออกมากตหมายปรับไม่เอื่อ NSA อีกต่อไป เอกชนทุกเจ้าก็ต้องแสดงท่าทีปกป้องลูกค้าเพื่อรักษาลูกค้าไว้ก่อน
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
พวกค้ายาจะ post บน facebook ของตัวเองประมาณว่า "วันนี้อากาศดีจังจะไปหาที่สีลมตอน 5 โมง"
... ส่วนลูกน้องจะถอดความออกมาว่า "สั่งยาไอซ์ ที่"'str("สีลม")'" 500 เม็ด"
พวกค้ายาจะ post "ภาพก๋วยเตี้ยวเส้นเล็กมีลูกชิ้น 6 เม็ด" บน instagram
... ส่วนลูกน้องจะถอดความออกมาว่า "สั่งเฮโรอีน ที่"'str("เส้นเล็ก")'" 60 เม็ด"
พวกค้ายาจะ post "ภาพต้๋วแทงม้า 3 ใบ" พร้อมข้อความ โดนกินเรียบ บน blog แห่งหนึ่ง
... ส่วนลูกน้องจะถอดความออกมาว่า "สั่งยาม้า ที่"'str("โดนกินเรียบ")'" 3000 เม็ด"
พวกค้ายาจะโทร์ไปบอกว่า "วันนี้หนาวมาก ไม่ไปตามนัดนะ"
... ส่วนลูกน้องจะถอดความออกมาว่า "ตำรวจบอกว่าจะมีด่าน งดส่งยา"
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
เหมือนจะเคยมีข่าวอยู่นะครับ 555+
แต่ไม่ได้โพสตรงๆแบบนี้ โดนจับเพราะ check-in สถานที่