หลายปีผ่านมาแล้วที่ iPad เกิดมาเพื่อเปิดตลาดแท็บเล็ตอีกครั้ง ช่วงแรกอุปกรณ์ตระกูลนี้ทำได้เพียงเข้าเว็บ เล่นเกม ทำงานพื้นฐาน แต่หลังจากนั้นประสิทธิภาพของอุปกรณ์ตระกูลนี้ก็สูงขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถทำงานหนักได้ในระดับหนึ่ง ช่วงหลังจึงเห็นซอฟต์แวร์ที่ใช้สำหรับการจดโน้ตหรือเติมเต็มการทำงานมาลงบนแท็บเล็ตมากขึ้น
ปัจจุบัน แท็บเล็ตมีประสิทธิภาพสูงขึ้นมาก แต่ซอฟต์แวร์ที่จะทำงานสร้างสรรค์ได้ระดับต้นจนจบบนแท็บเล็ตยังน้อย เพราะแอพส่วนใหญ่ แม้กระทั่งแอพของ Adobe ก่อนหน้านี้ยังคงทำงานเป็นส่วนเติมเต็มเท่านั้น แต่ตอนนี้ Adobe กำลังบุกตลาดงานสร้างสรรค์บนแท็บเล็ตเต็มตัวด้วย Creative Cloud ซึ่งจะทำให้การทำงานระหว่างแอพบนอุปกรณ์พกพาและคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อกันเพื่อความสะดวกยิ่งขึ้น
iPad Pro เปิดตัวมาพร้อม Apple Pencil การที่ Adobe นำ Photoshop Mix, Photoshop Fix มาเปิดตัวพร้อม iPad Pro เป็นส่วนหนึ่งที่บ่งบอกว่า Adobe กำลังสนใจตลาดแท็บเล็ต
เทคโนโลยีการป้อนข้อมูลบนแท็บเล็ตในอดีตคือจิ้มจออย่างเดียว (แม้จะมีปากกา แต่จอก็ยังไม่สามารถแยกแรงกดได้) แต่ปัจจุบัน ปากกาบนแท็บเล็ตที่หลายเจ้าผลิตออกมา ทั้ง Apple Pencil, Surface Pen, Pencil by FiftyThree, Adonit ฯลฯ สามารถแยกแรงกดได้หลายระดับ ถือเป็นเทคโนโลยีด้านการป้อนข้อมูลแบบใหม่ ทำให้แท็บเล็ตมีความได้เปรียบคอมพิวเตอร์มากขึ้น และเป็นอุปกรณ์ที่พกพาไปทำงานได้ Adobe จึงมองเห็นว่าแท็บเล็ตมาแน่

Adobe ได้ให้คำนิยามของ Creative Cloud ไว้ว่าคือ “Desktop + Mobile + Services + Community + Assets” ซึ่ง Adobe จะไม่ใช่ผู้สร้างซอฟต์แวร์บนคอมพิวเตอร์อีกต่อไปแล้ว แต่จะผันตัวมาเป็นผู้ให้บริการเพื่องานสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นด้านซอฟต์แวร์ (แอพบน Desktop + Mobile), บริการซิงค์ (CreativeSync), บริการค้นหาสิ่งจำเป็นต่อการทำงานสร้างสรรค์ (Assets เช่น Adobe Stock), ชุมชน (Behance)
หากยังจำกันได้ เมื่อตอน Adobe เปิดตัว Creative Cloud พร้อมกับเหล่า Touch Apps เป็นจุดเริ่มต้นของการบุกตลาดงานสร้างสรรค์บนแท็บเล็ตอย่างจริงจังครั้งแรกของ Adobe เพราะแม้ว่า Adobe จะมีแอพบนแท็บเล็ตอยู่แล้ว แต่ยังไม่มีโซลูชั่นที่จะทำให้การทำงานร่วมกันระหว่างแอพในแท็บเล็ต หรือระหว่างแท็บเล็ตกับคอมพิวเตอร์อย่างราบรื่น
Creative Cloud เปลี่ยนแปลงการขายซอฟต์แวร์ Adobe จากขายขาด มาเป็นการให้เช่าใช้งานแทน เพราะ Adobe เห็นว่าการทำงานปัจจุบันไม่ได้จำกัดเฉพาะคอมพิวเตอร์อีกต่อไป ฉะนั้น Creative Cloud จึงไม่ใช่การเช่าใช้งานซอฟต์แวร์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการเช่าโซลูชั่นการทำงานจาก Adobe เพื่อให้งานสร้างสรรค์สามารถสร้างได้ทุกที่ที่มีไอเดีย
CreativeSync ถือเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญของการทำงานบนอุปกรณ์พกพา อย่างที่ทราบกันดีว่าอุปกรณ์พกพานั้นมีข้อจำกัดอยู่ ถ้าจะให้โหลดไฟล์ขนาดใหญ่มาลงเครื่อง กว่าจะรอดาวน์โหลดเสร็จอารมณ์ที่จะทำงานสร้างสรรค์ก็คงจะหมดไปแล้ว
วิธีที่ Adobe ใช้คือการส่งไฟล์เท่าที่จำเป็นให้อุปกรณ์ เช่น หากเปิด Lightroom บนอุปกรณ์พกพา CreativeSync จะส่งไฟล์โดยดูจากอุปกรณ์และแบนด์วิดท์ของอินเทอร์เน็ต (ลักษณะคล้ายการสตรีม) ซึ่งไฟล์ที่ส่งมาให้นี้แม้จะไม่ใช่ไฟล์ขนาดเต็มแต่ก็สามารถปรับแต่งได้ทุกอย่าง โดยการกระทำทุกอย่างจะถูกซิงค์เก็บไว้ใน CreativeSync พอไปเปิดคอมพิวเตอร์ ก็สามารถแก้ไฟล์ต่อจากอุปกรณ์พกพาหรือว่าจะส่งออกไฟล์เป็นขนาดเต็มเลยก็ได้
เมื่อเรามี Cloud มีอุปกรณ์ ก็ต้องมีแอพ สำหรับแอพบนอุปกรณ์พกพาของ Adobe จะเรียกว่า Touch Apps เริ่มจากแอพหลักในตอนแรกอย่าง Photoshop Touch ตามมาด้วย Lightroom, Illustrator Draw ฯลฯ ซึ่ง Adobe ก้ได้ปรับปรุงพัฒนาแอพมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการใส่ฟีเจอร์ใหม่ๆ เข้าไป หรือแยกแอพออกจากกัน ซึ่งตอนนี้ Adobe ได้แบ่ง Touch Apps เป็นหมวดใหญ่ๆ คือ
แนวคิดของ Touch Apps ในช่วงหลังของ Adobe เริ่มชัดเจนมากขึ้น คือเน้นการทำงานกับ Cloud เพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์ สังเกตได้จาก Adobe ไม่เก็บเงินจากการซื้อ Touch Apps บางแอพเปิดให้ใช้ฟรีด้วย แต่การซิงค์ไปมาต้องพึ่ง Creative Cloud ฉะนั้นผู้ที่ต้องการทำงานอย่างครบครัน ทั้งคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์พกพาก็จำเป็นต้องจ่ายเงินใช้ Creative Cloud
Touch Apps ของ Adobe จะมีการทำงานต่อเนื่องกัน โดยมี CreativeSync ทำงานเบื้องหลังเพื่อซิงค์ไฟล์ไปมาระหว่างแอพ (ในอนาคต Adobe จะเปิดให้แอพอื่นเข้าถึง CreativeSync ด้วย) เช่น กำลังแต่งภาพใน Lightroom แล้วส่งภาพไปรีทัชใน Photoshop Fix จากนั้นส่งไปแก้ต่อใน Photoshop Mix ทั้งหมดนี้สามารถทำได้ในไม่กี่คลิก
Touch Apps ที่น่าสนใจของ Adobe เช่น
แม้ว่า Adobe จะยังเดินหน้าพัฒนา Touch Apps ต่อไป แต่แอพบนคอมพิวเตอร์ก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับงานสร้างสรรค์ เพราะงานบางอย่างต้องการประสิทธิภาพบนคอมพิวเตอร์ที่ยังแทนด้วยแท็บเล็ตไม่ได้ในเวลานี้
เดิมแอพของ Adobe บนคอมพิวเตอร์จะเน้นงานที่สร้างและจบบนเครื่องเดียว แต่ตอนนี้ Adobe จะผลักดันให้นำอุปกรณ์พกพาเข้ามาช่วยเพื่อทำให้งานสร้างสรรค์มีความหลากหลายกว่าเดิม โดยมี CreativeSync เป็นตัวกลางเพื่อประสานงานเข้าด้วยกัน
โซลูชั่นในการทำงานของ Adobe ไม่ใช่แค่ซอฟต์แวร์หรือการซิงค์ไปมาเท่านั้น แต่ Adobe ได้เปิดขาย Assets ที่จำเป็นต่องานสร้างสรรค์ เช่น ภาพ stock ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดไฟล์ภาพพรีวิวแบบติดลายน้ำมาทดสอบวางลงในแอพก่อน เมื่อโอเคแล้วก็สามารถกดซื้อเพื่อให้ได้ภาพขนาดเต็มมาวางแทนที่ได้ทันที ซึ่งการที่ Adobe มาเปิด stock เองจะสะดวกกว่าที่ผู้ใช้จะต้องไปหาภาพตัวอย่างมาวางเอง และถ้าถูกใจก็ต้องไปหาอีกรอบเพื่อให้ได้ภาพขนาดเต็มมาวาง (ซึ่งก็ไม่รู้จะได้ภาพเดิมหรือเปล่า)

ด้วยความสามารถของ Creative Cloud ทำให้งานสร้างสรรค์ยุคใหม่ทำได้หลากหลายขึ้น ผู้สร้างสรรค์ผลงานไม่จำเป็นต้องจบงานทุกอย่างบนคอมพิวเตอร์เหมือนเดิมอีกต่อไป งานสามารถเอาออกไปทำได้ทุกที่ เห็นไอเดียอะไรเจ๋งๆ ก็สามารถหยิบขึ้นมาวาดได้ เห็นภาพไหนสวยใน stock ก็หยิบมาวางก่อน แล้วจะไปทำต่อในคอมพิวเตอร์เพื่อเก็บรายละเอียดส่วนที่ยากขึ้นจะเป็นเรื่องง่าย เพราะทุกอย่างเชื่อมต่อกันเพียงกดไม่กี่คลิก
แท็บเล็ตปัจจุบันถือว่ามาไกลกว่า 5 ปีที่แล้วมาก ทั้งประสิทธิภาพ วิธีป้อนข้อมูล ทำให้ Adobe มองเห็นภาพการทำงานในยุคปัจจุบันที่ไม่ได้จำกัดอยู่บนคอมพิวเตอร์ โดยความหลากหลายของอุปกรณ์จะทำให้งานสร้างสรรค์หลากหลายขึ้น และ Adobe จะเป็นผู้เชื่อมต่ออุปกรณ์เหล่านั้นเข้าด้วยกัน รวมถึงมีบริการที่ช่วยให้การทำงานสร้างสรรค์เป็นไปได้ง่ายขึ้น
ซึ่ง Adobe ก็พร้อมแล้วกับการบุกตลาดแท็บเล็ตเพื่อการทำงานสร้างสรรค์ ด้วย CreativeSync จะทำให้การโยกย้ายข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ทำได้ง่ายขึ้น การหา Asset สำหรับการทำงานก็ง่ายขึ้น ข้อจำกัดในการเชื่อมต่อจึงน้อยลง และทำให้งานสร้างสรรค์ยุคใหม่เกิดขึ้นได้ทุกที่ที่มีไอเดีย
ขอบคุณข้อมูลจาก StudioDaily, Adobe
Comments
มาถูกทางแล้ว ชอบ adobe slate (ชื่อไทย สเลท) เล่นใน ipad สุดยอดมาก add รูปรัวๆ พิมมั่วๆ ก็สวยได้
S Pen ร้องไห้ทำไม
/me มอง Wacom โอ๋ ๆ Cintiq อย่าเพิ่งร้องไห้สิ
Edit หมายถึง Cintiq Companion Hybrid
ไปลอง Adobe Sketch + กับ Apple Pencil มา ฟิลลิ่งดีมากฮะ เหมือนกำลังใช้ดินสอ
แต่พอมาเล่น 53 รู้สึกยังรับแรงกดได้ไม่เต็มที่ยังไงก็ไม่รู้
มีความรู้สึกว่า 53 ไม่ใช่ปากการับแรงกดนะ เหมือนมันปรับขนาดเส้นตามความเร็วมากกว่า
รุ่นก่อนๆ เป็นแบบนั้นละฮะ แต่เห็นมีอยู่ใน iPad Pro ให้ทดสอบเลยคิดว่าพอ Pair แล้วจะปรับเป็นแบบรับแรงกดให้
โน๊ต => โน้ต
แยง => แยก
แบน => แบนด์
วิธ => วิดท์
สังเกตต => สังเกต
Adobe มาถูกทางอย่างแรง
ถ้าชื่อหัวข้อเป็น "บทวิเคราะห์ Adobe ยุคใหม่ สู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากคอมพิวเตอร์มายัง iOS" ก็คงไม่แปลกใจ
ไม่ได้ๆ
ผมก็คิดแบบนี้นะ บนความไม่อิงถึง platform อื่นเลย
อันนี้ Adobe เองก็โดนวิจารณ์เยอะน่ะครับว่าเอาใจ iOS แต่ไม่ค่อยเอาใจ Android
ใช้ไม่เป็น
หรือ Adobe กำลังทดสอบ Touch UI?
คนขี้ลืม | คนบ้าเกม | คนเหงาๆ