ปกติแล้ว Blognone ไม่ค่อยมีรีวิวเครื่องพิมพ์หรืออุปกรณ์แนวๆ นี้กันสักเท่าไร แต่เมื่อ HP ประเทศไทยส่งเครื่องพิมพ์แบบมัลติฟังก์ชัน HP Color LaserJet Pro MFP M477fnw มาให้ทดสอบ เราก็คิดว่าน่าสนใจดี (เปลี่ยนบรรยากาศกันหน่อย) จึงขอยืมเครื่องมารีวิวกันสักหน่อยครับ
HP Color LaserJet Pro MFP M477fnw เป็นเครื่องมัลติฟังก์ชันที่ทำงานได้ 4 อย่างในตัว ตามอย่างเครื่องมัลติฟังก์ชันทั่วไป นั่นคือ
ฟีเจอร์อื่นที่เพิ่มเข้ามาก็ตามอย่างเครื่องมัลติฟังก์ชันสมัยใหม่ ได้แก่ การเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi และหน้าจอสัมผัสขนาด 4.3"
M477fnw ถือเป็นมัลติฟังก์ชันรุ่นเล็กสุดในซีรีส์ M477 โดยฟีเจอร์ที่ขาดไปคือระบบการพิมพ์สองหน้าอัตโนมัติ (two-sided printing) ที่มีในรุ่นสูงกว่าคือ M477fdn และ M477fdw แต่ก็ถือว่าพอเพียงสำหรับงานพิมพ์ในสำนักงานทั่วไป ที่มักพิมพ์ลงกระดาษหน้าเดียวอยู่แล้ว (ถ้าต้องใช้จริงๆ ก็สามารถกลับหน้ากระดาษเองได้)
ตัวเครื่อง
เครื่องมือขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับเครื่องพิมพ์เลเซอร์ในปัจจุบัน วางแล้วเต็มโต๊ะ แต่ถ้าเทียบกับเครื่องมัลติฟังก์ชันที่ต้องมีส่วนของสแกนเนอร์อยู่ด้านบนแล้วก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมาก
การติดตั้งก็ไม่มีอะไรยาก แค่เสียบสาย แล้วตั้งค่า Wi-Fi จากหน้าจอ LCD ที่ติดมากับเครื่องได้เลย เมื่อเครื่องต่อ Wi-Fi ได้แล้ว เราก็ดาวน์โหลดไดรเวอร์และซอฟต์แวร์จากเว็บไซต์ของ HP มาติดตั้ง เท่านั้นก็เรียบร้อยแล้ว ใช้งานได้ทันที (มีปัญหานิดนึงตรงเครื่องตัวที่ได้มาทดสอบ เข้าใจว่าส่งมาจากมาเลเซียหรือสิงคโปร์ เลยมากับปลั๊ก Type G ทำให้ต้องหาปลั๊กแปลง แต่รุ่นที่ขายจริงในไทยคงไม่มีปัญหานี้)
หน้าจอ LCD
ถือเป็นตัวช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้เครื่องมัลติฟังก์ชัน โดยไม่ต้องสั่งงานผ่านคอมพิวเตอร์ได้ดีมาก เราสามารถสแกนเอกสารเข้า network drive ที่เมาทน์ไว้แล้ว, สแกนแล้วส่งอีเมล, พิมพ์เอกสารจากไดรฟ์ USB ได้โดยไม่ต้องผ่านคอมพิวเตอร์เลย
ฟีเจอร์อย่างอื่นยังมีการใช้งานร่วมกับแอพมือถือ รวมถึงรองรับโพรโทคอลการพิมพ์จากระยะไกล เช่น HP ePrint, Apple AirPrint, Google Cloud Print ได้ด้วย (พวกนี้ไม่ได้ลองนะครับ)
การพิมพ์เอกสาร
ตามสเปกของ HP ระบุว่ารองรับการพิมพ์ได้ 50,000 แผ่นต่อเดือน น่าจะเหลือเฟือสำหรับองค์กรที่ต้องพิมพ์เยอะๆ ตัวหมึกใช้โทนเนอร์รุ่น HP 410A หรือ HP410X (พิมพ์ได้สูงสุดประมาณ 6,500 แผ่น)
เท่าที่ลองพิมพ์เอกสารใช้ดูก็ออกมาคมชัดดี ในแง่คุณภาพการพิมพ์ไม่มีปัญหาอะไรครับ แต่พบบั๊กว่าเวลากระดาษในถาดเหลือประมาณ 4-5 แผ่น เครื่องจะดูดกระดาษที่เหลือไปทั้งหมดจนกระดาษติดครับ (คิดว่าน่าจะแก้ไขได้ผ่านเฟิร์มแวร์)
การสแกนเอกสาร
ซอฟต์แวร์ที่มีให้คือ HP Scan ซึ่งหน้าตาสะอาดสะอ้าน ใช้ง่าย (ผมว่าง่ายกว่าซอฟต์แวร์สแกนของ Samsung ที่ผมใช้อยู่) สิ่งที่ประทับใจคือเสียงเงียบมากตอนสแกน จนแทบไม่รู้สึกว่าสแกนเสร็จแล้ว
ตัวสแกนเนอร์ยังรองรับทั้งการวางกระดาษราบแบบ flatbed และตัวดูดกระดาษอัตโนมัติ (automatic document feeder หรือ ADF) ถือว่าครบถ้วนสำหรับองค์กรที่ต้องสแกนเอกสารเยอะๆ ครับ
ตัวอย่างไฟล์สแกน จากหน้า test page ของ HP เอง (สั่งพิมพ์แล้วเอามาสแกนอีกรอบ)
ความสามารถอื่นๆ
สรุป
HP Color LaserJet Pro MFP M477fnw ถือเป็นเครื่องมัลติฟังก์ชันรุ่นกลางๆ สำหรับสำนักงานที่เริ่มต้องทำงานเอกสารเยอะๆ มีฟีเจอร์ขั้นสูงแทบทุกอย่าง (ยกเว้นกลับหน้ากระดาษอัตโนมัติ) อีกทั้งเป็นการพิมพ์แบบเลเซอร์สี น่าจะครอบคลุมงานเอกสารทุกรูปแบบแล้ว ส่วนเรื่องบั๊กการดูดกระดาษ อันนี้คงต้องถามไปยัง HP ว่าในรุ่นขายจริงแก้ไขไปอย่างไรบ้าง
ผมหาราคาขายในไทยบน HP Store Thailand ไม่เจอ แต่ราคาในสหรัฐขายตัวละ 529.99 ดอลลาร์ ยังไม่รวมภาษีครับ
Comments
ทำงานกับหน่วยงานรัฐยังต้องส่งแฟ็กซ์ครับ
ผม: ฮัลโหล คือผมจะส่งข้อมูลไปให้ สะดวกทางไหนครับ?
จนท.: แฟ็กซ์ค่ะ หมายเลขนะคะ xxxxxxxx
ส่งไปเสร็จ โทรไปใหม่
ผม: ได้รับเอกสารหรือยังครับ
จนท.: ได้รับแล้วค่ะ 3 หน้าใช่มั้ยคะ?
ผม: เอ่อ มี 5 หน้านะครับ
จนท.: งั้นรบกวนส่งมาใหม่นะคะ
หลังจากนั้นวนลูปเดิม รอบสองไป 4 หน้า รอบสามครบ 5 หน้า แต่จนท.บอกว่าบางหน้าไม่ชัด อ่านไม่ออก ส่งไปรอบสี่รอบห้า
-*- นี่ยังไม่นับว่าบางหน่วยงานเวลาส่งแฟ็กซ์ไป จะมีคนรับสายก่อน แล้วต้องบอกว่าขอสัญญาณแฟ็กซ์อีกนะ และบางหน่วยงานก็ไม่บอกเบอร์ภายใน เวลาจะโทรเช็คว่าส่งไปถึง/ครบรึยัง ต่อสายกันสามตลบ กว่าจะส่งได้แต่ละที่ TT^TT ใช้อีเมล์เถอะพ่อคู้ณณณณณณณณณ
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
ฝั่งนั้นยังใช้เครื่องรุ่นโบราณอยู่รึเปล่าครับเนี่ย
แบบที่รับสดพิมพ์สด ไม่ลง buffer ก่อน ถ้าสัญญาณดรอปไปสักช่วงนี่คือพิมพ์ออกมาเละทันที
ไม่ทราบได้ครับ แต่มีปัจจัยหลายอย่างอยู่นะครับ เช่นหมึกจะหมด กระดาษห่วย และชนิดของแฟกซ์ (แบบร้อน แบบใช้หมึก)
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
แฟ๊กซ์ HP ชัดอยู่ครับ อันนี้ใช้อยู่
สอบถามครับ รุ่นนี้ flatbed ยังแสกนแล้วเยื้อ หรือมีแสกนตกขอบไหมครับ? ผมใช้รุ่น Laserjet Pro color 400 แสกนตกแบบเรียกช่างมาแล้ว ช่างบอกเป็นเหมือนกันทุกตัว... เลยไม่แน่ใจว่า HP แก้ในรุ่นนี้หรือยังครับ?
เปิดมาดีใจเเลยครับ มีรีวิวปริ้นเตอร์บ้าง เพราะหาอ่านรีวิวปริ้นเตอร์ก่อนซื้อหายากมาก
อยากจะรบกวนรีวิวพวก function fax to email หรือmail to fqx ด้วย ไม่ทราบรุ่นนี้มีไหมครับ
ตอนนี้ใช้บราเทอร์อยู่ ตอนซื้อเซลล์บอกว่ามีfax to email หรือ email to fax พอเอามาตั้งค่าจริงๆต้องใช้ coperate email อย่างเดียว sme อย่างผมจะไปหามาจากไหน
พูดถึงเรื่องแฟกซ์ ลูกค้าผมบางคนจะส่งใบเสนอราคายังต้องส่งแฟกซ์ไป multifunction ส่งไปเครื่องแฟกซ์รุ่นเก่าๆ บางทีส่งได้บ้างไม่ได้บ้างก็มี บางคนบอกให้ส่ง จดหมายไปยังมี >⊙<
คืนเครื่องไปแล้วครับ ลองดูในคู่มือ PDF บนเว็บน่าจะมีบอกไว้ครับ
ในไย => ในไทย
ไหนๆก็มีท็อปปิคนี้ ใครหาปริ้นเตอร์อยู่ระวัง HP Officejet Pro 6830 นะครับ ที่บ้านใช้อยู่ printhead พังสองครั้งในหนึ่งปี รอบแรกใช้มาประมาณ 9-10 เดือนแล้วพัง ได้เคลมเครื่องใหม่ ใช้ไปแค่เดือนสองเดือน พิมพ์ไปยังไม่ถึง 100 หน้า พังอีกแล้วครับ แต่ประกันใกล้หมดเค้าบอกเบิกเครื่องใหม่ไม่ทัน เลยให้ช่างเข้ามาเปลี่ยนอะไหล่ที่เสียอย่างเดียว
ลองค้นในเน็ตเป็นกันเพียบ แต่อย่างอื่นดีหมด
Pitawat's Blog :: บล็อกผมเองครับ
แปลกใจว่า ในยุคปี 1990 เครื่ิองพิมพ์เลเซอร์ในโรงพิมพ์สามารถพิมพ์ได้ถึง 4800Dpi แต่มีขนาดเท่าตู้เย็น เกือบ 30 ปีผ่านไป ขนาดเล็กลงมากพร้อมๆ กับความคมชัดที่วนเวียนที่ 1200Dpi ทำไมมันไม่คมชัดขึ้นเลย (ส่วน inkjet ไปไกลแล้ว)
1200dpi เหมาะสมกับการพิมพ์งานในบ้านหรือสำนักงานทั่วไปแล้วครับ (ถ้าแค่ตัวอักษรนี่ 600dpi ยังโอเคเลย)
ราคาเครื่อง ราคาหมึก จะได้ไม่แพงมาก
ยิ่งละเอียดมาก ราคาเครื่องหรือหมึกก็แพงขึ้นไปอีก
จริงๆแค่ 600 dpi ก็เหลือแหล่แล้วนะครับ
ปรินท์มา blind test ผมคิดว่าน้อยคนที่จะแยกออกระหว่าง 600 dpi กับ > 600 dpi
ส่วน inkjet นั้นคงเพราะคุณสมบัติที่เป็นหมึกน้ำ มีการซึมในกระดาษแน่ๆ ทำให้ที่ dpi เท่ากัน inkjet จะคมชัดน้อยกว่า ฝั่ง รnkjet เลยต้องเน้นการเพิ่ม dpi เพื่อให้ความละเอียดออกมาใกล้เคียง laser
ผมเขียนเป็นข้อสังเกตุเท่านั้นแหละครับ เพราะถึงแม้จะเอาจริงๆ มีเงินเป็นล้านก็ไม่มีครับ 4800Dpi ต้องหลายสิบล้านระดับ digital offset โน่น
ส่วนเรื่อง 600Dpi ก็ใช้ได้ อันนี้ขอเห็นต่างครับ คือ ถ้าใช้คำว่าใช้ได้วงการไอทีมันมีหลายอันที่เกินคำว่าใช้ได้ไปนานแล้ว ไม่ว่าความคมชัดหน้าจอ ความคมชัดกล้อง dslr คือ มันควรมีการพัฒนาพร้อมกับต้นทุนที่ต่ำลง ... ยกเว้นมันมีอะไรซักอย่างถึงทำให้ไม่เป็นอย่างนั้น
ในไย => ในไทย