ให้หลังการเปิดให้บริการทั่วโลก 130 ประเทศของ Netflix ก็เริ่มมีความเปลี่ยนแปลงที่กระทบกับผู้ชมออกมาจนได้ โดยในวันนี้ทาง Netflix ได้ประกาศว่าจะเพิ่มมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใช้เข้าถึงคอนเทนต์ที่อยู่นอกประเทศของตัวเองได้แล้ว
ก่อนหน้าที่ Netflix จะขยายบริการไปทั่วโลก คนที่อยากเข้าไปใช้งานต้องเล่นท่ายากอย่างการใช้ proxy หรือ VPN ไปยังประเทศที่ Netflix รองรับเสียก่อนจึงจะสามารถใช้งานได้ ให้หลังการเปิดให้บริการทั่วโลก การใช้งานเครื่องมือดังกล่าวแม้ยังคงมีประโยชน์กับผู้ใช้เนื่องจากช่วยปลดล็อกคอนเทนต์บางอย่างที่ยังไม่ฉายทั่วโลก หรือคอนเทนต์เฉพาะประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ซึ่งดูเหมือนว่าทาง Netflix จะไม่ค่อยพอใจกับวิธีนี้นักจนออกมาเป็นมาตรการในครั้งนี้
หลังประกาศนี้ออกมา ผู้ใช้ที่ใช้งานบริการดังกล่าวอยู่น่าจะไม่พอใจที่ต้องจ่ายค่าบริการเท่ากันแต่ได้ดูน้อยกว่า และให้ความเห็นว่ามาตรการนี้ควรออกมาหลังจากที่ Netflix เปิดให้ผู้ใช้ทั่วโลกเข้าถึงคอนเทนต์ได้อย่างเท่าเทียมเสียก่อน
ที่มา - TechCrunch
Comments
คนดูเขายอมจ่ายตังค์ แถมข้าม Proxy และ VPN เพื่อได้มาดู Series กับหนังที่ถูกต้องตามกฎหมายจากที่ที่พวกเขาไม่มีให้ดูในบ้านตนเอง Netflix ควรจะดีใจนะ ไม่ต้องทำอะไรก็ได้เงินเข้าบริษัทอยู่แล้ว มาทำแบบนี้ทำไม ปล่อยให้ดูได้ทั่วโลกก็หมดเรื่อง คิดง่ายๆ สิครับ
Get ready to work from now on.
น่าจะเป็นปัญหาลิขสิทธ์แต่ละประเทศแหละค่ะ
จีบกันใน blognone ผิดกฏไหมครับ นาน ผญหลุดมาคน ยินดีต้อนรับ
หืมมมมมมม
อุต๊ะ
น่าจะโดนกดดันจากเจ้าของคอนเทนท์มั้งครับ ถ้านั่งเงียบไม่ทำอะไรอาจโดนถอดทิ้ง
เรื่องล็อคโซนมันมีมานานแล้วครับ ก็คงอย่างที่ท่านอื่นว่าไว้มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์ ถ้าอย่างกรณีที่คุณว่ามา Netflix ก็เหมือนจะมีแต่ได้กับได้ แต่ทางผู้ผลิตคอนเทนต์คงไม่คิดแบบนั้นซึ่งก็คงเป็นไปตามเงื่อนไขที่วางเอาไว้ เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ Netflix ก็คงต้องออกมาแสดงท่าทีอะไรบางอย่างว่าไม่เห็นด้วย และที่สำคัญมันอยู่ใน Terms of Use ครับ
4.3. You may view a movie or TV show through the Netflix service primarily within the country in which you have established your account and only in geographic locations where we offer our service and have licensed such movie or TV show. The content that may be available to watch will vary by geographic location and will change from time to time. The number of devices on which you may simultaneously watch depends on your chosen subscription plan and is specified on the "Your Account" page.
สงสัยมานานแล้วเหมือนกันว่าทำไมต้องล๊อคประเทศด้วย ไม่ใช่แค่หนังน่ะ พวกแอพในสารพัดสโตร์อีกอันนึง อยากใช้แตไม่ได้ใช้
อันนี่ต้องถามNintendoฮะ ต้นตำรับแห่งการ lockzone =v=)
เรื่องลิขสิทธิ์ตามที่ Netflix ตกลงไว้กับเจ้าของคอนเทนท์น่ะครับ
เปล่าครับที่เคาต้องการคำตอบน่าจะเป็นคำถามที่ว่า เจ้าของคอรเทน เหตุใดจึงต้องล๊อคโซนในเมื่อขายได้ทั่วโลกย่อมกำไรมากกว่า
The Last Wizard Of Century.
เจ้าของ content น่าจะขายลิขสิทธิ์ให้ Netflix เป็น fixed cost แล้วให้ Netflix ไปบริหารช่องจำหน่าย content เอง ถ้าจำนวนคนสมัครมาก Netflix ก็ได้มาก แต่เจ้าของ content ก็ยังคงได้เท่าเดิม
เข้าใจว่า ถ้า Netflix ยอมจ่ายให้เจ้าของ content มากขึ้นโดยแลกกับเงื่อนไขที่ว่าสามารถนำ content ไปจำหน่ายได้โดยไม่จำกัดโซน ทางเจ้าของ content ก็คงยอม .. แต่ในความเป็นจริง Netflix คงไม่ยอมจ่ายเพิ่มในส่วนนี้แน่นอน (เพื่อเป็นการลดต้นทุน) แล้วเปิดช่องให้ผู้บริโภคหาทางดูแบบผิดข้อตกลงเอง (ผ่านช่องทางอื่นๆ เช่น VPN ตามที่เป็นข่าว)
ดูแล้วในเคสนี้ Netflix วิน-วินมาตลอด จนกระทั่งทางเจ้าของ content ต้องออกโรงบีบให้ Netflix จ่ายเพิ่มหรือไม่ก็ปิดข่องทางข้างต้นซะ
ถ้ามันดูได้ทุกประเทศ ก็ไม่มีลูกค้าที่เป็นพ่อค้าดิ
แล้วสมมติว่าเป็นในกรณีฟรีคอนเทนต์ล่ะครับ
เพราะผมอยากจะโหลดApp Rotten Tomatoes แต่โหลดไม่ได้เพราะมันบอกว่ายังไม่รองรับในประเทศของคุณ ทั้งๆที่เป็นAppฟรีแท้ๆ
edit - Rotten Tomatoesเมื่อก่อนโหลดไม่ได้ แต่ตอนนี้ได้แล้วแฮะ
ยกตัวอย่าง Flickr ก็ได้ครับ หรือแอปต่างๆ ที่ปล่อยโหลดไม่พร้อมกัน หรือง่ายๆ อย่าง Android อัพเดตที่เลือกที่จะปล่อยเป็นคนละรอบเป็นโซนๆ ไป ซึ่งจากมุมมองของผู้ใช้งานเราก็คงมองแค่ว่าทำไมไม่ปล่อยให้ใช้งานได้พร้อมๆ กันเลย ทำไมถึงกั๊กไว้แค่บางประเทศ ซึ่งมันก็คงมีเหตุผลและเงื่อนไขเบื้องหลังอยู่มากมายที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้
ก็จริงอย่างที่เขาพูดนะ จ่ายเท่ากันแต่ได้น้อยกว่ามันก็น่าน้อยใจอยู่
500 ล้านเสียงในประเทศที่มีคุณภาพ ดีกว่า 6500 ล้านเสียงในต่างประเทศที่ ...... ไม่ใช่ละ โทษครับ มึนๆ
เจ้าของลิขสิทคอนเท้นนอกเมกาไม่พอใจแน่นอน
เท่าที่สังเกตปกติ Netflix ก็ lock region แบบส่งๆ อยู่แล้วรอบนี้พอขยายพร้อมกันหลายประเทศคงโดนกดดันจากคนถือลิขสิทธิ์ของแต่ละประเทศให้คนสร้าง content กดดัน Netflix อีกที อาจจะอัพระดับขึ้นมาหน่อยแต่ก็คงส่งๆ เหมือนเดิม :X
ส่วนตัวเข้าใจว่าสิทธิ์ที่จ่ายไม่ใช่สิทธิ์ที่จะได้ดูของ US ได้ แต่ถ้าหาดูถูกลิขสิทธิ์แบบดูง่ายๆ+คุ้มค่าไม่ได้ก็ไม่จ่าย อยากได้เงินก็เอามาให้ดูละกัน ตอนนี้เหลือ subscription ครึ่งเดือนพอดี ถ้ามุดต่อไม่ได้ก็ยกเลิก
เห็นด้วยว่า Netflix คงไม่คิดจริงจังหรอก แต่ต้องแสดงท่าทีให้เคร่งๆ เอาใจเจ้าของลิขสิทธิ์นอกอเมริกา ไม่งั้นเดี๋ยวโดนฟ้องข้อหาปล่อยปะละเลย
เพราะเจ้าของคอนเทนมั่นใจมากว่าคอนเทนตัวเอง ดังแน่ จึงโก่งราคากับ Netflix แต่ Netflix เองก็ยังไม่ชัวร์ว่าคอนเทนนั้นจะบูมไปทั่วโลกมั้ยไม่กล้าเสี่ยงกับราคา จึงขอต่อราคาให้ต่ำลง เจ้าของคอนเทนก็เลยมีข้อแม้ ให้ดูได้เป็นบางโซน ถ้าวันนึงโดนกดดันจากผู้ชมมากๆ ก็ให้ Netflix มาเพิ่มราคาเพื่อเปิดโซนเอาเอง เรื่องทั้งหมดมันก็คือ การเดาของผมเอง
อยากดูหนังบางเรื่อง ในไทยก็ไม่มีให้ดู
บางเครื่องมีแค่ภาค 2 ส่วนภาค 1 ไม่มีในไทย เงี้ยะ
เศร้า
Boycott ครัช ไม่ให้ก็ไม่ใช้ เงินตูไม่ได้แดก = =
เพราะเจ้าของcontentขายสิทธ์ไปให้ตัวแทนในหลายๆประเทศครับ
หนัง/ซี่รี่ย์ 1 เรื่อง อาจจะมีผู้ซื้อสิทธ์ไปฉายไม่ซ้ำกันในแต่ละประเทศนะครับ
ยกตัวอย่าง House of cards ซี่รี่ย์ที่ผลิตเองโดยNetflix แต่ขายสิทธ์ไปให้บริษัทอื่นในการฉายในไทย
เพราะมีใน Iflix แต่กลับไม่มีในNetflix เห็นไหมครับ
เคยได้ยินมาประมาณนี้เช่นกันครับ
คนขี้ลืม | คนบ้าเกม | คนเหงาๆ
เข้าใจแล้วครับนึกถึงกล่องดูบอลเลยอยากบอลอังกฤษกล่องนึงบอลสเปนกล่องนึง สิ่งที่Netflix ทำก็ประมาณว่าได้ลิขสิทธิ์มาอันเดียวแต่มีบอลทุกลีคให้ดู
The Last Wizard Of Century.
เอาจริงๆ Lockzone มันมีมาตั้งแต่สมัย DVD แล้วเหมือนกันนะครับ