หนึ่งในกระแสที่มาแรงในปัจจุบันคือการทำให้โทรศัพท์สามารถชำระเงินได้ผ่านบริการต่างๆ เช่น Android Pay, Apple Pay, Samsung Pay แต่บริการเหล่านี้มักจะจำกัดไว้กับโทรศัพท์บางรุ่น ซึ่งมีความพยายามจากหลายๆ บริษัทที่จะแก้ไขปัญหานี้ หนึ่งในนั้นคือ Optus ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือของออสเตรเลียในเครือของ Singtel ที่มีบริการชำระเงินที่เรียกว่า Cash by Optus ที่ร่วมมือกับ Visa บริษัทด้านชำระเงินที่เข้ามาแก้ไขปัญหาลักษณะนี้
รีวิวนี้จะทดลองใช้บริการดังกล่าว โดยใช้โทรศัพท์ที่ไม่มีบริการ NFC ในการทดลองทำรายการ (ในรีวิวนี้ใช้ Oppo F1) เพื่อดูว่าแนวทางของ Optus และ Visa นั้นใช้ได้หรือไม่
หมายเหตุ ตอนนี้ Optus มีโปรโมชั่นเชิญชวนให้ผู้ใช้บริการของบริษัทมาใช้บริการนี้ ด้วยการมอบเงินให้ผู้ใช้แต่ละรายเพื่อทดลองใช้บริการนี้ 10 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 250 บาท) ซึ่งผมได้รับมาด้วย
รู้จักบริการเบื้องต้น
Cash by Optus เป็นบริการชำระเงินที่ Optus ร่วมมือกับ Visa พัฒนาขึ้นบนฐานของเทคโนโลยี Visa Paywave ซึ่งอยู่บน NFC อีกทีหนึ่ง และใช้ระบบของธนาคาร Heritage Bank เป็นระบบหลังบ้าน
ระบบชำระเงินของ Cash by Optus นั้นมีจุดแข็งอยู่ที่การที่ Optus ระบุว่าใช้ได้กับสมาร์ทโฟนเกือบทุกรุ่นที่มีอยู่ในตลาดที่ใช้ระบบปฏิบัติการ iOS หรือ Android (รองรับ iOS 8 ขึ้นไป ส่วน Android รองรับที่ 4.0 ขึ้นไป และต้องไม่ root เครื่อง) โดยไม่จำเป็นที่จะต้องมี NFC มาด้วย ซึ่งถือว่าครอบคลุมโทรศัพท์หลายรุ่นในตลาดอย่างกว้างขวาง โดยในกรณีของเครื่องที่รองรับ NFC ผู้ใช้งานสามารถขอซิมพิเศษที่ใช้งานกับมือถือของตนเองได้ (แบบเดียวกับ Rabbit Sim ของ AIS ที่จับมือกับ Rabbit Card ของ BTS) แต่ถ้าเครื่องไม่มี NFC สามารถขอสายรัดข้อมือหรือสติกเกอร์ที่มี NFC อยู่ เอามาใช้งานได้
การชำระเงินนั้นเพียงแค่ใช้โทรศัพท์ที่มี NFC พร้อมซิม หรือสติกเกอร์ หรือสายรัดข้อมือ (ผู้ใช้ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น) ในการชำระเงิน ด้วยการแตะที่เครื่องรับชำระเงิน (ลองดูวิดีโอด้านล่าง) ซึ่งมีข้อจำกัดอันหนึ่งที่สามารถใช้ชำระเงินได้แต่ละรายการ (transaction) ครั้งละไม่เกิน 100 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 2,500 บาท) เพราะไม่ต้องใช้รหัส PIN ในการทำรายการ ส่วนถ้าชำระผ่าน Virtual Card จะอยู่ที่ 250 ดอลลาร์ (ประมาณ 6,250 บาท) และสามารถมีเงินสะสมในบัญชีได้สูงสุดที่ 500 ดอลลาร์เท่านั้น
เริ่มต้นตั้งค่า
ผู้ใช้ที่ต้องการใช้งาน จะไม่สามารถลงทะเบียนผ่านหน้าเว็บไซต์ได้ แต่จะต้องไปดาวน์โหลดแอพมาติดตั้งและเริ่มต้นลงทะเบียนจากโทรศัพท์มือถือ ซึ่งจากจุดนั้นจะสามารถสั่งอุปกรณ์หรือซิมมาใช้งานได้ ก่อนที่จะผ่านไปยังการลงทะเบียนต่อไป โดยจะต้องมีที่อยู่ถาวรในออสเตรเลีย ถือว่ายุ่งยากกว่าที่คิด
รอประมาณ 3 วันทำการ Optus จะส่งอุปกรณ์ตามที่เราสั่งเอาไว้ ในที่นี้ผมสั่งสายรัดข้อมือสีแดงมา เมื่อเปิดออกมาจะพบอุปกรณ์สองส่วน ส่วนแรกเป็นการ์ดที่บรรจุ NFC ที่ด้านหลังมี QR Code ที่ต้องใช้ตอนลงทะเบียน และสายรัดข้อมือสีแดง
ผมพบว่าสายรัดข้อมือนั้นออกแบบคล้ายๆ กับสายรัดข้อมือของ Apple Watch ใส่แล้วก็ถือว่าพอดี ดูไม่น่าเกลียดอะไร แต่สายแบบนี้มีข้อเสียตรงที่ใส่ค่อนข้างยาก เพราะต้องเอาส่วนที่เหลือของสายรัดข้อมือใส่ลงไปในช่องที่เก็บด้านใน กว่าจะใส่ได้ก็กินเวลาไปหลายนาทีอยู่
ในขั้นตอนการลงทะเบียน ผู้ใช้งานต้องสแกน QR Code ของการ์ดหรือสติกเกอร์ เพื่อผูกเข้ากับบัญชีของตนเอง หลังจากนั้นก็จะต้องลงทะเบียนและรับทราบข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงตั้ง PIN (แอพเรียกว่า passcode) สำหรับการทำรายการบางอย่างด้วย
เมื่อลงทะเบียนแล้ว ก็จะได้หน้าจอแบบนี้ขึ้นมา เราสามารถทำรายการได้ทันทีครับ โดยสามารถชำระได้ทั้งแบบ Virtual card หรือใช้อุปกรณ์ในการชำระเงินครับ
ในแอพเราสามารถตั้งค่าเรื่องของการทำงานต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการกำหนดการโอนเงินจากบัญชีที่ผูกไว้ หรือการกำหนดเปิดปิดอุปกรณ์ไม่ให้ใช้งาน (ในกรณีทำหาย) รวมไปถึงแก้ไขข้อมูลอื่นๆ ด้วย
หมดเรื่องตัวแอพแล้ว ไปลองดูการใช้งานจริงครับ
การใช้งานจริง
ผมทดลองใช้งานจริงด้วยการออกไปซื้อขนมที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตแถวบ้าน โดยเมื่อถึงจังหวะที่ต้องจ่ายเงิน ก็นำเอาข้อมือที่มีสายรัดข้อมือ หงายขึ้นไปแตะกับบริเวณหน้าจอของเครื่องที่มีตัวอ่าน NFC ใช้เวลาไม่นานนักก็สามารถทำรายการได้สำเร็จ
เมื่อตรวจสอบกับแอพ ก็พบว่าเงินที่มาพร้อมกับตอนเปิดบริการตอนแรกนั้นก็ถูกหักไปทันที แต่ผู้ใช้จะไม่ได้รับการแจ้งเตือนแต่อย่างใดว่าเงินถูกตัดไปแล้ว ถือเป็นข้อด้อยอย่างหนึ่ง
สรุป
บริการอย่าง Cash by Optus นั้นถือว่าเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาของโทรศัพท์หลากหลายรุ่นในท้องตลาด โดยเฉพาะในรุ่นกลางค่อนล่างที่ไม่มี NFC ติดมาให้ด้วย (อย่างน้อยก็ในช่วงนี้ แต่ในระยะยาวผมเชื่อว่า NFC ย่อมจะเป็นมาตรฐานที่ติดมากับมือถือแทบจะทุกรุ่นไม่ว่าจะถูกหรือแพง) และถือเป็นแนวทางที่ดีที่ทำให้รูปแบบของการชำระเงินนั้นมีได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นผ่านสายรัดข้อมือหรือสติกเกอร์หลังเครื่อง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมค่อนข้างกังวลเป็นพิเศษ อยู่ที่หากมีผู้ไม่ประสงค์ดี สามารถนำเอาเครื่องมาลอบอ่านข้อมูลจาก NFC เหล่านี้ได้โดยง่าย ซึ่งไม่แน่ใจว่ามีกรณีเหล่านี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่ และมีแนวทางใดในการแก้ไขปัญหาหรือไม่
เมื่อย้อนกลับมาพิจารณาการชำระเงินผ่านโทรศัพท์ในประเทศไทยเอง ย่อมต้องบอกว่าเรายังเจอปัญหาข้อจำกัดอยู่มาก อย่างน้อยที่สุดในระดับที่มองเห็นได้อยู่ที่เครื่องอ่าน ซึ่งยังไม่รองรับเทคโนโลยีอย่าง NFC ในหลายๆ ที่ ส่วนในระดับข้อกำหนดและกฎหมายต่างๆ ย่อมเป็นปัญหาที่ยังทำให้การชำระเงินผ่านมือถือยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้
เราไม่รู้ว่าแนวทางแบบ Optus ที่ทำเช่นนี้จะได้ผลแค่ไหนในประเทศไทย แต่อย่างน้อยที่สุดก็ถือเป็นหนึ่งในแนวทางที่ทำให้ระบบการชำระเงินกระจายตัวและเข้าถึงได้ทุกระดับ โดยไม่ต้องเจอข้อจำกัดด้านฮารด์แวร์ครับ
Comments
ฮารด์แวร์ => ฮาร์ดแวร์
เหมือนกับว่ายังไงก็ต้องมี NFC อยู่ดี ถ้าเอาตัว NFC ใส่เคสก็น่าจะใช้ได้เหมือนกันหรือเปล่าครับ
oxygen2.me, panithi's blog
Device: ThinkPad T480s, iPad Pro, iPhone 11 Pro Max, Pixel 6
ตัวสายคาดนี่จริงๆ มันก็คือบัตรเครดิตย่อส่วนรึเปล่าครับ แล้วเพิ่มระบบออนไลน์เข้ามา