สำหรับผู้ที่อ่าน Blognone ประจำ คงเห็นว่าผมเขียนข่าวเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า Tesla เสมอ ซึ่งเกิดจากความชอบส่วนตัวและความชอบในตัว Elon Musk ซีอีโอของ Tesla Motors และตัวผู้เขียนเพิ่งเรียนจบ เลยได้โอกาสเดินทางไปเยอรมนีเพื่อท่องเที่ยวและเยี่ยมเยียนคนรู้จัก จึงเกิดไอเดียว่า "ไปลองขับ Tesla ดีกว่า" ผมเลยใช้ Skype โทรไปหาศูนย์บริการ Tesla Motors ที่เมือง Stuttgart ทางตอนใต้ของเยอรมนีเพื่อนัดหมายวันทดลองขับ จึงเป็นที่มาของการแชร์ประสบการณ์ในครั้งนี้
โชว์รูม Tesla Motors สาขา Stuttgart ตั้งอยู่เลขที่ 38 ถนน Motorstraße ผมนัดหมายไว้ช่วงเที่ยงวัน โดยเดินทางไปกับคนรู้จักที่เป็นคนเยอรมันอีก 1 คน เมื่อไปถึงพนักงานขายออกมาต้อนรับอย่างดี พร้อมกับถามว่านัดหมายทดลองขับไว้ใช่ไหม พวกเราพูดคุยกันอีกสักพัก เธอก็ขอใบขับขี่สากลของผมไป แต่เกิดปัญหาตอนนี้ เพราะผมอายุยังไม่ถึง 25 ปี ตามกฎเขาไม่ให้ทดลองขับรถในลักษณะนี้ คนขับจึงต้องเป็นคนเยอรมันที่มากับผมแทน
หมายเหตุ: เนื่องด้วยผมไม่ได้ไปคนเดียว เลยอยู่อ้อยอิ่งนานไม่ได้ ทำให้ไม่ได้ถ่ายรูปมาเยอะนัก ส่วนใหญ่จะเป็นวิดีโอมากกว่า และเป็นภาษาเยอรมันนะครับ
โชว์รูมและศูนย์บริการ Tesla สาขานี้ไม่ใหญ่นัก ตรงกลางโชว์รูมมีแชสซีของ Tesla Model S ตั้งโชว์อยู่ พร้อมโช้คสองล้อหลังตั้งเด่อยู่ เห็นขนาดโช้คแล้วตกใจว่าต้องใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ
ด้านหลังเปิดช่องให้ดูมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง
เมื่อพูดคุยเกี่ยวกับตัวรถเบื้องต้นเรียบร้อยแล้ว พนักงานขายก็พาไปที่รถ ซึ่งเราได้ทดลอง Tesla Model S P90D รุ่นท็อปสุด โดยเธอนั่งด้านหน้าก่อนเพื่อบรีฟวิธีใช้รถเบื้องต้น โดยรวมก็เป็นรายละเอียดการใช้จอสัมผัสตรงกลางเพื่อปรับค่าต่างๆ เช่นความสูงของรถ, โหมดการขับขี่, การเปิดแผนที่, เครื่องปรับอากาศ รวมถึงการเปิดหลังคา ก็ควบคุมจากหน้าจอนี้ทั้งสิ้น
วิธีติดเครื่อง (ไหนล่ะเครื่อง?) เพียงแค่เหยียบเบรก แล้วเข้าเกียร์ D เท่านั้นก็ออกรถได้เลย ส่วนการดับเครื่องก็เข้าเกียร์ P แล้วก้าวออกจากรถได้ทันที
จากนั้นผมก็ย้ายไปนั่งด้านหน้า และพวกเราก็ออกสู่ถนนกัน ความรู้สึกในรถคือพรีเมียม แต่ไม่หรูหรามากนัก วัสดุภายในทำมาดีมาก เบาะหน้านั่งสบาย กระชับ แต่เบาะหลังรู้สึกเตี้ยไปหน่อย (เขาชันขึ้นมาสูงกว่าปกติ)
ความรู้สึกระหว่างรถวิ่งคือรถค่อนข้างแข็ง (stiff) ตามแบบรถสปอร์ต แต่ยังไม่แข็งจนนั่งไม่สบาย เพราะระหว่างทางมีตกหลุมเล็กๆ (pothole) หนึ่งครั้งก็ไม่ได้สะเทือนมากนัก
พวกเราขับออกนอกเมือง วิวส่วนใหญ่เป็นทุ่งหญ้า รถค่อนข้างโล่ง มีจังหวะนึงคนขับลองกดคันเร่ง รถดึงมาก ไม่ได้กดยาวมากนักแต่ก็รู้แล้วว่ารถมันแรงจริง
นั่งไปสักพักพนักงานก็บอกให้ทดลองฟีเจอร์ Autopilot โดยการกดปุ่มที่ก้านข้างพวงมาลัยสองครั้ง รถก็วิ่งไปเอง คนขับตื่นเต้นมาก พอเข้าใกล้รถคันอื่นมันก็ชะลอเอง และเบรกหยุดเอง บนหน้าจอฝั่งคนขับมีบอกระยะห่างจากรถคันอื่น รวมถึงบอกตำแหน่งรถบนเลนว่าชิดซ้ายหรือขวาด้วย
เมื่อเปิดใช้งานโหมด Autopilot ไปสักพัก และคนขับไม่จับพวงมาลัย บนหน้าจอจะขึ้นข้อความว่า "Lenkrad festhalten" แปลว่าให้จับพวงมาลัย (ช่วงนาทีที่ 1:04) พอจับแล้วจะมีเสียงตื้ดๆ เพื่อยืนยันสถานะ การเตือนให้คนขับจับพวงมาลัยไว้เป็นมาตรการด้านความปลอดภัย เพื่อให้แน่ใจว่าเรายังอยู่นะ ไม่ได้เผลอหลับหรืออะไร
จากนั้นก็ได้ลองเล่นหน้าจอตรงกลาง ซึ่งรถ Tesla ทุกคันมีซิมการ์ดติดตั้งมาจากโรงงาน ใช้อินเทอร์เน็ตได้ฟรีตลอดชีพ สามารถเข้าเว็บ, อ่านอีเมล หรือเปิดแผนที่ได้ ยกเว้นดูวิดีโอ ผมเลยลองเข้า Blognone ก็พบว่าเบราว์เซอร์อ่านไทยไม่ได้ อันนี้ถือว่าน่าผิดหวังพอสมควร เพราะผมเชื่อว่าสมัยนี้ไม่ควรมีอะไรแบบนี้แล้ว
การทดลองขับใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมง พวกเราก็กลับมาถึงโชว์รูม ซึ่งพนักงานก็ได้พูดสรุปอีกครั้ง โดยรวมถือว่าประทับใจมาก ตัวรถใช้วัสดุอย่างดี มีประเด็นผมสังเกตได้อย่างหนึ่งคือ Tesla เลือกทำทุกอย่างให้ "ใหญ่" กล่าวคือพวงมาลัยค่อนข้างอ้วน, โช้คต้นใหญ่มาก, จอตรงกลางก็ใหญ่ หรือแม้กระทั่งซีลยางของขอบฝากระโปรงท้ายก็เป็นยางเส้นใหญ่กว่ารถยี่ห้ออื่น
Tesla ยังต้องพยายามอีกเยอะในการเจาะตลาดเยอรมัน ประเทศแห่งรถยนต์ชั้นดี คนรู้จักที่ไปกับผมไม่เคยรู้จักรถ Tesla มาก่อน ตอนแรกก็มาเป็นเพื่อนเฉยๆ ไม่ได้สนใจรถเลย แต่หลังจากทดลองขับเสร็จ เธอชอบมาก เราพูดคุยกันตลอดทางที่กลับจากโชว์รูม เธอไปเล่าให้เพื่อนๆ รวมถึงครอบครัวฟังว่ารถ Tesla ดีอย่างนั้นอย่างนี้ และเริ่มสนใจรถยนต์ที่ไม่ใช่รถของประเทศตัวเองเข้าแล้ว
ปล. การที่ Tesla มาเปิดโชว์รูมที่เมือง Stuttgart เป็นเหมือนการเข้าถ้ำเสือนะครับ เพราะเมืองนี้เป็นบ้านเกิดของ Porsche และ Mercedes-Benz เลยทีเดียว
Comments
ราคาขายในเยอรมันนีต่างกับราคาในอเมริกาเยอะมั๊ยครับ
ผมจำตัวเลขเป๊ะๆ ที่เซลส์บอกมาไม่ได้ แต่เริ่มต้นที่ประมาณ 80,000 ยูโรครับ (3,200,000 บาท) เข้าใจว่าเป็นราคารุ่น 75 ซึ่งตอนนั้นรุ่น 60 ยังไม่ออก ตอนนี้ผมเลยเข้าไปดูราคาที่เว็บ Tesla ภาษาเยอรมัน รุ่น 60 เริ่มต้นที่ 76,600 ยูโร (3,064,000 บาท) ส่วนรุ่น P90D ในบทความอยู่ที่ 124,200 ยูโรครับ (4.97 ล้านบาท)
ซึ่งรุ่น 60 ในอเมริกาอยู่ที่ 2.31 ล้านบาทเท่านั้น และรุ่น P90D อยู่ที่ 3.84 ล้านบาท สรุปคือต่างกันเยอะมาก เท่าที่ผมรู้เพราะนโยบายส่งเสริมรถไฟฟ้าของเยอรมันยังไม่โหดเท่าของอเมริกาครับ แถมตัวรถก็ไม่ได้ประกอบในเยอรมัน ทำให้ส่วนต่างยังห่างกันอยู่มาก
Pitawat's Blog :: บล็อกผมเองครับ
ที่เห็นโช๊คใหญ่ๆนั่นเป็นโช๊คถุงลมนะครับ แพงมากและค่าซ่อม(หรือเปลี่ยน)ก็แพงมากๆ ที่เห็นๆก็มี Benz ใช้ครับ แต่ที่งงคือทำเขา setup ให้มัน stiff มันควรจะนุ่มละมุนชวนฝันนะนั่น
จะมาบอกเลย โชค์นั้น ตันนึงเปลี่ยนที่กระอักเลือดคับ
แต่ประกันไม่จำกัดระยะทาง ก็น่าจะช่วยได้นะครับ
ถุงลมทำให้รถนุ่มน่าจะเป็นผลพลอยได้มากกว่าครับ จุดประสงค์ที่แท้จริงของถุงลมน่าจะเป็นในเรื่องของการที่สามารถปรับค่าความหนืด(การโยนตัวของรถ) ให้เหมาะสมกับจำนวนผู้โดยสารได้หลากหลายกว่าสปริงที่มีค่าตายตัวปรับอะไรไม่ได้เลย ทั้งนี้ทั้งนั้นคาแรคเตอร์ช่วงล่างของรถก็ขึ้นอยู่กับโช๊คเป็นหลักอยู่ดี ถุงลมนั้นคือส่วนช่วยมากกว่าครับ
ป.ล. คหสต นะครับ ในรูปน่าจะเป็นโช็คลม ระบบมันคล้ายๆถุงลมแต่แข็งกระด้างกว่ามีอยู่ใน Benz Bmw แต่เอาจริงๆมันดีกว่าสปริงยังไงในแง่ economic ผมก็ยังนึกไม่ออก นอกจากว่าช่วยประหยัดเวลาของเอนจิเนียร์ในเซ็ทค่าช่วงล่างของรถคันนี้
มันไม่มีเกียร์ที่เป็นเฟือง หรือ Mechanic อื่นๆเลยใช่ไหมครับ
มี gearbox แต่มีแค่ระดับเดียว ไม่มี clutch เพราะใช้ inverter ปรับรอบของมอเตอร์แทนครับ
ขนาดมีแค่นี้ยังออกตัว 0-100 ใน 3 วิเลยครับ เทียบเท่า Supercar เลยทีเดียว
ถ้ากระทืบคันเร่ง ตูดจะสะบัดไหมครับ
ลักษณะการทำงานของมอเตอร์มันเหมาะกับการไม่ต้องมีเกียร์อยู่แล้วอ่ะครับ
อยากได้เลย
เยอรมนี ... autobahn
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
ที่โช็คมันใหญ่เพราะมันเป็นแบบถุงลมน่ะ แล้วอีกอย่างรถมันหนักมากนะครับ 2.3 ตัน (หนักแบตเตอรี่ เลยมีข่าวคนเอาไปขับลุยน้ำไนอุโมงค์สบาย) เทียบกับ camry hybrid มันหนักแค่ 1.7 ต้นเองครับ
ขอบคุณมากครับ เขียนได้ดีแถมวิดีโอยังเฟรมเรตสูงด้วย ดูลื่นขึ้นมาอีกระดับ
นั่นน่ะสิครับ
เห็นด้วยว่ามันควรจะรองรับได้ทุกภาษามาตั้งแต่แรกจริงๆ เดี๋ยวนี้ Google Chrome, Mozilla Firefox แม้แต่ Microsoft Edge แม้กระทั่งตัว OS เดี๋ยวนี้รองรับทุกภาษาตั้งแต่ตอนแกะกล่องแล้วนะ
Get ready to work from now on.
ขอบคุณที่บอกเล่าประสบการณ์ครับ
สมมุติว่าถ้าคนขับหลับ แต่ยังจับพวงมาลัยอยู่(ซึ่งเป็นโหมด Autopilot) ตัวรถจะรู้ไหมครับ?
Mekokung's Story บล็อกส่วนตัวที่ย้ายไป Blogger แล้วนะ
ถ้าจับพวงมาลัยอาจจะไม่รู้ แต่ถ้าไม่จับระบบมันเตือนแล้วเรายังไม่ยอมจับพวงมาลัยระบบจะเตือนไปเรื่อยๆ ซักพักหนึ่งครับแล้วหลังจากนั้นระบบจะลดความเร็วลงแล้วเตือนถี่ชึ้นครับ ถ้าคนขับยังไม่รู้สึกตัวหรือยังไม่ยอมจับพวงมาลัยระบบจะเปิดไฟกระพริบและลดความเร็วลงจนรถหยุดครับ
มันปรับความสูงของรถได้ นี่ปรับความแข็งช่วงล่างได้ด้วยเปล่า หว่า
อิจจจจจจจจฉาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
อ่านมาตลอดบทความ เข้าใจว่าคนขับคงเป็นผู้ชาย มาสะดุดตรง "เธอชอบมาก"
^
^
that's just my two cents.
+1
เงิบเลยผม คิดเหมือนกัน
ในวีดีโอแรกเห็นแว่บนึงครับ
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
ผมชอบมากครับ ถ้ามีโอกาศ อีก ผมจะ ติดตาม นะครับชอบรถไฟฟ้า เพราะยุคนี้น่าจะเป้น แบบนี้ได้ แล้ว น่าจะหยุดใช้ รถที่ใช้ Gas ได้แล้ว
สงสัยอยู่คำนึงครับ -> "พวกเราขับออกนอกเมือง วิวส่วนใหญ่เป็นทุ่งหญ้า รถค่อนข้างโล่ง มีจังหวะนึงคนขับลองกดคันเร่ง รถดึงมาก ไม่ได้กดยาวมากนักแต่ก็รู้แล้วว่ารถมันแรงจริง"
ตรงคำว่า "รถดึงมาก" หมายถึง ดึงจริงๆ หรือ ดัง ครับ ?
ดึงจริงๆ ครับ พลังเยอะมาก
Pitawat's Blog :: บล็อกผมเองครับ
ดึง = หลังติดเบาะ
ดึงเป็นคำในแวดวงรถยนต์น่ะครับ
หมายถึงช่วงที่ความเร็วเพิ่มอย่างรวดเร็ว ตัวเราก็จะมีแรง G กระทำเยอะขึ้นจนทำให้มีความรู้สึกว่าหลังติดเบาะโดยอัตโนมัติ
แผนของ Tesla เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ชาวโลก หากเจาะตลาดเยอรมัน เจ้าแห่งยนตรกรรมยุโรปได้ ตลาดยุโรปก็ไม่ยากสำหรับ Tesla อีกต่อไป ... แต่จะผลิตให้ทันความต้องการได้ยังไงนี่สิ
ส่วนประเทศไทย รอกันต่อไปสินะ ได้แต่หวังว่าข่าวลือที่ Tesla จะซื้อที่ดินของ TFD เพื่อสร้างโรงงานผลิตในไทยจะเป็นจริง
เห็นว่าเป็นข่าวปั่นหุ้นนะ ยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ เพราะหลายสำนักข่าวของต่างประเทศก็เจอแต่ข่าวที่ Tesla ไปลงทุนสร้างโรงงานในจีนนะครับ
Get ready to work from now on.
โอ๊ย อยากได้ Model 3 สักคัน
ผมเองก็ติดตาม Tesla มานานมากแล้ว ตั้งแต่สมัยที่ยังมีแค่ Tesla Roadster แค่รุ่นเดียว
เคยฝันอยากจะไปร่วมงานด้วย (ป่านนี้คงยากแล้วล่ะ)