ปัจจุบันรถยนต์ Tesla Model S มีความจุแบตเตอรี่ 3 ขนาดให้เลือก เริ่มที่ 60 กิโลวัตต์ชั่วโมง วิ่งได้ไกล 338 กิโลเมตร, 75 กิโลวัตต์ชั่วโมง วิ่งได้ไกล 400 กิโลเมตร และ 90 กิโลวัตต์ชั่วโมง วิ่งได้ไกล 473 กิโลเมตร ส่วน Model X ก็มี 3 ขนาดให้เลือกเช่นกัน แต่จะวิ่งได้ระยะทางน้อยกว่าเนื่องจากน้ำหนักตัวมากกว่า
ล่าสุดมีบล็อกเกอร์ชาวดัตช์ไปพบว่า Tesla Model S และ X ความจุแบตเตอรี่สูงถึง 100 กิโลวัตต์ชั่วโมง ถูกรับรองโดยกรมการขนส่งของเนเธอร์แลนด์ (Rijksdienst voor het Wegverkeer - RDW) เรียบร้อยแล้ว ซึ่งสามารถนำมาใช้งานในยุโรปได้ทันที โดยในฐานข้อมูลของ RDW แสดงให้เห็นว่าแบตเตอรี่ขนาด 100 กิโลวัตต์ชั่วโมงนี้ทำให้รถวิ่งได้ไกลถึง 613 กิโลเมตรเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขระยะทางดังกล่าวมาจากการคำนวณตามมาตรฐาน New European Driving Cycle ซึ่งเว็บไซต์ Electrek บอกว่าไม่ค่อยตรงกับความเป็นจริงนัก โดยตัวเลขที่โฆษณาอยู่บนเว็บไซต์ Tesla เป็นระยะทางตามมาตรฐาน EPA ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา (เจ้าเดียวกับที่เปิดโปงเรื่อง Volkswagen โกงค่ามลพิษ) ถึงกระนั้น แบตเตอรี่จุ 100 กิโลวัตต์ชั่วโมงก็น่าจะทำระยะทางได้เกิน 300 ไมล์ หรือราว 500 กิโลเมตรได้ครับ
ที่มา - Electrek
Comments
ขาดอีกนิดจะได้เป็นกรุงเทพไปเชียงใหม่ละ -
แต่สงสัยอยู่อย่างนึง ว่าถ้าแบตเสื่อมถึงระดับไหนถึงจะต้องเปลี่ยนตัวแบต?
ต้องเปลี่ยน battery ทุก 2-3 แสนกิโลเมตร ที่การใช้งาน(discharge) battery ไม่ต่ำกว่า 25%
ผมมองว่าถ้ามันทำราคาให้สามารถจับต้องได้ง่ายๆหน่อยก็ยังโอเคนะครับ
รถเก๋งออโต้ปกติวิ่งได้ประมาณนี้ก็มียกเกียร์ใหม่อยู่บ้างนะครับ
2-3 แสนโล ถ้าเป็นเครื่องเบนซิน น่าจะต้องมีเปิดฝา และ OH เกียร์กันแล้วละครับ
แบตเยอะๆแบบนี้ กลัวอีกหน่อยจะมีข่าวรถไฟไหม้....
ขนาดรถยุโรปหรูราคาพอๆกันยังมีข่าวเรื่อยๆเลย
นั่นสิครับ คงต้องรอดูกันยาว ๆ ว่าจะเป็นไงต่อไป
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
อยากเห็นมาตั้งโชรูมในไทยมั่ง
แบตหมดต้องจอดชาร์ตรึเปล่าครับ มัมไม่วิ่งไปชาร์ตไปเหมือแบตรถหรอครับ
แบตรถมันเอาน้ำมันไปชาร์จแบตไงครับ แถมแบตเล็กนิดเดียว
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
วิ่งไปชาร์จไปครับ แต่ก็เฉพาะกรณีตอนที่ดึงพลังงานออกจากระบบได้แบบตอนเบรค ไม่งั้นมันจะเอาพลังงานที่ไหนมาชาร์จแบตล่ะครับ?
ขับทางไกลยังไงก็หมดครับ ปั่นไฟจากการเบรคไม่เยอะขนาดนั้น ต้องจอดชาร์จ ซึ่ง Tesla กำลังขยายเครือข่าย Supercharger เรื่อยๆ ชาร์จ 30 นาทีวิ่งได้เกือบ 300 กิโลครับ
Pitawat's Blog :: บล็อกผมเองครับ
ดูคลิปข้างล่างเลยครับ แถบสีแดงด้านขวาจะบอกระดับแบตที่ใช้อยู่ เวลาเบรกก็จะชาร์จ เวลาออกตัวก็จะใช้แบต (ในคลิปแสดงผลไม่ถูกต้อง ที่จริงใช้แบตจนหมดครับ)
https://www.youtube.com/watch?v=DY96TidlQ7Q
เดี๋ยวนี้ Homepro มีเครื่องปั่นไฟหมื่นกว่าบาทขายด้วย
เดี๋ยวให่ช่างแถวบ้านโมให้
ชิ้นส่วนรถไฟฟ้าพวกเฟือง แหวน สายพาน ปะเก็น มันมีน้อยมากๆๆๆ
ค่าซ่อมบำรุงน่าจะถูกว่าเครื่องยนต์ธรรมดาๆ เยอะ ถึงเปลี่ยนแบตยังไงก็คงถูกกว่าค่าซ่อมบำรุงรถปกติ (ทั้งน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ กรองน้ำมัน กรองอากาศ หม้อน้ำ ครัช จิปาถะ)
ผมไม่รู้นะว่า tesla ราคาอะไหล่แค่ไหนยัไง แต่รถ hybrid เพื่อน(camry ACV40 HV) พอหมดประกันแล้ว เปลี่ยน inverter ที 7หมื่นกว่าบาท ก็กระอักอยู่นะ แบตลูกเล็กก็ยังหลักหมื่น(ไม่ใช่แบตลูกหลักพันแบบที่ใช้ในรถปกตินะ) แบตลูกใหญ่มีประกันสิบปี(5ปีแรกฟรีค่าแรง)แต่ราคาเต็มก็หลักแสน ยังมีระบบอื่นๆที่เสียแล้วแพงกว่าปกติอีก เช่นพวกระบบเบรค ABSที่มีการ re-chargeเข้าแบตต่างจากเบรคทั่วไป
ขนาดรถhybrid ที่ส่วนประกอบหลักเรายังคุ้นเคยกว่า มือสองยังราคาร่วงหนักเลยครับ รถพวกนี้ไม่รวยจริงใช้ไม่ไหว อะไหล่เครื่องยนต์ตามปกติ ถ้าใช้ตามปกติ 5ปีแรกมันไม่เสียหรอก(อะไหล่สิ้นเปลืองห้าปีแรก ตามตารางบำรุงรักษาก็ราวๆสามสี่หมื่น) แต่อะไหล่ส่วน hybrid ดันเสียก่อนแถมแพงกว่ามากๆ
จริงๆรถ Hybrid เนี่ย สองเด้งเลยครับ มีทั้งเครื่องยนต์ และระบบไฟฟ้า ถ้าเป็นไฟฟ้าล้วนๆมันลดอุปกรณ์ที่ต้องซ่อมลงไปได้อีกเยอะเลยครับ
จริงๆระบบ Regenerative brake หลักการมันไม่มีอะไรเลยครับ เอากำลังที่ล้อยังหมุนเพราะแรงเฉื่อยมาเข้ามอเตอร์ปั่นไฟกลับไปเก็บใน Battery เท่านั้นเองครับ ไม่มีอะไรซับซ้อน
รถไฮบริดมันซับซ้อนครับ มีทั้งเครื่องทั้งมอเตอร์เอามารวมกัน เลยกลายเป็นต้อง maintenance ทั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องยนต์
พอเป็นไฟฟ้าล้วนมันแทบไม่มีอะไรเลย มอเตอร์หมุนเกียร์ (เกียร์สปีดเดียวอีก ไม่ซับซ้อน) แถมพวกของเหลวต่างๆ ก็แทบจะไม่มี ไม่ต้องถ่ายน้ำมันเครื่องทุกหมื่นโล ไม่มีหม้อน้ำ ไม่มีไส้กรองน้ำมัน ไม่มีหัวเทียน ไม่ต้องกังวลเรื่องปั๊มของเหลวต่างๆ ฯลฯ รวมๆ พวกนี้ก็อ้วกแล้ว
ที่ต้องดูแลเองก็แค่น้ำฉีดกระจกล่ะมั้งครับ
Pitawat's Blog :: บล็อกผมเองครับ
เหมือนว่าจะมีหม้อน้ำไว้ระบายความร้อนอยู่นะ แต่ก็นั่นหล่ะ MA น้อยกว่าเครื่องยนต์ปกติอยู่ดี
ยังมีระบบเครื่องปรับอากาศ (แอร์) ที่ไม่รู้ว่าต้อง Maintenance แค่ไหนด้วยครับ แต่ก็ยังน้อยมาก
ยังไม่ค่อยเห็นรายงานการบำรุงรักษารถไฟฟ้าที่เกินแสนกิโลเมตรเท่าไรเลย
จริงอยู่ว่าในรถไฟฟ้าแบบtesla อุปกรณ์ส่วนขับเคลื่อน และเครื่องยนต์มันน้อยลง แต่ระบบไฟฟ้าอื่นๆล่ะ มันทนทานใช้ได้นาน และค่าอะไหล่ราคาพอรับได้เหมือนรถยนต์ทั่วไปหรือไม่? ระบบช่วงล่าง ออกแบบได้ทนทานแค่ไหน?
ส่วนน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ ไส้กรอง ฯลฯ พวกนี้ตลอดห้าปีแรกหรือหนึ่งแสนกิโลเมตร รวมๆแล้วไม่เกินสามหมื่นบาทนะครับ สำหรับรถระดับล้านต้นๆถึงกลางๆในไทย หรือถ้าเป็นรถพรีเมียมแบบ BMW ก็มีBSIฟรีเกือบหมดตลอดห้าปีแล้วก็ว่าได้
เพราะตลาดมันถูกผูกขาดจากสองเจ้า ป่าวครับ ความเป็นจริงน่าจะถูกกว่านี้