แอปเปิลเปิดตัว MacBook Pro ใหม่ตามนัด ซึ่งไม่แตกต่างจากที่หลุดออกมาก่อนหน้านี้ พร้อมกับดีไซน์ใหม่ ขนาดที่บางลงและน้ำหนักที่ลดลงกว่าเดิมทั้งรุ่น 13 นิ้วและ 15 นิ้ว
MacBook Pro รุ่นใหม่มาพร้อมหน้าจอกับ Force Touch TrackPad ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น 2 เท่า พร้อมด้วยคีย์บอร์ดแบบ butterfly รุ่นที่ 2 ที่แอปเปิลระบุว่ามีการตอบสนองที่ดีกว่าเดิม ส่วนหน้าจอ Retina Display สว่างมากกว่าเดิม 67% มีค่า Contrast Ratio สูงกว่าเดิม 67% รองรับสีมากกว่าเดิม 25% รวมถึงระบบระบายความร้อนและลำโพงก็ได้รับการออกแบบใหม่ด้วย
ขณะที่ของใหม่ที่นับเป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญในรุ่นนี้คือ Touch Bar และ Touch ID ที่ถูกเพิ่มเข้ามาแทนที่แถบของปุ่มฟังก์ชันด้านบน
แถบ Touch Bar เป็นหน้าจอแบบ Retina Display รองรับระบบ Multi Touch ซึ่งนอกจากจะแทนที่ปุ่มฟังก์ชันแบบเดิมแล้ว ฟังก์ชันของ Touch Bar ยังเปลี่ยนแปลงไปตามแต่แอพที่เปิดอยู่ด้วย อาทิ บนซาฟารีจะเป็นบุ๊คมาร์ค, แถบเสิร์ชและปุ่ม back หรือบน iPhoto ก็จะเป็นแถบเครื่องมือต่างๆ สำหรับแต่งภาพ
สำหรับ Touch ID จะอยู่บริเวณปุ่มเปิดปิดด้านขวามือสุดของ Touch Bar มาพร้อมกับชิป Apple T1 ที่จัดการด้านความปลอดภัยสำหรับการใช้งานลายนิ้วมือบน MacBook Pro
สำหรับสเปครุ่น 13 นิ้วใช้ซีพียู Intel Core i5 (Skylake) ควอดคอร์และ Core i7 (Skylake) ดูอัลคอร์ การ์ดจอเป็น Intel Iris Graphic 550 แรม 8GB SSD มีขนาด 256GB และ 512GB พอร์ต USB-C (Thunderbolt 3) ทั้งหมด 4 พอร์ตและพอร์ตหูฟัง 3.5 มม. บาง 15.5 มม. น้ำหนัก 1.3 กิโลกรัม รองรับการใช้งานสูงสุด 10 ชั่วโมง ราคารเริ่มต้น 1,799 เหรียญสหรัฐ
ส่วนรุ่น 15 นิ้ว ใช้ซีพียู Intel Core i7 (Skylake) ควอดคอร์ แรม 16GB SSD 256GB และ 512GB ชิปกราฟิคเป็น Radeon Pro 450 สำหรับความจุ 256GB และ Radeon Pro 455 สำหรับ 512GB (อัพเกรดเป็น Radeon 460 ได้) พอร์ต USB-C 4 พอร์ตและหูฟัง 1 พอร์ต รองรับการใช้งานสูงสุด 10 ชั่วโมง ราคาเริ่มต้น 2,399 เหรียญสหรัฐ
นอกจากรุ่นที่มี Touch Bar และ Touch ID แล้ว MacBook Pro ขนาด 13 นิ้วยังมีรุ่นที่เป็นปุ่มฟังก์ชันแบบเดิมด้วย โดยซีพียูใช้ Intel Core i5 Skylake ดูอัลคอร์ การ์ดจอ Intel Iris Graphic 540 แรม 8GB SSD 256GB และมีพอร์ต USB-C แค่ 2 พอร์ต พร้อม 3.5 มม. 1 พอร์ต ราคาเริ่มต้น 1,499 เหรียญ
MacBook Pro รุ่นใหม่นี้มีสีมาให้เลือก 2 สีคือสีเงินและสีเทา (Space Gray)
Comments
น่าสนใจตัวกลาง แต่มาคิดดูอีกทีคงไม่ได้ใช้ Touch Bar แน่ จัดไปตัวล่างสุด
เสียดายที่ ตัวล่างสุดเป็น "Intel Core i5 Skylake ดูอัลคอร์" น่ะครับ
ยืม Comment เมื่อวาน "Apple ไม่ได้บอกว่าเป็นเจ้าแรก แค่เป็นเจ้าที่ทำได้ดีกว่า"
คือเอามาประยุกต์ให้มันดูน่าใช้ได้จริงๆ เช่นเดียวกับราคา.. ได้ CPU เก่า ในราคาใหม่
จบกัน Macbook Air, Macbook ราคาถูก ต่อไปก็จับตลาดบนอย่างเดียวละ
Macbook Air เปลี่ยนชื่อเป็น macbook pro แล้วครับ ตัวเริ่มต้นเลยมันคือแอร์ในร่างใหม่ชื่อใหม่ แต่ภายในยังเป็นแมคบุคแอร์
เพิ่มเติมราคาแพงขึ้น2หมื่นค่าเปลี่ยนชื่อจากแอร์เป็นโปร
MacBook Air ก็ยังขายอยู่นะครับ
Dream high, work hard.
ใครเขาจะอยากซื้อ Old tech with future price กันละครับ
ตอนนี้ MBA 11" หายไปจากหน้าเว็บ apple แล้วด้วยครับ
ถ้าเป็นตอนที่ Steve Jobs อยู่ มันก็ใช้ แต่ตอนนี้น่าจะเป็น "Apple ไม่ได้บอกว่าเป็นเจ้าแรก แค่เป็นเจ้าที่ทำได้เทียบเท่าของคนอื่นให้สาวกได้มากทึสุด"
ราคามาละด้วยครับ ขนลุกกันเลย
+1
ราคาสุดโหด...innovation สุดจะบรรยาย
เสียดาย Magsafe มากกกกกกกก
ตัวเริ่มต้นที่มี Touch Bar เพิ่มเงิน $100 ได้ Surface Book พร้อมการ์ดจอแยกเลยทีเดียว ซึ่งพอๆ กับซื้อสายแปลงทั้งหลายให้ port ที่ควรจะมีกลับมา
ที่ว้าวที่สุดคือ "ราคา"
ตื่นเต้นมากครับ สุดยอดจริงๆ ....................................
แล้ว Kaby lake ก็ไม่มาตามคาด รอต่อไป เพื่อปีหน้าจะมี minor change มาให้เสียตังค์
รุ่น 13 นิ้ว เป็นดูอัลคอร์ทั้ง i5 และ i7 นะครับ
ราคาไทยมาแล้วโหดใช้ได้แฮะ
13" 56,900
13" Touch Bar + Touch ID 67,900
13" Touch Bar + Touch ID SSD 512 74,900
15" 89,900
15" SSD 512 105,900
ส่วนตัวเก่า
13" ราคาเดิม 49,900
15" ราคาเดิม 74,900
ตอนแรกว่าจะเอารุ่น 15" ซักหน่อย เพราะเบาลงพอสมควร
แต่เห็นราคาแล้ว ... ขอคิดดูอีกทีละกัน
15' เบาลง 2 ขีด
แต่ต้องพก usbC to hdmi / usbC to usb3.0 / usb3.0 หรือ usbC to SD Card reader อีกนะ
สรุปถ้านับรวม น้ำหนักแทบไม่ต่างกันเลยครับ
ผมไม่เคยใช้ USB เลยครับ พวกไฟล์ก็แชร์ผ่าน Google Drive ตลอด iPhone ก็ไม่เคยต่อคอมเลย ทุกอย่างอยู่ยน iCloud หมดแล้ว แต่ถ้าสายแปลง HDMI นี่คงได้ซื้อ ผมยังไม่คิดจะเปลี่ยนจอเป็น USB-C แน่ๆ อันที่ใช้อยู่ยังใช้ไม่คุ้มเลย
MacBook เฉย ๆ ตัวต่ำสุดก็ 49,900 แล้ว เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องแปลกใจกับราคาของ MacBook Pro กันหรอก
top สุด แสนห้าพัน เอ๊งงงงง
ร้องซะตกใจเลย
รอฟังรีวิว...กับเล่นของจริงก่อน
เรื่องราคา...ยังพอหาเงินมาซื้อได้...ถ้ามันใช้ทำงานได้ดี
แต่เริ่มระแวง...เพราะช่วงหลังคุณภาพไม่ค่อยสมราคาคุย
ถ้าจะซื้อ รอสักล็อตที่ 2 - 3 ครับ ก็ประมาณ 1 - 2 เดือน แล้วก็รอรีวิวด้วยครับ
ดู youtube แล้ว หลายๆฉาก คล้ายกับ video ของ surface studio เลย เช่น สีที่ระเบิดฟรุง , layer จอ บังเอิญจัง
สีที่ระเบิดเป็น Background ของ iPhone มาตั้งแต่ iOS9 แล้วครับ ใช้ยาวมาจน iOS10
ตัวอย่าง https://9to5mac.files.wordpress.com/2015/08/ios-9-wallpapers-8.png
+1
ผมคิดว่าเขาจ้างทีมงานบ.เดียวกันด้วยซ้ำ คล้ายกันเอามากๆ
Someone needs to write an open letter about the price point that they use for the new MacBook Pro model... They still selling the SAME model (2015) with the SAME price ! Greedy Beast Company. Another thing, please simplify your product line. It's a mess. Tim Cook, what have you done to the great company. cry
สอบถามหน่อยครับ ปกติแล้วการระบายความร้อน นั้นใช้ลำโพง ระบายความร้อนไหมครับ
คิดว่าจะซื้อ แต่จะซีลพลาสติกใสทับลำโพงไปเลย ยังไงผมก็ใช้แค่หูฟัง อยู่แล้ว
พอดี ไม่ชอบให้ฝุ่นลงลำโพง
ปกติแล้วไม่ได้ทำมาเพื่อระบายความร้อนครับ
ปุ่ม ESC หายไปนี่ IBM จะยังซื้อให้ Dev ใช้ต่อไหมครับ?
ก็ยังอยู่นี่ครับ? ไปอยู่บน Touch Bar แทนไงครับ
เข้าใจว่าน่าจะต้องการเป็น physical button มากกว่าครับ เพราะแบบนี้มันต้องพึ่งซอฟท์แวร์ในการใช้งาน
ยังถือว่าปราณีที่ยังมี USB C มา 4 Port
I need healing.
3 ครับ
3 ครับ
4 นะครับ
Four Thunderbolt 3 (USB-C) ports
จาก http://www.apple.com/mac/compare/results/?product1=macbook-pro-13&product2=macbook-pro-touchbar-13
ตัวถูกได้ พอร์ต Thunderbolt 3 จำนวน 2 พอร์ต
ตัวมี Touch Bar มี พอร์ต Thunderbolt 3 จำนวน 4 พอร์ต
อันนึงไว้ชาร์ท ชิมิ...
ສະບາຍດີ :)
คงเป็น IBM ไปการันตี ความคุ้ม ให้ APPLE
พี่ทิม เลยจัดราคาเพิ่มให้สมเกียรติ
แพงเหลือเกิน
That is the way things are.
จบกัน นึกว่าจะมี air รุ่นใหม่ราคาย่อมเยา.. เครื่องหน้าคงไม่อาจเอื้อมใช้ Mac เสียแล้ว. ลาก่อย..
มีช่อง 3.5 mm ไหม เห็น apple ว่ามันไม่ดีเท่า lightning ตัดออกไปยังอะ 555+
ในข่าวก็เขียนไว้นี่ครับ
คือถ้า iPhone, iPad ใช้ USB-C ด้วยนี่จะดีงามมากครับ
ทำไมผมมองว่ารุ่นเก่าสวยกว่าเยอะเลย ยิ่ง air หายไปแบบนี้ยิ่งแล้วใหญ่รอซื้อ MacBook airลดดีกว่า แล้วดูจากสภาพแล้วคงไม่ตั้งใจขายจริงๆ แน่นกำไรเยอะไป ผิดหวังมากทั้ง design กับราคา design apple ยุคนี้ผมว่าเละไม่มีคนเอาความคิดจากผู้ใช้ไปใส่เลย แน่นแต่ความคิดจาก Designer มากเกินไป ไม่คิดถึงผู้ใช้แบบจริงๆเหมือนในยุคก่อนนี้แล้ว ไม่ซื้อตั้งแต่ design แล้วยิ่งมาเห็นราคาแบบนี้ เลิกเลยคับ ไม่ยอมซื้อตัวเก่าตกรุ่นดีกว่าสวยกว่า งานผมไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องแรงขอให้ไปกับผมได้ทุกเวลาแค่นั้น
รอผลประกอบการรอบนี้ออกผมshort หุ้นรอไว้เลย ผมว่าคงไม่นานแหละ
ผมว่าตัว 13 มันสวยนะครับ แต่ถ้าเทียบ SurfaceBook ยังตาม MS อยุ่มากครับ
ผมเข้าใจว่าปรัชญาดีไซน์ของ Apple คือให้ตัวเองเป็นศูนย์กลาง ตามที่ Steve ได้เคยกล่าว "ผู้ใช้จะไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ผู้ผลิตอย่าง Apple ต้องเป็นผู้นำเสนอและยัดเยียดสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดให้ลูกค้า"
แต่การยัดเยียดของ Jobs เกิดจากความต้องการบวกวิสัยทัศน์จริงๆครับ ไม่ได้จินตนาการเพ้อเกินไป
ทีนี้มันเลยวัดกันได้ชัดเลยว่าผู้ผลิตเข้าใจผุ้บริโภคแค่ไหนครับ
Jobs ไม่ nerd ไม่ geek สิ่งที่ยัดให้ลูกค้าก็ออกมาแบบหนึ่ง
Ive และคนอื่นๆก็ออกมาอีกแบบหนึ่ง
....ไม่น่าหวังมากเลย
ไม่มีปัญญาจะซื้อ-_-"
ราคาโหดจริงจัง แต่ดูไม่เห็น Inno เท่าไรเลย
ดูวิดีโอแล้วรู้สึกว่าหมดมุกแล้วใช่ไหม ที่ไม่ได้ทำโน้ตบุ๊คจอสัมผัสเลยต้องหาทางออกโดยเพิ่มจอสัมผัสอันกระจ้อยร่อยมาแทน ดูใช้แล้วน่าจะอึดอัดพิกล
หมดมุกรึป่าวต้องรอดู แต่เรื่องมีจอจิ๋วผมว่าใช้งานจริงน่าจะเวิร์คกว่า ทัชสกรีนเต็มตัว อันนี้สังเกตุเอาจาก all in one ทัชสกรีนที่ออกมาก่อนหน้า
หมายถึง surface studio หรอครับ
ป่าวครับๆ อันนั้นยังไม่มีปัญญาลองครับ
ผมหมายถึง AIO ทั่วๆไปเลย ที่แบบทำมาให้ทัชได้ แต่เวลาใช้งานจริง ขยับมือขึ้นๆลงๆระหว่างจอกับคีย์บอร์ดมันก็เป็นอะไรที่ไม่ค่อย practical เท่าไหร่ ส่วนตัวรู้สึกยังงั้น
ใช่ครับยังไงคีย์บอร์ดก็เวิร์คกว่า ทุกวันนี้ยังคิดถึงแป้น BB เวลากดพิมพ์ในโทรศัพท์อยู่เลย
Craig Federighi เคยพูดไว้ครับ ว่า Touch Screen กับ Mac มันเป็นอะไรที่เป็นไปไม่ได้
เพราะระบบถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานกับ Keyboard และ Mouse เป็นหลัก การเปลี่ยนไปใช้ Touch ทั้งๆ ที่ระบบยังเป็นแบบนี้ (ตอนนั้นกัด Windows 8 เต็มๆ) มันก็ไม่ต่างกับการสร้างปัญหาให้ผู้ใช้ จนกว่าจะมี UX ที่ดีพอ
เช่นเดียวกับ Microsoft ที่โดนเสียงด่าจาก Windows 8 ว่าบังคับให้เป็น Touch Screen มากเกินไป โลกคอมพิวเตอร์ยังต้องการใช้งาน Keyboard และ Mouse อยู่ ผลเลยกลายมาเป็น Windows 10 ที่เป็นลูกครึ่งอยู่ทุกวันนี้ไงครับ
ดูวิดีโอแล้วรู็สึกงงๆ ว่าเค้าจะนำเสนอแค่งานประกอบ/ออกแบบ กับ touch bar เท่านี้หรอ
คือดูเหมือนมันไม่สุด มันยังดูงงๆอยู่
รอบนี้ Microsoft ชนะน็อคครับ แมคก็ดูจะเป็นแบบนี้มานานแล้ว เป็นเหมือนการอัพเกรดธรรมดามากกว่าที่จะเป็นการแสดง innovation อะไร
อึดอัดจริงครับ นั่งดู keynote เมื่อคืน
มองbarที มองจอที มันอะไรกัน
แล้วใช้มือนึงทัชแพชกับมือนึงเล็งbar มันอะไรกัน
วุ่นวายจัง
อึดอัดจริงๆครับ ช่วง Demo นี้ยิ่งแล้วใหญ่อึดอัดจนเอาโทรศัพท์มาเล่นรอเลย
Mekokung's Story บล็อกส่วนตัวที่ย้ายไป Blogger แล้วนะ
เห็นด้วยเลย ปกติคนใช้ PS มือจะอยู่ที่ CTRL + SPACE ตลอด
นี่ต้องเลื่อนมือไปเมนูด้านบนอีก คืออะไรกัน
เห็นด้วยเลย ปกติคนใช้ PS มือจะอยู่ที่ CTRL + SPACE ตลอด
นี่ต้องเลื่อนมือไปเมนูด้านบนอีก คืออะไรกัน
ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันสวยจัง
ค่อนข้างแย่ เปลี่ยนทุกสิ่งอย่างเป็น usb-c หมดทั้งที่ตลาดยังไม่พร้อมขนาดนั้น magsafe นี่ผมว่ามันคือ 1 ในนวัตกรรมที่ดีมาก ๆ ก็เอาออก ต่อไปเราไม่สามารถพกแต่ mac ได้ ต้องมี adapter พ่วงไปด้วยตลอด น่าผิดหวังมาก ๆ
เมื่อก่อนเคยต้องขอบคุณ Apple นะครับที่ถอด floppy disk ออกทั้งที่ตลาดยังไม่พร้อม ครั้งนี้ไม่รู้จะกระตุ้นตลาดได้หรือเปล่า ฝั่ง Surface นี่ยังไม่ใส่ USB-C เลยน่าเสียดายมาก
ไม่รุ้นะครับ ผมว่าเครื่องต่อไปที่ผมจะซื้อต้องมีทั้ง USB Type A USB Type C HDMI 3 อย่างนี้ขาดไม่ได้
ถ้าไม่มีก็โดนตัดทิ้งจากตัวเลือกแต่แรกอยู่แล้ว
Apple นำตลาดก่อนเป็นปกติอยู่แล้วครับ ถึงแม้ว่ามันจะไม่พร้อมก็เถอะ
ตอนเอา dvd ออก ก็มีเสียงบ่นระงม ตอนตัด firewire ทิ้งก็ถูกสาปส่ง แต่สุดท้าย เทคโนโลยีมันก็ต้องปรับตัวไปตามเทรนของมันอยู่ดีครับ
คุณกังวลกับ magsafe ? ที่หายไปใช่หรือไหม่ เราขอเสนอ usb-c magsafe converter ราคา 5xxx
ถ้า cursor mouse เลื่อนลงมาที่ Touch Bar ได้นี่ว่าวแน่
ผมไม่คิดว่า touch bar มันจะเวิร์คอ่ะ เอา touch screen ไปเลยใช้ง่ายกว่า
ตอนตัดต่อวีดีโอแล้วเปิดเต็มจอ ถ้าทำเป็น touch screen มือจะไปบังจอครับ รวมถึงแทบให้ touch ก็จะไปกินพื้นที่บนจอด้วย
แนะนำดูคลิป Demo Test ในงานครับ ผมว่ามันเวิร์กใช้ได้เลยนะ
โดยเฉพาะตอน Integrate กับพวก App เช่น Final Cut สามารถรูด Timeline ได้
หรือแม้กระทั่งพวก Photo Editor ที่สามารถปรับขนาด Brush หรือ Zoom ได้ ผมว่าสะดวกกว่าใช้ Touchpad ดีนะ (แต่ถ้าใช้เมาส์ เมาส์อาจจะสะดวกกว่า)
ติดใจอยู่อย่าง เห็นบางคนจิ้มปุ่มทีเดียวไม่ติด ต้องจิ้มอีกที
ส่วน Touch Screen ผมว่า ยกมือจิ้มจอนานๆ มันเมื่อยนะ เพราะจอของ Macbook มันกางแบบ 180 องศาไม่ได้ แตกต่างกับ Touch Bar ที่มือยังวางอยู่บน Palm Rest อยู่
ส่วนตัวผมว่ามันก็ยังแปลกๆอยู่นะ คือมันต้องเอื้อมมือไปมา ซึ่งตำแหน่ง Touchpad กับ Touch Bar ก็อยูห่างกันพอควร ต่อเมาส์ไปเลยทำงานง่ายกว่า
ถ้าเป็นสายงานด้านอาร์ท สำหรับการออกไปทำงานนอกสถานที่ก็ดูจะช่วยให้ทำงานได้สะดวกขึ้นมากครับ เรื่องตำแหน่งที่ห่างกันไม่น่าจะใช่ประเด็นใหญ่ครับ เหมือนๆ กับการใช้งาน Surface Dial แต่ตัวนั้นเจ๋งกว่าตรงที่มีความอิสระในการวางตำแหน่งมากกว่า
ผมว่ามันเป็นอะไรที่น่ารำคาญนะครับ ลองนึกการปรับแต่งภาพใน lightroom แค่แถบ basic ก็ปาไป 11 อย่างแล้ว
ทุกครั้งที่ปรับคุณจะต้องลากมาลงใน touch bar ทุกครั้งถ้าอยากจะใช้ฟังก์ชั่นนั้น แต่จะง่ายกว่าถ้าใช้ scroll mouse ที่เราถือในมือขวาอยู่แล้ว
ถ้าใน photoshop นอกนั้นใช้เมาส์ปากกาในการรีทัช เวลาทำงานส่วนใหญ่ใช้ curve ในการปรับสีแค่นั้น แล้วฟังก์ชั่นนี้ไม่น่าจะใช้ได้ใน touch bar
ตอนตัด video ใน PR ก็ใช้ scroll mouse ที่มีในมือขวาเลื่อนเช่นกันถ้าจะเอาแบบละเอียดเป็นเฟรม
นอกจากคุณจะมีอารมณ์สุนทรีย์จริงๆ
ถ้าเป็นการปกติบนโต๊ะทำงานในออฟฟิศก็อย่างที่คุณว่ามาครับ ที่ผมกล่าวไปหมายถึงการเอาออกไปใช้นอกสถานที่ครับ
จริงๆถ้าคิดว่าจะตัดต่อนอกสถานที่ผมก็พกเมาส์ไปนะเพราะผมทำอยู่ ใช้ Trackpad กับงานออกแบบ/ตัดต่อมันอึดอัดพอตัวเลย
เยอะแยะครับ เอา macbook ไปทำงานที่ไซท์ แล้วเอา wacom intuos ไปด้วย มันสะดวกกว่ามากๆๆๆๆๆๆๆ
surface pro เถอะครับ
555 อันนี้ผมพยายามนึกหาเหตุผลว่าแถบ Touch Bar นี้มันมีประโยชน์อะไรยังไงกับใครนะครับ ซึ่งเท่าที่นึกออกตอนนี้ก็นึกได้แค่นั้นจริงๆ เวลาทำงานแบบเป็นจริงเป็นจังของงานสายนี้ก็จะมีอุปกรณ์เฉพาะในการทำงานของแต่ละสายมากกว่า การมี Touch Bar ดูแล้วก็น่าจะช่วยในด้านการทำตลาดในระดับ consumer มากกว่า แต่เอ๊ะว่าแต่ตลาด consumer ของ Macbook Pro มันมีขนาดมากแค่ไหนกันนะ
ดูแล้วก็ยังไม่ buy อยู่ดีอ่ะครับ ยิ่งตอนดีเจออกมานี่ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องมาเล็งจิ้มปุ่มเล็กๆตรงทัชบาร์ด้วย
touchpad กว้างซะขนาดนั้น แล้วเวลาพิมพ์ อุ้งมือไม่ไปทับหรอกหรือ แต่ที่สำคัญที่สุด ทำไมราคาโหดร้ายจัง แบบนี้หันไปคบหา dell xps ดีกว่าไหม
ผมใช้รุ่นก่อนหน้า ถ้าเอาอุ้งมือลงไปที่ทัชแพดเม้ามันจะไม่เลื่อนเลยครับ ต้องเล็ก ๆ เหมือนนิ้ว มันถึงจะเลื่อน ใหญ่ขึ้นละดีแล้วครับ อันเดิมเวลา 4 นิ้วนี่เต็ม ที่ไม่พอ
เอ้อ จริงด้วยครับ ตะกี้ลองเอาอุ้งมือวางลง touchpad (macbook pro 15 mid 2014) ไม่มีผลจริงๆ ด้วย ไม่ยักกะเคยสังเกตุ
มี Palm Rejection ครับ แม้แต่รุ่นเก่าๆ ถ้าใช้อุ้งมือถู ก็ไม่เลื่อนครับ
รู้สึกย้อนแย้งยังไงไม่รู้ ตอน iPhone บอกกล้าที่จะตัด 3.5mm แต่พอ Mac Book Pro กลับมีซะงั้น
เอาเถอะ มีก็ดีแล้วละครับ 55+
เพราะยังไม่กล้าพอครับ
พื้นที่ไม่จำกัดเหมือนไอโฟนมั้งครับ
iPhone ตัด 3.5 ออก เพราะมันมี Lightning และช่อง 3.5 มันเป็นช่องหูฟังอย่างเดียว
แต่ Macbook Pro ตัวเก่า ช่อง 3.5 มันเป็น TOSLink ด้วยไว้ส่งสัญญาณ Digital แล้วอีกอย่าง Macbook มันไม่มี Lightning Port ถ้าตัด 3.5 ออกแล้วเอา Lightning Port ใส่มันจะออกมาแปลก ๆ นะผมว่า ไม่เกิดประโยชน์อันใด
น่าจะมี 3.5 + lightning port นะ
ตอนนี้ปัญหาคือ คนซื้อ iPhone 7 ไม่สามารถใช้หูฟังกับ MacBook Pros ตัวใหม่ได้น่ะสิ
รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้แอปเปิลทำอะไรไม่ค่อยสอดคล้องกันระหว่าง product เลย - -"
การที่ apple ต้องเสียเงินจำนวนมากไปอุด port ที่ตัวเองไม่ได้ออกแบบให้กันน้ำได้ แถมยังทำเงินกับมันไม่ได้เป็นเรื่องที่ไร้สาระครับ
ถ้าแอปเปิลคิดแบบนี้จริงผมคงหมดความชอบแอปเปิลโดยสิ้นเชิงแล้วละ เพราะมันแปลว่าแอปเปิลคิดว่าเงินสำคัญกว่าผู้ใช้ การลงทุนเพื่อผู้ใช้เป็นอะไรที่ไร้สาระ ผมก็คงไม่คิดจะชอบบริษัทที่ไม่ทำเพื่อผู้ใช้หรอก
อีกอย่าง เรื่องเหตุผลที่ตัดออกตอนเปิดตัว iPhone แอปเปิลก็บอกไปแล้ว ผมก็ไม่ได้ติดใจด้วย แต่ที่ผมรู้สึกย้อนแย้งเพราะว่าทำไมถึงไม่ใช้เหตุผลนั้นในการตัดที่ MacBook ด้วย
ตัดเพื่อทำกันน้ำให้ดีมากกว่า ก็สมเหตุสมผลอยู่ แต่ macbook ไม่จำเป็นต้องกันน้ำ และแมคเป็นอุปกรณ์ที่ควรทำอะไรได้หลายๆ อย่าง
แต่เรื่องตัดพอร์ตหมด อันนี้ก็ไม่ชอบ แต่คิดว่าอีก 2-3 ปี ได้รอบเปลี่ยน macbook pro อุปกรณ์เสริมคงลงตัวกว่านี้
ซึ่งเป็นวิธีคิดที่ถูกต้องแล้วในการพัฒนาสินค้าในอนาคต และอีกอย่างยุคนี้มันเริ่มไร้สายอย่างเต็มรูปแบบแล้ว
ไม่มีมันกันได้ดีกว่า แต่ก็ใช่ว่ามีแล้วจะทำให้มันกันไม่ได้นิครับ ทั้งนี้ผมขอจบประเด็นกันน้ำไปนะครับ เพราะอย่างที่ผมบอกว่ามันไม่ใช่ประเด็นที่ผมจะสื่อครับ
ประเด็นที่ผมจะสื่อคือ... เหตุผลที่แอปเปิลยกขึ้นมาตอนที่ตัดออกครับ ถ้าผมจำไม่ผิดนะ เหมือนจะบอกประมาณว่ามีความกล้าที่จะทำให้เทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้น แต่พอเป็น MacBook กลับไม่ตัดออก นี่แหละที่ผมคิดว่ามันย้อนแย้ง (ถ้าจะเอาเหตุผลว่ามันควรทำอะไรได้หลายๆอย่าง... มันก็ขัดตั้งแต่ที่มันเปลี่ยนเป็น USB-C หมดแล้วละครับ)
แต่เหตุผลที่ยังใส่มาก็น่าจะเป็นตามที่ คุณ nessuchan กล่าวนั่นแหละมั้งครับ?
ในเรื่องของเหตุผลของหูฟังระหว่างเครื่องแม็คกับไอโฟน ผมว่าด้วยลักษณะทางกายภาพนั่นแหละครับที่ทำให้เงื่อนไขของ 2 อุปกรณ์มันต่างกัน ส่วนหนึ่งก็ในเรื่องกันน้ำที่ถกกันไปแล้ว และอีกด้านหนึ่งคือพื้นที่ครับ ด้วยความที่พื้นที่มีจำกัดกว่าการที่จะโดนตัดออกเป็นอย่างแรกๆ ก็เลยดูมีเหตุผลอยู่บ้าง
การใช้งาน touch bar นี่มันจะสะดวกหรอเวลาปรับค่าต่างๆ ใช้ mouse เอาจะไม่ง่ายกว่าหรอ ต้องยกมือไปหา bar อีก
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
ผมว่าสะดวกครับเวลาเป็นแถบรูด แต่ผมว่าจะแย่มากเวลามันเป็นปุ่มที่คลำไม่ได้
ดูมาตั้งนานแล้วเพิ่งนึกได้
มันเปิดเครื่องตรงไหนอะครับ หรือเปิดตำแหน่งเดิมตรง Touch ID ?
Touch ID เป็นปุ่มเปิดปิดครับ
ว่าจะจัดตัวท้อป
ประกาศขายขาซ้ายแปป
สายตัดต่อ สายกราฟิกยิ้มเลย
ผมก็ทำตัดต่ออยู่ครับใช้ไฟนอลคัทเป็นหลัก แต่ยังไม่เห็นประโยชน์อะไรจากทัชบาร์นอกจากทำให้วุ่นวายขึ้น
ยังไงก็สู้คลำปุ่มบนคีย์บอร์ดไม่ได้เพราะไม่ต้องก้มมองคีย์บอร์ด ถ้าใช้ทัชบาร์มันคลำปุ่มไม่ได้ต้องก้มลงมอง การที่เราละสายตาจากจอหลักไปมองอีกจอบ่อยๆบอกเลยว่าทรมาณมากเวลาที่ต้องตัดทั้งวันทั้งคืน แค่ตัด2จอนี่ก็ล้าสายตาเต็มทนแล้ว ถ้าต้องไปมองจอเล็กๆอย่างทัชบาร์อีกตายแน่
เลยไม่เห็นประโยชน์อะไรนอกจากทำมาเพื่อเป็นของเล่นกระแสชั่วคราวแรกๆอาจจะว๊าวกัน แต่หลังจากนั้นยังไงก็สู้ปุ่มจริงๆบนคีย์บอร์ดไม่ได้
ก็มีกันหลายอารมณ์ถูกใจบ้างไม่ถูกใจบ้างผมยังคิด ๆ อยู่ว่าถ้า Steve Jobs ยังอยู่มันจะออกมาเป็นอย่างไร แต่คงเป็นไปไม่ได้ แต่ทิศทางของ Apple ที่บริหารโดย Tim Cook ออกมากในทางนี้ก็ต้องดูกันไปครับ แต่ความคิดเห็นผมคิดว่าราคาแรงง ไปครับ แต่ก็คงไม่แพงไปสำหรับคน อเมริกันหรือ Developers และหรือพวก Pro ที่ต้องใช้มันหาเงินนะครับ
ปรับกลุ่มลูกค้าใหม่มั้งครับ
สงสัยกลัวคนใช้เยอะแล้วจะโหล
ผมเข้าใจถูกไหมว่า "MBP ไม่สามารถเชื่อมต่อผ่านสายของ iPhone ที่เป็นผลิตภัณฑ์ของ Apple เอง" O_o
รอบที่แล้วตัดช่อง 3.5
รอบนี้กระทบหนักตัดช่อง USB
ซื้อสายใหม่สิครับ รออะไร
iPhone ของผม ทุกวันนี้ต่อกับคอมน้อยมากเลยครับ
back up ก็ขึ้น iCloud, Restore ก็ไม่ได้ใช้, sync app นี่เลิกไปเลย ขี้เกียจใช้ก็ลบ พอจะใช้ก็โหลดมาใหม่,
ถ้าจำเป็นจริง ๆ คง WIFI sync เอาก็ได้
มี USB ไว้ชาร์จไฟล้วน ๆ
ผมคิดว่า Apple คงเห็นว่าผู้ใช้หลายคน ก็ใช้ในลักษณะเดียวกันครับ
+1
ผมก็แทบไม่เคยต่อเช่นกัน ทุกอย่างขึ้น cloud หมด
รูป เพลง เอกสาร อยู่บน iCloud หมดเลย ขึ้น cloud ให้อัตโนมัติ
สุดยอดเลยครับ ของบริษัทเดียวกัน ต่อให้ไม่ซัพพอร์ตอุปกรณ์ของตัวเองก็ยังไม่เป็นไร ... แอปเปิลเก่งจริงๆ ที่เข้าใจผู้บริโภคของตัวเองได้ขนาดนี้
my blog
55555 เขาแค่จะสื่อว่า มันไม่ใช่ตัดออกไปดื้อๆ แต่มันมีอย่างอื่นมาทำแทนกันได้แล้วน่ะครับ แต่ถ้าจะมองในแง่ว่าบีบให้ ลค ไม่มีทางเลือก อันนั้นน่ะใช่ครับ
ปกติผมนั่งทำงาน มือถือก็ไม่ได้ซิงค์ข้อมูลลงคอมหรอกครับ เหมือนท่านนั่นแหละ
แต่ผมแค่ใช้มันชาร์จไฟมือถือจากคอม เพราะโต๊ะทำงานมันมีรูปลั๊กน้อย ถ้าแค่จะให้ชาร์จก็ยังต้องซื้อสายใหม่มาพ่วง ผมว่ามันก็ทะแม่งๆนิดๆนะ หวังว่า genหน้า 7s จะให้ adapter ชาร์ทที่เป็น USB Type-C > Lightning นะครับ
ปัญหานี้จะหมดไปครับ ถ้า iPhone เปลี่ยนไปใช้ USB-C
หมดปัญหาทั้งเรื่องการชาร์จ สายพ่วง รวมไปถึงเรื่องหูฟัง
จะเอาหูฟังมาฟังเพลงที แปลงสายไปมา จะบ้าตาย
ของผมเหมือนท่านข้างบนครับ ยังต้องต่อ iphone กับ Mac เพื่อ
- ชาร์จไฟ เพราะปลั๊กจำกัด
- ลากไฟล์วีดีโอ/เพลง/หนังสือจาก Mac ไปดูบน iphone เวลาเดินทาง ดูจบลบ เดี๋ยวก็ต้องมาลากไฟล์อีกละ
หูฟัง iphone 7 ก็ต่อฟังไม่ได้เลยครับ ...
เป็นผลิตภัณฑ์ gen เดียวกัน ... แต่จะทำอะไรกลับต่อตรงไม่ได้
เป็นงานออกแบบที่เกินบรรยาย...
สายแปลงที่แถมมาไงครับ
*อ้าว ลืมไปคนละพอร์ตกัน ถถถถ
ซื้อ Apple Pencil อีกตัวเพื่อเอาหัวแปลง กับสาย Lightning to USB-C แค่นี้ก็ต่อได้แล้ว
แต่เสียงจะออกหรือหูฟังจะบี้มก็อีกเรื่องนะ :P
+1 เป็นอะไรที่เฟลมาก
รู้สึกสายมีนานแล้วนะครับตั้งแต่ 12" ตัวแรก แต่มันไม่แถม T_T
ส่วนตัวคิดว่า .. ใช้เมาส์ ก่ะ แทร๊คแพดต่อไป ง่ายดีนะครับ รู้สึกไม่จำเป็นติองขวนขวาย touch bar เลย
ช็อคกับราคาตั้งแต่เมื่อคืนยังไม่หาย
เห็นพอร์ตแล้ว..... ใช้ Dell เหมือนเดิมต่อไป
จอยังจะลอกอยู่มั้ยครับ เพิ่งส่ง mbp ratina อายุไม่ถึงปีเครมจอไป product หลังๆนี่คุณภาพไม่สมราคาเบยนะครับ
ตอนแรกกะว่าจะรอเปิดตัวแล้วจะถอยใหม่ซักเครื่อง แต่งานมันเร่งเลยเลยตัดใจไปซื้อ mbp 2011 คืนมาจากน้องที่ขายต่อมันไป ครั้งนี้ตัดสินใจถูกแหะ 5555 เครื่องอายุกว่า 6 ปี แบตยังเกือบ 2 ชั่วโมงอยู่เลย
จอไม่ลอกแล้วนะแต่หน้าร้อนที่ผ่านมาเครื่องผมวางตากแดดทิ้งไว้ มีอาการแบตบวมฝาปิดไม่สนิดแทน -__-"
MacBook 12 นิ้ว 2015 ของผมลอกไปแล้ว
I'm ordinary man; who desires nothing more than just an ordinary chance to live exactly what he likes and do precisely what he wants.
อุตส่าห์รอตั้งแต่มีนา สเปคออกมาต้องบอกว่าหงายหลังตกเก้าอี้เลยครับ
SDXC และ USB3 port สองการเชื่อมต่อนี้มันจำเป็นสำหรับคนทำงานมากๆนะครับ
น่าสนใจที่พยามทำ adaptive function row ตอบสนองต่อแอพได้เจาะจงมากขึ้น
แต่คำถามก็คือ มันทำให้ใช้งานง่ายขึ้นจริงหรือ
พวก dev ที่ต้องบ่นระงมแน่นอนเพราะใช้นิ้วคลำหาปุ่มไม่ได้แล้ว
หรือเวลาจะใช้งานกับแอพอะไรก็ต้องละสายตาจากจอเพื่อมาเล็ง function row ที่มันก็ไม่ได้เล็งง่ายอะไรเลย ใช้ mouse cursor ดีกว่ามาก
เวลาทำงานแล้วจะต้องกด ESC + xx ผมว่าทุกคนจะต้องวางนิ้วบนปุ่มก่อน (ออกแนวคลำ) แล้วค่อยออกแรงกดแน่นอน ทีนี้ ถ้าเป็น touchbar ก็จะวางนิ้วก่อนไม่ได้แล้วสิ เพราะมันคือ touch ผมว่ามีปัญหาการปรับตัว (อย่างมาก) ตามมาแน่นอน โดยเฉพาะ dev
ทีนี้ถ้าจะหา keybord แยกมาใช้ แล้ว touchbar ก็ไร้ความหมายไปเลย มีมาเพื่อเพิ่มเงินแบบไม่มีประโยชน์ และก็เห็นด้วยกับการที่ต้องละสายตาจากจอ เพื่อที่จะมาเล็งตัว touchbar ไม่ได้ทำให้ใช้งานง่ายขึ้นเลย
เป็นไปได้ว่า บนเวทีงานสัมนาหรืองาน workshop ต่างๆ จากเดิมที่จะเห็นเหล่า dev มี macbook วางเพื่อ demo ก็อาจจะมีน้อยลงแล้วเพราะย้ายค่ายกันหมด
มาซะที รอจัด
เทียบกับ SFB ที่ออกมาก่อน 3 ชาติ ยังดูโบราณเลย
ดูจากเม้นแล้วกระแสตอบรับดีทีเดียวนะครับเนี่ย
SFB มีหนาวๆละครับ ราคาพอกันเลย...
ว้าวเลย เห็นราคาแล้วว้าววเลย...
ส่วนตัวคิดว่า touch bar น่าจะประยุกต์ใช้ประโยชน์ได้เยอะอยู่
แต่เรื่อง port นี่คงต้องรอดูกันต่อไป
คงไม่เหมาะกับผม
มีคนบ่นเยอะว่าสินค้า Apple เดี๋ยวนี้ไม่ Wow เลย เมื่อคืนเลย Wow กันจริงๆเลย อึ้งด้วย ตัด magsafe ออก กับปรับราคาโหดขึ้น เลยร้อง Wow กันระงมเลย
หรือว่าเพราะข่าวเรื่องโดนฟ้องภาษีในยุโรปเนี่ย
ดูวิดีโอ surface studio แล้วรู้สึกว้าวว แต่ก็ทึ่งกับราคา
พอมาเจอ macbook pro รู้สึกเรื่องราคาสูงนี้ ไม่ว้าว กลายเป็นของธรรมดาไปเลย
อย่าน้อยก็ถูกกว่า M$ สินะ สินะ สินะ T_T
trackpad ใหญ่มาก น่าเสียดายที่ตัดพอร์ตซะเกลี้ยงพวก USB type-A ,HDMI, mini display port
บ่นไปงั้นแหละ ไม่มีตังค์หรอก ขนาด surface pro 3 ยังมือ 2 เลย :P
ตัวมี Function Key ดันกั๊ก port อีก แต่แบตให้เยอะกว่านิดหนึง 54.5 Wh. กับ 49.2 Wh.
ถ้าชาร์ต 4 ช่องพร้อมกันมันจะเป็น Fast Charging รึเปล่า 555
อย่างฮา 555555
radeon pro 450 นี่มันประมาณไหนของ Nvidia ครับ
ถ้าวัดจากเว็บนี้
http://gpuboss.com/gpus/Radeon-RX-460-vs-GeForce-GTX-750-Ti
RX 460 นี่ จริงๆ ควรจะไปเทียบกับ middle อย่าง GTX 960 นะครับ
แต่ปรากฏว่า... เทียบ RX 460 กับ 750Ti ตัวเก่า บางเทสยังแพ้เลย
แล้ว RX 450 ล่ะ.................
edit เจอเพิ่มเติม
GPU Peak Performance Compute Units Stream Processors
Radeon Pro 450 1 teraflop 10 640
Radeon Pro 455 1.3 teraflops 12 768
GTX 750Ti
Shading units 640
Texture mapping units 40
Render output processors 16
Pixel rate 16.32 GPixel/s
Texture rate 40.8 GTexel/s
Floating-point performance 1,305.6 GFLOPS
ใกล้เคียงกันมากเลย
Radeon pro มันไม่ได้ต้องเอามาเทียบกับ quadro หลอครับ
เทียบ Quadro จริงๆต้องเป็น FirePro ครับ
Radeon Pro นี่เพิ่งออกมาเป็นไลน์ใหม่
เหมือนเป็นลูกครึ่งของ Radeon กับ FirePro
มันอยู่ในไลน์โปรดักส์ gpu workstation นี่ครับไม่ใช่ว่ามันมาแทนแบรนด์ firepro เหรอครับ
ตามข่าวนี้ครับ
https://goo.gl/XHzQcT
GTX 860m < Radeon Pro 450 < GTX 960M
The Dream hacker..
ไม่ทราบว่า หลายท่านที่ comment เรื่องราคาไว้ในข่าว Surface Book จะคิดเห็นกันอย่างไรครับนี่
MS ชนะน็อคแทบทุกประตู
รวมทั้งราคาด้วย ฮ่าๆ
+1 ฮ่า ๆ
สายถ่ายภาพ ต้องพก Card Reader + Adapter แปลงเป็น Type-C
Wow จริงๆ 555
เกรงว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเหมือนตอนที่บีบ Steve Jobs ออกแต่ต่างกันตรงที่คราวนี้เรียกกลับมาไม่ได้อีกแล้ว
+1 ผมเห็นเคาลางเดิมจะกลับมาครับ เหมือนตอนนี้ออกอะไรมาแบบว่าคิดได้ไง จะทำมาขายหรือทำมาโชว์ ไม่สุดสักอย่าง
งั้นเอา Steve Wozniak กลับมาแทน
จริงๆ ตรงTouch Bar ออกแบบการใช้งานได้ค่อนข้างน่าสนใจเลยทีเดียว ดูมีประโยชน์กว่าไอ้Force Trackpad ก่อนหน้านี้เยอะ
แต่ทำใจไม่ลงกับไอ้พอร์ตสารพัดประโยชน์ที่จงใจดันแบบสุดลิ่มทิ่มประตูเกินไปนี่แหละ สมัยตัดDVDนี่ยังพอว่า เพราะการใช้งานของคนในตอนนั้นDVDมันก็โดนแทนที่ด้วยFlashdriveไปซะเกือบหมดแล้ว แต่นี่ปัจจุบันมันดูเหมือนมีอะไรมาแทนที่Flashdriveรึยัง
และไม่รู้ว่าจะบ้าความบางอะไรกันนักกันหนา เครื่องแบบเดิมมันก็ลงตัวอยู่แล้ว ไม่ได้หนาเตอะเทอะทะอะไรมากมาย วิธีทำใหบางก็ยังมีอีกเยอะที่ไม่ใช่การตัดพอร์ต เพราะดูๆไปแล้วเครื่องใหม่ขอบสันแนวตั้งมันก็ไม่ได้บางลงมากมาย สังเกตได้จากตรงบานพับ หนาเกือบเท่าเดิม แต่ด้านข้างดันปาดเว้าขึ้นให้ดูบางลง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไปทำไม ทำมาให้คนเข้าใจว่าที่เราต้องตัดพอร์ตเดิมทั้งหมดออกและแทนที่ด้วยพอร์ตใหม่ เพื่อที่Macbook Pro จะได้มีขอบที่บางลง ??? แทนที่จะทำขอบบาง ทำส่วนโค้งให้บางลงดีกว่ามั้ยทั้งในส่วนจอ และตรงฝาล่างเลย
ต่อไปAppleคงจะไม่มีอะไรที่จบในตัวเหมือนเมื่อก่อนแล้วสินะ ซื้อเครื่องมาก็เตรียมทำใจซื้อสารพัด Adapter อีกได้เลย
มี flashdrive dualUSB ครับ :p
ถถถถถ
MS google จัดงานเปิดตัว 2 ชม. คุย 2 วันจบ แต่พอเป็น apple จัดงาน คุยกันได้เป็นเดือน
เสียดายไม่น่าตัด magsafe ช่องเสียบการ์ด และไฟโลโก้ออกเลย
สะเทือนใจหนักมาก ถ้าเอาไว้ราคานี้ พี่ยังทำใจได้ แต่นี้ตัดของพี่ทิ้งละยังขึ้นราคาอีก เซง
ผมเสียดายไฟ logo สุด แบบไม่อยากได้ไปเลย ไปซื้อรุ่นเก่าดีกว่า
ผมรอรีวิว 15" 2015 vs 15" 2016 ละครับ ถ้าไม่ต่างมากผมว่าจะซื้อตัวเก่า ลากไปอีกสี่ปี รอมาตรฐานตัวนี้นิ่ง ค่อยอัพตาม ,บางทีนำมากๆก็กลายเป็นซื้อความเสี่ยงว่าจะแป็กไปกับ Apple รึเปล่า
ทั้งชมทั้งบ่นไปเยอะละ ผมว่าที่ใส่ USB-C (Thunderbolt 3) มาให้ทั้งหมดแบบนี้ถ้าใช้ต่ออกับอุปกรณ์ที่รองรับตรงๆ ไม่ต้องต่อ Adapter ไปซะทุกอย่าง(คงดูเหมือนหนวดปลาหมึก) มันก็ดูเป็นอะไรที่น่าสนใจดีครับ
แต่คงไม่ใช่ในช่วงปีสองปีนี้ ที่เวลาใช้คงลำบากน่าดูเพราะอุปกรณ์เก่าๆก็ต้องพึ่ง Adapter ตลอด นี่ยังไม่นับถึงคนที่ทำงาน IT ด้วยกันกับผมตอนนี้ หลายคนยังไม่รู้จัก USB-C เลยครับ
ถ้าแอปเปิลไม่ทำรอบนี้ มันอาจจะเป็นช่วง 4-5 ปีครับ
ถ้าแอปเปิลทำรอบนี้ มันอาจจะเป็นช่วง 1-2 ปีครับ
ถึงยังไงผมก็ยังไม่ค่อยเห็นด้วยที่จะใช้ USB-C เป็น port หลักเสียเท่าไหร่ เหตุผลเดียวกับเรื่องการใช้ Lightning แทนหูฟังนั่นแหละครับ ไม่ใช่เรื่องประสิทธิภาพของมัน แต่เป็นลักษณะทางกายภาพกับการใช้งาน
อย่างหูฟังจะเห็นได้ชัดว่า 3.5mm มันใหญ่ เข้าไปได้ลึกแน่น และหมุนได้ สะดวกกว่า Lightning ที่ดูแล้วจะหลุดง่ายกว่าพอสมควร เช่นเดียวกับ USB-A ที่ผมว่ามันดูแข็งแรงและแน่นมากกว่า USB-C (แต่ผมก็ไม่เคยได้ยินเคส USB-C มีปัญหาเหมือนกัน อาจจะคงทนและแน่นกว่าที่คิดก็ได้)
ก็ต้องรอดูว่าผู้ผลิตเจ้าอื่นจะเล่นด้วยรึเปล่า ระหว่างออกอุปกรณ์สาย USB-A พร้อมอแดปเตอร์แปลงจาก A (Female) ไป C (Male) สำหรับใช้กับพอร์ต USB-C (ลักษณะเดียวกับ OTG ซึ่งมีให้เห็นในตลาดพอสมควร) หรือจะตรงกันข้ามออกอุปกรณ์สาย USB-C พร้อมอแดปเตอร์แปลงจาก C (Female) ไป A (Male) สำหรับใช้กับพอร์ต USB-A แทน (ซึ่งมีในตลาดน้อยอยู่)
เรื่องหัวไม่มีปัญหาหรอก ผมซื้อ 12" ไว้พกไปเที่ยวอยู่ครับ C ใช้ดีมาก หัวเสียบดีมากสนิทแน่นไม่รู้สึกว่ามีปัญหาอะไรนะ ส่วนสายนอกค่ายไปลุ้นคุณภาพเอา
เสียอย่างเดียวอุปกรณ์ยังน้อยไปสำหรับคนส่วนมากมั้ง ผมเสียบ USB ปีไม่เกิน 5 ครั้ง external HDD ใช้แบบ wireless งานส่งผ่านเมล์ไม่ก็โยนผ่าน airdrop เลยไม่มีปัญหาอะไร 12" ได้ข้อดีอีกอย่างคือผมเสียบชาร์จในรถได้สะดวกมากแต่ถ้ารุ่นใหญ่ชาร์จไปเป็นชั่วโมงก็คงแทบไม่ขึ้น
ผิดหวังเว้นช่วงตั้งนาน
ว่าจะตามไปอ่าน Comment Youtube ถูกปิดซะงั้น
comment Youtube ของ Apple ปิดมาทุกคลิปนะครับ
จะดีกว่านี้ ถ้าเก็บปุ่ม Function ไว้ แล้วใส่ไอ้ Touch bar มาตรงล่าง keyboard แทน
จะดีกว่านี้ ถ้าเปลี่ยน Touch pad ให้เป็น LCD ไปเลย อันนี้เด็ดสุด แต่ราคาไม่อยากจะคิด
จะดีกว่านี้ ถ้าเก็บ USB-A ไว้ให้ซัก port ก็ยังดี ไม่น่าตัดออกหมด USB-C ทำดีแล้ว
นั่นสิ ใกล้มือกว่าอีก ทำไมน้า
เอามาไว้ข้างล่างยิ่งรกสิครับ keyboard ใหญ่ขึ้น เเถวมากขึ้น เเค่คิดง่ายๆว่าเวลาพิมพ์เเล้วให้มันเดาคำก็ไม่เวิร์คละครับ มือบัง touch bar ซะงั้น
เรื่องขนาดผมมองว่า แค่ลดขนาด Touch pad ให้มันเล็กกว่าปัจจุบันซัก 10% ก็ใส่ได้แล้วครับ เห็น Touch pad รุ่นนี้แล้วบอกเลยว่า พี่จะใหญ่ไปไหน (หรือมีผมคนเดียวที่ไม่มีปัญหากับขนาดของ Touch pad รุ่นเก่า)
Touch bar ผมมองว่ามันก็มีประโยชน์นะ แต่กรุณาเอามาให้มันใกล้ๆมือหน่อยเถอะ คิดภาพมือขวาจับเมาส์ มือซ้ายต้องคอยกด Hotkey แล้วต้องเลื่อนไป Touch bar อีก ผมว่าเมื่อยอะครับ
ใจผมจริงๆอยากให้เอา Touch bar ออก แล้วเปลี่ยน Touch pad เป็น LCD มากกว่า ใหญ่กว่า ทำอะไรได้มากกว่า และจะสะดวกมาก เวลามือขวาจับเมาส์ มือซ้ายอยู่บน Touch pad , keyboard
แล้วคนที่ไม่ใช้เมาส์แยกล่ะครับ???
ก็ปิด LCD ใช้งานเป็น Touch pad ปกติสิครับ ?
หรือมีผมคนเดียวเวลาทำงานจริงจังต้องใช้เมาส์ ?
ผมต่อเมาส์แค่ตอนเล่นเกมครับ นี่ไม่ได้ต่อมาหลายเดือนแล้ว อาจารย์ผมที่ใช้ mac ก็ซื้อทัชแพดแยกมาต่อ mac mini นะครับไม่มีเมาส์
แล้วคิดว่าแบบไหนเป็นคนส่วนมากครับ
ทำงานโดยใช้ Touchpad หรือทำงานโดยใช้ Mouse ?
ถ้าทำ laptop touchpad ให้เป็น LCD มันก็เปิดปิดได้นี่ครับ หรือต้องการให้มันเปิดค้างเลย ?
ผมงงหรือคุณงงครับเนี่ย
ผมไม่ได้คิดว่าฝั่งไหนเป็นคนส่วนมากครับ แต่ในเมื่อมันมีคนใช้ทัชแพดอย่างเดียวอยู่ไม่น้อยด้วย มันจะทำให้ "ทำงานไม่ได้" ครับ ใช่ครับว่าทำ touchpad เป็น LCD มันก็เปิดปิดได้ครับ แต่ถ้าแบบนั้นแล้วจะลากเมาส์พร้อมกับลากปรับจอที่ว่าได้ยังไงครับ?
โอเค ผมเข้าใจคุณละ คุณจะบอกว่ากรณีถ้าไม่ใช้ external input มันจะใช้งานเป็น LCD ไมได้ ? ผมเข้าใจถูกไหม ?
งั้นผมถามก่อนว่า ถ้าจะสร้างไอ้ LCD touchpad นี่ขึ้นมาเพราะอะไร ? มุมมองผมคือเพิ่ม productivity แล้วเอาจริง คนที่ทำงานสาย retouch หรือ ตัดต่อ หรืออะไรแนวๆนี้ที่ "ทำเป็นอาชีพ" คือทำเป็นกิจลักษณะ ผมยังไม่เคยเจอใคร "ไม่ใช้" external input device เลยซักคน นี่พูดจากคนที่เคยทำงานสาย production มาก่อนนะครับ
ผมมองว่า ถ้าคุณไม่ได้ใช้ external input คุณก็ปิด lcd ไป ใช้งานได้แบบเดิม
แต่ถ้าคุณใช้ คุณเพิ่ม productivity ให้งานได้ด้วยการเปิดใช้งานมัน
ส่วนตัวผมชอบแนวคิด touchbar นะแต่มันยังทำอะไรได้น้อยไปหน่อย
คือผมจะบอกว่ามันใช้งานได้ลำบากเพราะต้องสลับไปมา (กดคีย์ลัดสลับกับเลื่อนเมาส์) รวมถึงใช้งานไม่ได้เลยในหลายๆ กรณีที่ต้องใช้พร้อมกันน่ะครับ (เช่นปรับค่าพร้อมกับลากไปด้วย)
คือถ้ามองในแง่ที่ใช้เฉพาะสาย retouch แบบที่ท่านว่าก็คงใช่ครับ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ใช้แบบนั้นและการที่ทำให้มันใช้งานไม่ได้ถ้าไม่ต่อ external input นี่เรียกว่าใส่มาเสียของเลยนะครับ (คือใส่ของดีมาที่ใช้ได้ลำบากสำหรับคนส่วนนึงที่จำนวนไม่น้อยเหมือนกัน) ผมเห็นคนจำนวนไม่น้อยพก MacBook ไปใช้งานนอกสถานที่แบบพวกร้านกาแฟอะไรแบบนี้ก็ไม่ได้ต่อเมาส์กัน
คือผมไม่เคยเห็นใครหิ้ว Macbook ไปตามร้านกาแฟแล้วทำงานแบบจริงๆจังๆเลยนะครับ ผมเห็นแต่ email , excel , powerpoint อะไรพวกนี้
เอาจริงๆตัวผมเองถ้าไปร้านกาแฟ หรือร้านอาหาร หรือประชุมนอกสถานที่ ก็ไม่ได้ใช้ความสามารถพวกนี้เหมือนกัน
จริงๆทางแก้อันนี้ก็ไม่ยาก ทำ hard switch มาซักตัว แบบปุ่มปิดเสียงใน iPhone จะเปิด lcd ก็เขี่ยสวิต จะปิดก็เขี่ยอีกที ผมว่าจบแบบสวยๆ
แต่อย่างที่บอกครับ คนในสาย production ได้ใช้แน่ๆ ผมมองว่ามันก็เหมือน touchbar แหละครับ คนใช้ Macbook ตามร้านกาแฟ คงไม่ได้สนใจ touchbar เท่าไหร่ มีก็ดี ไม่มีก็ได้ อะไรแบบนี้
ใช้ email, excel, powerpoint ก็ไม่ใช้ความสามารถพวกนี้เหรอครับ? หรือกระทั่งพวกนี้คือพอหิ้วออกไปใช้นอกบ้านแล้วต้องไม่ใช้หรือมาทนสลับเปิดปิดทัชแพดเลย?
ผมไม่ได้บอกว่าไม่เอา Touch ID นะครับ หรือผมบอกตรงไหนหว่า ?
ถ้าใช้ email, excel, powerpoint แล้วต้องการอะไรจาก LCD touchpad หรือ touchbar เหรอครับ ?
จากลิงก์ที่แปะนั่นผมก็ไม่ได้หมายถึง touch ID นะครับ ผมหมายถึง touch bar นั่นแหละ
https://blogs.office.com/2016/10/27/office-for-mac-adds-touch-bar-support/
เคยดูแล้วครับ แล้วก็คิดเหมือนเดิมว่ามันไม่จำเป็นซักเท่าไหร่สำหรับงาน Office
เหมือนไอ้ขอบโค้งของ S7 Edge เลย คือมีก็ดี ไม่มีก็ไม่รู้สึกอะไร
การตัดอะไรออก มันมี consequence อยู่แล้วครับ เหมือนที่เอาปุ่ม Fn ออกแล้วเอา Touchbar ใส่มาแทน
ท่านเคยเห็น Physical tools สำหรับงาน Office ไหมละครับ ? แต่สาย Production มี Tools พวกนี้เยอะมาก ท่านคิดว่างานสายไหน ต้องการ Tools พวกนี้มากกว่ากันครับ ?
สาย Production(เก่า) อย่างผมดูแล้ว ไหนๆก็จะมาแนวนี้แล้ว เอาที่มันใช้งานได้หน่อยจะดีกว่า
ในความเห็นผมคือถ้าเป็นแบบนั้นมันเฉพาะทางเกินไปที่จะใส่มาสำหรับทุกเครื่องและงัดมาเป็นจุดเด่นครับ
อันนี้โอเคครับ เข้าใจตรงกันแล้วแต่ความเห็นไม่เหมือนกันเฉยๆ
ถกกันสนุกๆครับ ยังไง Apple ก็ไม่ฟังเราอยู่ดี (ฮา)
ผมว่าตอนนี้ Apple โคตรจะหลงทางเลยละครับ
จะว่าไปก็ไม่มีเจ้าไหนฟังเราครับ orz แต่รู้สึก Apple หลงมากหน่อย ไม่แน่ว่าถ้าหลังจากปล่อยทุกอย่างออกมาครบอาจจะว้าวก็ได้นะครับ (แค่อาจจะต้องรอส่วนประกอบครบ)
....