เมื่อปี 2012 Pebble Technology เริ่มโครงการ Pebble Watch บน Kickstarter และสร้างปรากฏการโครงการที่มีผู้สนับสนุนมากที่สุดในเว็บ (ปัจจุบันโดนแซงโดยโครงการ Pebble Time โดย Pebble Technology เช่นกัน)
เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา Pebble Technology ประกาศขอสนับสนุนโครงการใหม่คือโครงการ Pebble2, Time2 ซึ่งเป็นการอัพเกรดอุปกรณ์เดิมให้ดีขึ้นและเพิ่มคุณลักษณะ การตรวจวัดการเต้นหัวใจ และ ระบบปฏิบัติการ Pebble OS รุ่น 4.0 ที่เน้นความสามารถไปทางด้านสุขภาพและกีฬา เพื่อให้ใช้ความสามารถของ Pebble Watch ได้มากขึ้น
คำเตือน ภาพเยอะมาก
ราคาสำหรับผู้สนับสนุน Pebble2 บน Kickstarter อยู่ที่ $99 (เริ่มจัดส่งเดือนกันยายน) และ การขายจริง อยู่ที่ $129 โดยมีสีให้เลือก 5 สีคือ Black, White, Charcoal Flame, Aqua White และ Charcoal Lime
ภาพจาก Kickstarter
ผมเองได้สนับสนุนโครงการ Pebble2 โดยเลือกตัวเรือนและสายสีดำ ซึ่งระหว่างการผลิตได้เกิดความล่าช้า เนื่องจากมีไต้ฝุ่นเข้าเมืองที่เป็นผู้ผลิตในจีน ส่งผลให้การส่งสินค้าล่าช้า ประกอบกับวันหยุดยาวช่วงวันชาติจีน โครงการจึงเริ่มจัดส่งสินค้าล็อตแรกล่าช้าไปกว่า 1 เดือน โดยผู้สนับสนุนที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาจะได้รับสินค้าก่อน สำหรับโซนเอเชียเริ่มจัดส่งในเดือนพฤศจิกายน ช้ากว่าสองเดือนจากกำหนดการ
สินค้าถูกจัดส่งโดย UPS (มีอีเมลแจ้งการส่งพัสดุมาจาก UPS ด้วย) และส่งต่อด้วยไปรษณีย์ไทยอีกทอดหนึ่ง ผมได้รับพัสดุจากไปรษณีย์ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน พัสดุถูกห่อด้วยกันกระแทกอย่างดี
กล่องของ Pebble2 เป็นกล่อง 2 ชั้น ชั้นนอกจะเป็นฉลากแสดงคุณลักษณะ คล้ายกับที่ประกาศบนเว็บ Kickstarter โดยมีลูกศรชี้ลำดับการแกะอย่างชัดเจน เมื่อดึงกล่องชั้นในลงมา ก็จะพบกับกล่องสีขาวพร้อมข้อความ Hello และคำสวัสดีในประเทศต่างๆ
ภายในกล่องประกอบด้วย ตัวเรือน Pebble2 สายรัดข้อมือ และ สายประจุไฟ โดยมีขั้นตอนประกอบอยู่บนฝากล่อง
เมื่อเปิด Pebble2 มา นาฬิกาจะบังคับให้เราจับคู่กับโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ติดตั้งแอพพลิเคชั่น Pebble ก่อนใช้งาน (ขณะใช้งานไม่จำเป็นจะต้องเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ตลอดเวลาก็ได้) การเชื่อมต่อทำงานผ่าน Bluetooth 4.1 และไม่มีภาษาไทยมาให้เลือกตั้งแต่แรก (สามารถหาวิธีอัพเดตภาษาไทยภายหลังได้)
การติดตั้งครั้งแรกไม่ยากนัก แต่ใช้เวลาขณะรอปรับรุ่นเฟิร์มแวร์นิดหน่อย ซึ่ง Pebble2 จะประสานเวลาบนเรือนตามเวลาบนโทรศัพท์ให้อัตโนมัติ และใช้หน้าปัดเรือนมาตรฐานเป็นแบบอักษรเวลาดิจิทัล
ในด้านการออกแบบตัวเรือน Pebble2 ทำมาจากพลาสติก มีมิติอยู่ที่ 39.5 x 30.2 x 9.8 มม. บางกว่า Pebble รุ่นแรกอยู่เล็กน้อย ดูเป็นเหลี่ยมมุมมากขึ้น ปุ่มกดยังคงเป็นแบบ 4 ปุ่ม และวางในตำแหน่งเดิม แต่เปลี่ยนจากปุ่มพลาสติกเป็นปุ่มยาง ซึ่งปุ่มบางลงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ทำให้กดลำบากแต่อย่างใด
ความเห็นส่วนตัวผมคิดว่ารูปทรงค่อนข้างคล้ายคลึงกับ casio F-91W หน้าจอเป็น E-paper แสดงสีขาว-ดำ ขนาด 1.26 นิ้ว ความละเอียด 144 x 168 จุด เท่าเดิม ซึ่งข้อดีของ E-paper คือหน้าจอจะแสดงผลตลอดเวลา ซึ่งการใช้งานทั่วไปพบว่าหน้าจอมีความเปรียบต่างที่ดีขึ้น หน้าจอมีการตอบสนองเร็วขึ้นจากรุ่นแรก ภาพเคลื่อนไหวดูลื่นไหลต่อเนื่อง กลางแดดจ้าสามารถมองเห็นตัวเลขได้ชัด
ส่วนในเวลากลางคืน ไฟส่องสว่างจอเป็นสีขาว ไม่จ้าและไม่มืดจนเกินไป ไฟจะทำงานเมื่อกดปุ่มหรือเขย่าแขน หน้าปัดใช้กระจก Gorilla Glass 3 ซึ่งทำให้หน้าปัดทนทานต่อรอยขีดข่วนมากขึ้นและลดแสงสะท้อนลงเมื่อเทียบกับรุ่นแรก
สายรัดข้อมือที่ให้มาทำด้วยซิลิโคน มีความนิ่ม และไม่เป็นรอยกดทับเวลาสวมใส่เวลานาน ตัวเรือนเป็นเขี้ยวสลักแบบ 22 มม. ทำให้สามารถเปลี่ยนไปใช้สายนาฬิกาทั่วไปตามท้องตลาดได้
ตัวเรือนถูกออกแบบให้กันน้ำได้ถึง 30 เมตร ตามมาตรฐาน ISO 22810 ซึ่งสามารถโดนฝน ว่ายน้ำ และใส่ทำกิจวัตรได้โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าน้ำจะเข้านาฬิกา
การควบคุม Pebble2 ทำได้จากปุ่ม 4 ปุ่มด้านข้างตัวเรือน โดยด้านซ้ายเป็นปุ่มออก และเปิดไฟ ด้านขวาจะมีปุ่มขึ้น ลง และปุ่มกลางเป็นการกดเข้าไปยังรายการ เมนูของ Pebble2 ถูกออกแบบมาให้เข้าถึงโดยการเลื่อนขึ้นลง เป็น Timeline การตั้งค่าไม่ซับซ้อน แต่ไม่สามารถตั้งค่าตัวเรือนผ่านแอพบนโทรศัพท์ได้ (แต่บาง Watch Face ต้องตั้งค่าบนโทรศัพท์)
ในส่วนของการตอบกลับข้อความด้วยเสียงโดย Alexa สามารถฟังได้แต่ภาษาอังกฤษ โดยทั่วไปสามารถตอบเป็นประโยคสั้นๆได้ ซึ่งในส่วนนี้คิดว่ามีประโยชน์สำหรับคนที่ขับรถอยู่ ซึ่งจากที่ลองใช้ สามารถตอบกลับบน Facebook Messenger และ Line ได้ (แต่เป็นภาษาอังกฤษ)
ภาพจาก Kickstarter
ตัวเครื่อง Pebble2 ถูกบรรจุด้วยหน่วยประมวลผล ARM Cortex M4 และ แบตเตอรี่ขนาด 130 mAh ที่ใช้งานได้ต่อเนื่องนาน 7 วัน ภายใต้การใช้งานปกติ จากการใช้งานของผมพบว่า 1 วันใช้งานแบตเตอรี่ราวๆ 15% นั่นหมายถึงเราจะใช้งานได้ประมาณ 6 วันก่อนที่ Pebble2 จะเข้าโหมด Low Battery ซึ่งจะทำงานเป็นนาฬิกาธรรมดาอีก 1 วัน ก่อนที่แบตจะหมด ทำให้ Pebble2 เหมาะที่จะใส่ขณะนอนหลับเพื่อให้ Pebble2 บันทึกการนอนหลับของเราได้เกือบทั้งสัปดาห์ เทียบกับ Apple Watch ที่จะต้องถอดมาประจุไฟทุก 2-3 วัน สำหรับคนที่ถอดไว้ประจุไฟตอนเข้านอน ทำให้ข้อมูลการนอนขาดช่วงบ่อยเกินไป
ในส่วนกลไกการสั่นเตือนบนตัวเรือนถูกปรับใหม่ ให้ความรู้สึกคล้ายโดนเคาะโดย Taptic Engine และบางครั้งหากสวมใส่ขณะเล่นกีฬา หรือ มีการสั่นไหวจากการเดินทางก็เบาจนแทบไม่รู้สึก การแจ้งเตือนของ Pebble2 จะแสดงทับ Watch Face ส่วนระยะส่งข้อมูลของ Pebble2 ขึ้นอยู่กับสิ่งกีดขวาง แต่ทั่วไปสามารถเดินไปมาภายในบ้านได้ 1-2 ห้อง โดยที่การเชื่อมต่อไม่หลุดจากโทรศัพท์ที่วางไว้
ช่องประจุไฟอยู่ท้ายเรือนเหนือไฟวัดชีพจรเล็กน้อย และเป็นแม่เหล็กช่วยให้การติดสายประจุไฟได้ง่ายขึ้น และสามารถติดสายประจุไฟได้จากสองด้าน ในตัวกล่องไม่ได้มอบตัวแปลงไฟไว้ให้ แต่สามารถใช้ตัวแปลงไฟของโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่วไปได้ (1A) ใช้เวลาประจุไฟจนเต็มประมาณ 45 นาที
จุดเด่นของการปรับรุ่น Pebble2 นั่นคือการเพิ่มคุณสมบัติการตรวจนับชีพจร ผ่านเซ็นเซอร์แสง ที่ติดตั้งอยู่ด้านหลังตัวเรือน ซึ่งหากพลิกมาดูจะพบว่าอุปกรณ์จะนูนจากท้ายเรือนอยู่เล็กน้อย และมี LED สีเขียวขนาดเล็กอยู่ 2 ดวง ซึ่งจะทำงานระหว่างตรวจนับชีพจร โดยปริยายของนาฬิกาจะทำงานทุก 15 นาที แต่จะทำงานต่อเนื่องอัตโนมัติเมื่อเราวิ่ง หรือ เข้าแอพพลิเคชั่น Health (กดขึ้น) จากการเปรียบเทียบกับ Apple Watch Series2 พบว่าการตรวจจับชีพจร มีความคลาดเคลื่อนกันอยู่เล็กน้อย
เมื่อลองเทียบกับเครื่อง Pulse Oximeter ที่ใช้ในโรงพยาบาล (Philips Heartstart MRx) พบว่า Pebble2 มีความคลาดเคลื่อนอยู่ไม่มากนัก (ระดับบวกลบ 5 ครั้งต่อนาที) เพียงพอสำหรับใช้วัดชีพจรในการออกกำลัง จุดสังเกตคือการที่อุปกรณ์ตรวจนับชีพจรนูนออกมา ทำให้เกิดรอยกดทับหากใส่นาฬิกาเป็นเวลานานๆ และ การใส่นาฬิกาไม่แน่น ทำให้การตรวจวัดชีพจรมีความผิดเพี้ยนสูง
คุณสมบัติในการติดตามการนอนหลับ จากการใช้งานพบว่า ตัวเครื่องจับการนอนหลับได้ค่อนข้างแม่นยำ ข้อมูลการเดิน และ การนอน จะถูกส่งกลับมายังโทรศัพท์เคลื่อนที่ และสามารถเลือกที่จะเชื่อมกับ Google Fit หรือ Apple Health Kit ได้ (ข่าวร้ายสำหรับสาวก Microsoft ที่ยังไม่รองรับโทรศัพท์ Windows Mobile)
ข้อดี
ข้อเสีย
ข้อสังเกต
สรุป
Pebble2 เป็นนาฬิกาอัจฉริยะที่ดี มีความสามารถพื้นฐานตามนาฬิกาอัจฉริยะทั่วไปในท้องตลาด แต่ด้วยราคาที่ถูกกว่าและสามารถแก้ไขให้อ่านภาษาไทยได้ ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่ต้องการนาฬิกาอัจฉริยะที่หน้าจอแสดงตลอดเวลา ใช้งานต่อการประจุได้ยาวนานมาก การอัพเกรดไปใช้กระจก Gorilla Glass 3 ทำให้ตัวเรือนดูเนี้ยบขึ้นจากรุ่นแรก ตัวเรือนเป็นพลาสติกแต่ก็ดูแข็งแรงดี รวมไปถึงสามารถใช้สายนาฬิกาตามท้องตลาดได้
ข้อเสียคือคุณสมบัติด้านสุขภาพที่ยังสู้นาฬิการะดับเรือธงไม่ได้ และ การตรวจจับชีพจรที่ยังคลาดเคลื่อนอยู่เล็กน้อย
Comments
ภาษาไทย ยังไม่รองรับอีกหรอเนี่ย
รองรับแต่ต้องลงแยก
ต้องบอกว่าไม่มี font ภาษาไทย ต้องไปลง font เอง (จะว่าไม่รองรับก็ได้ถ้ามองในมุมต้องมาลงเอง)
อีเมล์ => อีเมล
อัพเดท => อัพเดต / อัปเดต
โทรศัทพ์ => โทรศัพท์
เนี๊ยบ => เนี้ยบ
ขอบคุณครับ
ไม่สะดวกใส่นอนนี่ยังไงครับ?
ขอเทียบกับ Apple Watch ที่ต้องชาร์จ ทุกๆ 2 วัน ทำให้การติดตามการนอนหลับ ไม่สามารถทำได้ทุกวันครับ เว้นแต่จะชาร์ตเวลาอื่นเช่น อาบน้ำ แล้วใส่นอน ซึ่งผมอาบน้ำเร็ว แบตก็ยังไม่ถึงครึ่งก้อน ก็เลยจะต้องถอดชาร์จตอนนอนแทนครับ
ตรงนี้จะผมเปลี่ยนคำในบทความเพื่อลดความกำกวมลง
อย่าง Garmin vivoactive smart ตอนผมไปเที่ยวตปท. นี่ผมชาร์จแค่ตอนอาบน้ำที่อาบแค่วันละครั้งและอาบเร็วด้วย ผมชาร์จแค่วันเว้นวัน ซึ่งตอนมาชาร์จต่อนี่แบตก็ยังเหลือครึ่งนึงนะครับ ฝั่ง Microsoft Band นี่วันละครั้งครั้งละสิบนาทีหรือวันละสองครั้งครั้งละห้านาทีก็ยังโอเคอยู่
ไม่อึดขนาด Pebble แต่ก็ไม่ได้แย่ขนาดเอามาจับการนอนไม่ได้ครับ
อยากทราบว่าข้อมูล HR กับ fitness log ที่ได้เอาไปทำอะไรได้บ้างครับ อย่างของ Fitbit กับ Garmin เค้ามีแอพที่เก็บ log ดีพอสมควร ดู Progression ของเราได้ ของ Pebble ทำไรได้บ้างง่ะ
บนโทรศัพท์จะมีการจัดข้อมูลมาเสนอในรูปแบบกราฟครับ โดยปัจจุบันมีอยู่ 3 หัวข้อคือ Activity เป็นการนับก้าว Sleep และ Heart Rate
ซึ่งในนาฬิกาจะมีแอพ Health ให้เราเลือกโหมด วิ่ง เดิน และ Workout เมื่อเราเลือกวิ่ง จะมีการคำนวน Fat Burn และ ระยะทางโดยคร่าวๆให้ครับ (เคลื่อนพอสมควร เพราะใช้จังหวะ Proximity ในการคำนวน)
สั่งตัว time 2 ไป รอรับของปีหน้า
รุ่นแรกก็ว่าน่าใช้แล้ว รุ่นนี้ยังสวยขึ้นไปอีก
ผมสั่ง pebble time2 ไปยังไม่ได้เลย
สอบถามเพิ่มเติมหน่อยครับ sleep tracking นี่ถ้านอนตอนกลางวันมัน นับไม๊ครับ
1. แค่งีบหลับธรรมดา
2. นอนจริงๆจังๆ (ทำงานกะกลางคืน)
ตอนนี้ใช้ mi band 2 อยู่ มันไม่ยอม track ให้ครับ
กลางวันเก็บให้ครับ วันที่ผมได้ของมา ผมก็ลงกะดึกมา รีวิวเสร็จแล้วก็ใส่นอนเลย เพียงแต่ว่า จะต้องหลับสนิทบนเตียงนอนครับ งีบบนเคาเตอร์พยาบาล(ผมลงเวรแล้วนะครับ) ไม่นับให้นะครับ
อยากบอกว่า mi band 2 นี่ เหมาะสำหรับคนที่อยากจะฝึกใส่ health tracking device มากกว่า
คือ แค่ดูว่าตัวเองจะใส่อุปกรณ์พวกนี้ตลอดเวลาได้มั้ย เพราะคุณภาพมันก็ตามราคา
- นอนกลางวันไม่ track
- นอนหลังจาก 6 โมงเช้าไม่ track (งง ทำไมอะ ประเทศจีนไม่มีคนทำงานกลาวคืนเหรอ -_-")
- ระบบ track deep sleep ดูไม่ค่อย stable ต่างจาก mi band รุ่นแรก หรือ app อื่น ๆ พอสมควร
- heart rate tracking ก็ไม่ stable บางเครื่อง track เกิน 100 BPM ไม่ได้
ของผมมัน track ได้ไม่ว่าจะเวลาไหนนะครับ
รีวิวได้เวลาดีมากครับ ผมเพิ่งไปสอยมาจาก Target เมื่อวานเอง มันลดราคาเหลือ $81+Tax กำลังคิดอยู่ว่าจะเก็บไอ้นี่หรือจะเก็บ Fenix 3 HR ไว้ดี
มีคนบอก HR ของ Pebble 2 มันเพี้ยนมากระหว่างออกกำลังกาย แต่ Fenix 3 ดีหมดแต่เครื่องเมกามันไม่รองรับภาษาไทยเลยหลังจากลองมาทุกทาง
นอนรอ time 2 ตาปริบๆ
ตอนนี้รอส่งอยู่ครับ