ปัจจุบัน หุ่นยนต์กำลังเข้ามาแทนงานที่ทำโดยมนุษย์มากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งหมายความว่าเมื่อมนุษย์ทำงานน้อยลง ก็จะมีการจ่ายภาษีน้อยลง และจะส่งผลต่อสิ่งที่จะต้องใช้เงินภาษีมาใช้จ่ายเพื่อพัฒนาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นถนน, โรงเรียน, สถานีดับเพลิง หรือสาธารณูปโภคต่าง ๆ
Bill Gates จึงได้เสนอไอเดียที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ คือหุ่นยนต์ที่ทำงานแทนมนุษย์จะต้องมีส่วนร่วมในการจ่ายภาษีด้วย และเมื่อการทำงานอัตโนมัติเข้ามาทำหน้าที่แทนสิ่งที่มนุษย์จะต้องทำ ก็จะช่วยให้ผู้ใช้มีเวลามากขึ้นในการทำงานอื่นที่ดีกว่า, ลดขนาดของห้องเรียน, ช่วยตอบสนองความต้องการพิเศษของเด็ก ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องการความเอาใจใส่จากมนุษย์ และคนที่ทำงานเหล่านี้กำลังขาดแคลน
Gates ให้ความเห็นว่า ภาษีที่จะจ่ายนั้นควรมาจากรายได้ที่บริษัทสามารถประหยัดเงินที่ไม่ต้องจ่ายให้พนักงานที่เป็นมนุษย์ หรือมาจากภาษีของบริษัทที่ทำงานด้านหุ่นยนต์โดยเฉพาะ
Gates ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ถ้าคนทั่วไปยังกลัวว่านวัตกรรมจะทำอะไรต่อไปมากกว่าความกระตือรือร้นที่จะสร้างมัน หมายความว่านวัตกรรมจะยังไม่สามารถทำได้ในสิ่งที่ถูกต้องที่มันทำได้จริง ๆ เลย (เพราะผู้คนจะจำกัดความสามารถของนวัตกรรมเนื่องจากความกลัว - ผู้เขียน)
Comments
น่านับถือ ดีมากครับ ความคิดของคนที่ประเทศที่พัฒนาแล้ว ไม่ใช้จ้องแต่เอาเปรียบคนและคอยจ้องแต่จะขูดเลือดเนื้อประชาชน
+1 เห็นด้วย
+1
คิดภาษีย้อนหลังของ PC ด้วยนะ เพราะ PC ทำงานด้านคำนวนแทนคนมาหลายสิบปีแล้ว
ดีไม่บอกให้ย้อนหลังไปเครื่องคิดเลข
ถ้าโลกนี้ไม่มี pc ไม่มี os คนพันล้านก็ไม่พอที่จะทำงานวิจัยซักชิ้น
คิดภาษียาวๆไปถึง slide rule เลยครับ
แล้ว จอบ เสียม แบล็กโฮ ที่ใช้ทุนแรงงานคนละครับ
มันทำงานแทนคนได้เยอะเลย ถ้าเทียบกับให้คนใช้มือเปล่าขุด
แล้วไอภาษีที่จะเก็บเนี้ย มันคือภาษี ปกติคนทำงานแล้วมี productivity เนี้ย
เขาก็หักจากรายได้ ซึ่งไอหุ่นยนต์นี้มันมีด้วยเหรอ
ผมเห็นด้วยนะว่าต้องทำอะไรสักอย่างแต่ไม่ใช่ในความหมายของภาษีแบบเดิมๆ
เพราะเมื่อมีการใช้หุ่นยนต์เครื่องจักรเข้ามาทำงานมากขึ้น
หมายความว่า การจะผลิตอะไรสักอย่าง ก็จะมีโอกาสโดนผูกขาดมาขึ้นเนื่องจากต้นทุนที่ต่ำ
และทำให้เกิดการเข้ามาแข่งขันได้ยากขึ้น เนื่องจาก ความได้เปรียบจากทางด้านเครื่องจักร
แต่มันไม่ใช่แนวคิดแบบภาษีเดิมๆ แบบที่ใช้กับมนุษย์ มันจะต้องมีการแทรกแซงที่ป้องกันการผูกขาด
เนื่องจากมีเทคโนโลยีการผลิตที่ล้ำหน้าจน และคนอื่นแข่งขันไม่ได้ ในเรื่องทุน
สุดท้ายแล้วเมื่อเครื่องจักรมันทำงานแทนมนุษย์ได้หมด โลกมันก็จะค่อยเคลื่อนไปสู่สังคมนิยมเอง
เพราะไม่ไปทางนั้น อีกทางมันก็คือ อาณาจักรแห่งความเลื่อมล้ำ ที่บางคนครอบครองทุกสิ่ง
และคนอีกหลายคนไร้ค่าไม่มีความหมายอะไรเลย หรือดิ้นรนทำอะไรไม่ได้เลย เพราะข้อจำกัดด้านทุน
น่าเศร้าที่ทุกวันนี้มันก็มาทางนี้แหละ
ที่ท่านยกมานั่นมันเป็นแค่เครื่องมือนี่ครับ ถ้านับจอบเสียมเดี๋ยวคงมีคนบอกให้เก็บภาษีกับดินสอ ยางลบด้วย
เครื่องมือต่างกับหุ่นยนต์หรือปัญญาประดิษฐ์ตรงที่มันยังต้องการมนุษย์ในการทำงาน แต่สิ่งใหม่ๆ อย่างหุ่นยนต์กับปัญญาประดิษฐ์มันกำลังจะเข้ามาแทนที่แรงงาน อนาคตอาจจะมีคนตกงานมากขึ้น ไม่ใช่แค่คนใช้แรงงานแต่ยังรวมถึงอาชีพที่มีทักษะมากกว่า เช่น นักแปล ศิลปิน นักแต่งเพลง แพทย์ วิศวกร ฯลฯ ความกลัวว่าจะไม่มีงานทำ = ไม่มีรายได้จะทำให้คนต่อต้านนวัตกรรม ประมาณนั้น
ผมเห็นว่ามันเป็นมานานนะความเื่อมล้ำ ไทยก็มีคนรวย 1% แต่อัฉริยะ 1% ไม่จำเป็นต้องรอยุคหุ่นยนต์เลยตอนนี้ก็เลื่อมจะแย่แล้วครับไม่เชื่อไปเปิดแผนที่ได้ว่าตอนนี้ตระกูลไหนในไทยถือครองที่ดินตรงไหนบ้าง แล้วสังคมนิยมมันก็สวยหรูแค่ในทฤษฎีด้วยสิ ผมเห็นประเทศสังคมนิยมทั่วโลก นอกจากแบ่งให้พวกตัวก่อนเหมือนกันหมดอะ...
ถ้าจอบ เสียม แบล็กโฮ มันทำงานได้โดยไม่ต้องมีคน ก็จะต้องเสียภาษีด้วยเพราะมันจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มหุ่นยนต์ไป
แต่จอบ เสียม แบล็กโฮ นี่ต้องมีคนไปจับ ไปถือ ไปควบคุมที่ห้องเครื่องนะครับ เพราะมันทำงานด้วยตัวเองไม่ได้
ไม่เกี่ยวอะไรกับภาษี แต่อยากจะบอกว่าจริง ๆ ต้องเขียนว่า "รถแบคโฮ"(Backhoe) ครับ ไม่ใช่ "แบล็กโฮ"
ใช่ครับรถ ขุดหลัง ไม่ใช่ รถหลุมดำ
แล้วก็ไม่ใช่รถ แมคโคร ด้วยนะ อันนี้งงว่ามาไง
ซึ่งจริงๆแล้ว คนไทยก็ผิดหมดเลยครับ เพราะที่เห็นในไซต์งานส่วนใหญ่นั่น ไม่ว่าจะ แบ็คโอ แบล็กโฮ แม็คโครอะไรก็เหอะ มันคือ excavator!
https://www.youtube.com/watch?v=2Uu9-lReXSM
ผมยังไม่เคยเห็นคนไทยเรียก excavator ว่า backhoe เลยนะครับ
ประเด็นคือผมยังไม่เคยเห็นคนไทยเรียก excavator เลยว่าเค้าเรียกว่าอะไรกัน 555 แต่ตอนเด็กๆ เคยเห็น backhoe แล้วเค้าก็เรียก backhoe จริงๆ
ผมเห็นด้วยนะ เวลาเกิดการ disruption ทางเทคโนโลยีที่ทำให้คนตกงานมันส่งผลลกระทบต่อชีวิตคนอย่างมาก การสร้าง cost อะไรซักอย่างเพื่อให้ cost เหล่านี้เอามาช่วยเหลือคนที่ไม่มีงานทำก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ
วันนึงมันคงจะฉลาดพอที่เขียนโปรแกรมเองได้
ไม่ค่อยเมคเซ้นเท่าไหร่เลย อุตสาซื้อเทคโนโลยีแพงๆ เพื่อมาลดต้นทุน ลดปัญหามนุษย์ แต่มาโดนภาษีอีก
ผมว่ามันต้องสร้างสมดุลครับ คนมีงานทำ หุ่นทำงานที่คนไม่อยากทำไป
คนไม่มีเงิน หุ่นไม่มีงานเช่นกัน
"ถ้า"มองการที่หุ่นยนต์มาแทนที่แรงงานมนุษย์ ว่าก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบต่อสังคม การเก็บภาษีส่วนนี้เพิ่มก็ทำให้ผู้ประกอบการคำนึงถึงผลกระทบเชิงลบเหล่านั้นเป็นต้นทุนของพวกเขาด้วยน่ะครับ เพื่อรักษาสมดุลไม่ทำให้การเปลี่ยนไปใช้หุ่นยนต์มันราคาถูกเกินไป (เมื่อคำนึงถึงผลกระทบภายนอกที่มีต่อสังคม)
เหมือนแนวทางที่เขาใช้เพื่อจัดการกับหน่วยผลิตที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อธรรมชาตินั่นแหละครับ หรือกรณีถุงพลาสติกที่ก็เคยมีคนเสนอไอเดียเรื่องนี้ว่าถุงน่ะมันถูกเกินไปเมื่อเทียบกับต้นทุนที่สังคมโดยรวมต้องแบกรับในการกำจัดมัน
เมคเซ๊นส์ครับ ต่อไปก็ใช้หุ่นทำงานแล้วก็เก็บภาษีจากหุ่น ส่วนมนุษย์ไม่ต้องทำไร นอนรอภาษีที่เก็บได้มาจ่ายเป็นสวัสดิการของตัว เพอร์เฟคจะตาย
"คล้ายๆ" ภาษีคาร์บอน ผลกระทบกับคน(อื่น) ควรต้อง(ร่วม)รับผิดชอบร่วม
ต่อไปต้องจ้างคนเพื่อลดภาษีหรือเปล่าเนี่ย เหมือนกับจ้างคนพิการมาช่วยลดภาษี
ถ้าตอนหนุ่มๆในช่วงกำลังสร้างตัวก็คงไม่พูดแบบนี้หรอก ตอนนี้ตัวเองทำแต่มูลนิธินี่นาลอยตัวไปแล้ว เลยออกมาพูดในส่วนนี้ได้ แนวคิดมันก็ดีแหล่ะแต่การลงทุนเอาหุ่นยนต์เข้ามาทำงานในอนาคตมันทำให้การคำนวนผลได้ผลเสียซับซ้อนมากขึ้น ยิ่งพูดว่าเอารายจ่านส่วนที่ไม่ต้องจ่ายให้คนงานแล้วมาจ่ายภาษี งั้นเขาจะเอาหุ่นยนต์เข้ามาแทนทำไมหล่ะมันมีค่าคนที่มาดูแลหุ่นยนต์อีกแล้วก็ถ้าไปเก็บจากบริษัทหุ่นยนต์ก็จะทำให้ราคาหุ่นยนต์แพงขึ้นไปอีก จะเหลือสักกี่รายที่มีปัญญาซื้อ ธุรกิจที่ไม่ได้ใหญ่โตมากคงไม่มีโอกาศได้ใช้
้ก็ดี พวกสินค้าต่างๆ จะได้มีราคาสูงขึ้น เพราะเอาไปจ่ายค่าแรงหุ่นยนต์ด้วย
มันก็ดีอยู่แล้ว พวกธุรกิจที่สร้างกำไรมากๆ มักมีภาษีสูง
หุ่นยนต์อาจลงทุนสูงในช่วงแรก แต่หลังๆอาจมีกำไรสูงมหาศาล ถ้าจะให้เหมาะสมควรเป็นภาษีแบบขั้นบันได
concept ของภาษีมันดีนะ แต่อัตราภาษีที่เหมาะสมเนี่ยหายากมากๆ
เอาภาษีหุ่นยนต์มาวิจัยเครื่องย้อนเวลากันเหนียว
Machine or Robot มันแตกต่างกันยังไง
ถ้าลองให้มันเหมือนกันยุ่งหละคราวนี้ เลี่ยงภาษีกระจาย
ถ้ามันไม่เหมือนกัน หุ่นยนต์ต้องคิดเองได้ ที่คิดเองไม่ได้ก็เป็นเครื่องจักร วุ่นเหมือนกัน
ผมสนับสนุนแนวคิดครับ และถ้าปัญหาคือขอบเขตในนิยามของคำว่าหุ่นยนต์จะไปทับซ้อนกับเครื่องมือ low tech ในชีวิตประจำวันหรือไม่ ผมคิดว่าน่าจะไปเก็บภาษีที่พลังงานสำหรับทำงานและการซ่อมบำรุงแทนก็น่าจะได้ครับ นั่นคือไม่ว่าอุปกรณ์หรือเครื่องมือนั้นๆ จะซับซ้อนแค่ไหนก็สามารถคิดภาษีให้เหมาะสมได้โดยไม่ต้องพิจารณาเส้นแบ่งระหว่างความเป็นหุ่นยนต์หรือเป็นแค่เครื่องมือ
และแบบที่คุณ Gates บอกว่า "ภาษีที่จะจ่ายนั้นควรมาจาก ... ภาษีของบริษัทที่ทำงานด้านหุ่นยนต์โดยเฉพาะ" ยังไงก็เป็นเรื่องของตัวเลขภาษีที่ปรับได้อิสระก็น่าจะมีจุดที่คุ้มค่าทั้งผู้ประกอบการและรัฐได้
"เราไม่ได้ใช้หุ่นยนต์ แค่ทุกอย่างทำงานด้วยซอฟต์แวร์ :) "
เจ็บปวด เลี่ยงบาลีได้เมพขริงๆเลยครับ
เจ็บปวด เลี่ยงบาลีได้เมพขริงๆเลยครับ
ผมชั่งน้ำหนักหน้า 7-11 1บาท ผมเสียภาษีแล้วใช่ปะ
พวก software โปรแกรมทำงานอัตโนมัติทั้งหลายนับเป็นบอทด้วยมั้ยเนี่ย ทำงานแทนคนหมด ขายตั๋วอัตโนมัติ ซื้อของออนไลน์
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว