คณะบริหารรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกคำสั่งแบนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ที่ผู้โดยสารนำขึ้นเครื่องเข้าประเทศ โดยสั่งห้ามเฉพาะสายการบินที่มาจาก 8 ประเทศในตะวันออกกลาง และประเทศในแอฟริกาเหนือเท่านั้น
คำสั่งดังกล่าวทำให้ผู้โดยสารไม่สามารถนำ iPad โน้ตบุ๊ค และกล้องขึ้นเครื่องมาสหรัฐฯได้ คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสายการบินอย่างน้อยประมาณ 12 สายการบิน กระทบสนามบิน 10 แห่ง และเชื่อว่าจะกระทบประเทศ จอร์แดน อียิปต์ ซาอุดิอาระเบีย และอาหรับเอมิเรตส์
เหตุผลที่สั่งห้ามยังไม่ชัดเจน สำนักข่าว Independent ระบุว่ายังไม่มีเจ้าหน้าที่ราชการคนไหนให้สัมภาษณ์ แต่คาดว่านโยบาย รายละเอียดและเหตุผลจะประกาศอย่างเป็นทางการในวันนี้
ที่มา - Independent, ภาพจาก Pixaby
Comments
ข่าวต้นฉบับไม่ได้เขียนว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่นี่ครับ เขียนว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่กว่าโทรศัพท์ อ่านทีแรกผมนึกว่าห้ามขนโทรทัศน์เข้าซะอีก
ผมอ่านเม้นต์นี้วนมาหลายรอบละ งงครับ
May the Force Close be with you. || @nuttyi
ข่าวต้นฉบับใช้คำว่า
involves any device larger than a mobile phone.
แต่หัวข้อข่าวนี้เขียนว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ ส่วนตัวตอนอ่านครั้งแรกแล้วไม่ได้นึกถึง Tablet หรือ Laptop ครับ นึกถึงอะไรใหญ่กว่านั้น
เขาให้ถือขึ้นเครื่องได้กี่กิโลครับ บางสายการบิน 7 กิโลและทีวี พัดลม ฯลฯ ขนาดใหญ่ขนาดนั้นปกติเขาก็ไม่อนุญาติให้นำขึ้นและก็ให้โหลดใต้เครื่องเป็นปกติหนิครับ
เห็นว่าที่โซมาเลียที่โดนระเบิดคราวก่อน
ที่เครื่องเป็นรู แต่ไม่ได้ตกก็เพราะระเบิดที่ประกอบเป็น laptop นี่แหละ
น่าจะเป็นสาเหตุที่มะกันแบนนะ
แปลกแฮะ
ถ้าแบบนั้น มันน่าจะโดน x-ray ได้ก่อน ที่สนามบินก่อนขึ้นเครื่องนะ??
หรือ ประเทศพวกนั้นไม่มี x-ray ก่อนขึ้นเครื่อง เลยหลุดขึ้นไปได้??
ผมว่าขณะนี้ terrorist win ไปแล้ว
เพราะเป้าหมายของพวกเขาคือสร้างความปั่นป่วนให้ USA
เหรอครับ ดูเป็นเป้าหมายที่มักน้อยเนอะ
ถ้าเทียบกับจำนวนของฝ่าย terrorist ที่ตายไป..แต่ได้กลับมาแค่ความปั่นป่วน..
เรื่องแบบนี้มาสรุปอะไรง่ายๆ แบบนี้ ผมคิดว่าแปลก เพราะไม่ใช่สหรัฐอเมริกาโดนอยู่รายเดียว เหตุการณ์ 9/11 คือตัวอย่างที่ดีมาก เพราะสูญเสียพลเมืองไปหลายประเทศ และสร้างแรงกระเพื่อมไปถึงระบบการจัดการความปลอดภัยทางการบินทั่วโลกด้วย (มาตรการสารพัดที่เราเจอในสนามบิน ก็มาจากเหตุการณ์เหล่านี้แทบทั้งสิ้น)
ดังนั้น ผมคิดว่ามันไม่มีใครโดนคนเดียวแบบที่คุณคิด และในทางกลับกัน มันก็ไม่มีใครได้ (ในภาษาคุณคือ win) แบบที่คุณคิดเช่นกัน (ผมตอบพื้นๆ ง่ายๆ เอาไว้ก่อนละกัน)
I'm ordinary man; who desires nothing more than just an ordinary chance to live exactly what he likes and do precisely what he wants.
แบบนี้เรียกปั่นป่วน?
งั้นประกาศห้ามมันทุกคนทุกสัญชาติเลยครับ เบื่อเหมือนกันพวกที่เขาบอกให้ปิดก็ยังจะเล่น สนุกอยู่คนเดียวแต่เอาคนยกลำไปเสี่ยง
ผมอาจจะเขียนสรุปสั้นไปหน่อย แต่ผมมีความหมายถึงวงกว้างแบบที่ทุกคนบอกนั่นแหละครับ
คือโจมตีสังคมอื่นที่เข้ากับระบอบการปกครองของพวกผู้ก่อการร้ายแบบของเขาไม่ได้ ซึ่งศัตรูหลักๆ คือประเทศประชาธิปไตยโดยมี USA เป็นเป้าใหญ่ โดยเลือกการโจมตีที่เจาะจุดอ่อนที่เสรีภาพของประชาธิปไตย คือ ใครอยากไปไหนก็ไปได้ ใครอยากพกของอะไรก็พกได้ ใครอยากทำอะไรก็ทำได้ และก็เลยมีผลให้ ใครอยากจะก่อการร้ายก็ทำได้ โดยไม่มีใครป้องกัน
ทีนี้ประชาธิปไตยเลยต้องรับมือด้วยการตั้งกฎตรวจสอบมากมาย ความสบายใจที่เคยมีก็หายไป ซึ่งก็กลายเป็นว่าประชาธิปไตยสูญเสียตัวตนคือเสรีภาพไปอีกหน่อยนึงแล้ว ผมถึงบอกว่า win อาจจะมี damage น้อยแต่ก็ตีติด critical ทำให้รวนไปหมด
เรื่องนี้ผมคิดว่ายังไงก็ไม่เกี่ยวกับระบบการปกครองในเชิงที่คุณคิด ลองดูกรณีของประเทศจีนที่มีปัญหาที่ซินเจียงอุยกูร์ดูครับ มันเป็นกรณีที่ชัดเจนว่าการก่อการร้ายหรือแบ่งแยกดินแดน ไม่ได้จำกัดวงเฉพาะประเทศที่มีระบอบการปกครองเสรีประชาธิปไตยแบบที่คุณบอก
I'm ordinary man; who desires nothing more than just an ordinary chance to live exactly what he likes and do precisely what he wants.
ไม่อะครับ ผมว่าสาเหตุมาจากการที่พวกผู้ก่อการร้ายโดนเบียดเบียนก่อนและไม่สามารถเจรจาได้เพราะระบอบการปกครองมันเข้ากันไม่ได้เลยต้องหาทางเอาคืน แต่กลุ่มเขาพลังน้อยกว่าเลยต่องใช้วิธีก่อการร้ายที่ลงทุนน้อยแต่ได้ผลแรง
และผมก็ใช้คำว่า ศัตรูหลักๆ ที่ไม่ได้หมายถึงประชาธิปไตยที่เดียว แต่ใครก็ตามที่เบียดเบียนพวกเขา เพียงแต่ USA กับ กลุ่ม Europe เบียดเบียนเขาไปทั่วเลยเป็นเป้าใหญ่
ทีนี้พอวิธีการและอุดมการณ์ของผู้ก่อการร้ายแต่ละที่มันพ้องต้องกัน จะเกิดเป็นเครือข่ายทั่วโลกก็ไม่แปลก เช่น ถ้าโจรใต้อาจจะมีตะวันออกกลางเป็น idol และไปขอเข้าพวกในที่สุด
ผมว่าฝ่าย "ผู้ก่อการร้าย"จะเสียเงินทุนสนับสนุนไปมากกว่าครับ "ผู้บริจาค" ที่เป็นชนชั้นกลางอาจจะเริ่มรำคาญแล้วเพราะตัวเองจะทำอะไรก็ลำบากขึ้นทุกที เนื่องจากนโยบายป้องกันผู้ก่อนการร้าย
Emirates from Dubai;
Etihad from Abu Dhabi;
Qatar Airways from Doha
ถ้าเอามาใช้จริงๆ กระทบคนจำนวนมากเลยนะ คนเอเชียบินมาอเมริกาก็ใช้สายการบินนี้เยอะ ต้องไปต่อเครื่องที่นั่นกันหมด
ผมว่าถ้าเอาจริง Etihad ที่ขึ้นจาก Abu Dhabi จากโซนพิเศษสำหรับไปอเมริกา อาจจะได้รับยกเว้นนะครับ เพราะเขาแยกส่วนสำหรับขึ้นเครื่องไปอเมริกาออกมาแล้วไม่ยุ่งกับใครเลย ยึดพื้นที่อีกฟากของเทอร์มินอลตรวจ ตม กันก่อนขึ้นเครื่อง ถ้าแยกส่วนตรวจสอบเครื่องบินออกมาอยู่ด้วยกันแล้วก็น่าจะปลอดภัยมากขึ้น (ให้แต่คนของอเมริกาทำงานส่วนนี้ไปเลย)
ต่อไปประเทศพวกนี้คงไม่มีบินตรงมาอเมริกา คงต้องแวะไปฟอกเครื่องแถวยุโรปก่อน จะได้ถือว่าบินตรงมาจากยุโรป
คิดดูแล้วมันคือการกีดกันทางการค้าดีๆที่เอง ดูไบ โดฮา อาบูดาบี ศูนย์รวมเศรษฐีอาหรับทั้งนั้น
กำ หลังๆ เปลี่ยนมาบิน Emirates ด้วย จะเอา iPad กับ Switch ขึ้นเครื่องงงงง