แพทย์และนักวิทยาศาสตร์จากสถาบันแพทย์จำนวนหนึ่ง รวมทั้งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและสถาบัน MIT เผยว่า การกินขี้มูกดีต่อสุขภาพ เป็นแหล่งรวมแบคทีเรียดี ไม่เป็นของสกปรกที่ร่างกายต้องกำจัดออกอีกต่อไป
คณะแพทย์ระบุว่าการกินขี้มูกช่วยกำจัดแบคทีเรียที่เกาะตามฟัน และยังสามารถป้องกันการติดเชื้อทางเดินหายใจ แผลในกระเพาะอาหาร และแม้แต่เชื้อ HIV คณะวิจัยยังทดลองสร้างยาสีฟันและหมากฝรั่งที่มีสารสกัดจากน้ำมูกเพื่อพิสูจน์การทดลอง
Scott Napper แพทย์จากมหาวิทยาลัย Saskatchewan ในแคนาดาบอกว่าพฤติกรรมกินน้ำมูกเป็นเรื่องธรรมชาติในตัวมนุษย์ (อาจเคยสังเกตเด็กเล็กที่มีพฤติกรรมนี้) พฤติกรรมธรรมชาติทำให้มนุษย์บริโภคสิ่งที่แตกต่างออกไป ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่คุณมีความรู้สึกอยากกินน้ำมูก ก็ควรจะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติของมนุษย์
ภาพจาก Pexels
ที่มา - Telegraph
Comments
หมายถึงแคะออกมาแล้วกินกลับเข้าไป ?
oxygen2.me, panithi's blog
Device: HP Zbook, iPad Pro, iPhone 15PM, iPhone 16+, Nothing Phone 1
ตอนเด็ก ๆ นี้ เค็ม ๆ อร่อยดี แอบกินบ่อย ๆ 555
เพจตัวอย่างผลงานถ่ายภาพ / วีดีโอ
ดังนั้นเื่อ ?
Mekokung's Story บล็อกส่วนตัวที่ย้ายไป Blogger แล้วนะ
เรื่องน้ำมูกผมว่าคนเราก็มีโอกาสกินเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วหรือเปล่าครับ
เพราะมันสร้างมาจากพวกเมือกในจมูก พอเราสูดน้ำมูกแรงๆ มันก็ไหลลงคอ ซึ่งก็น่าจะไหลลงท้องต่อไป
แต่ขี้มูกนี่ผมว่าเกิดจากฝุ่นละอองที่ปนมากับอากาศที่เราหายใจ มันไปเกาะกับพวกเมือกในจมูก กินแล้วมันดีจริงๆ หรอครับ มันน่าจะเป็นฝุ่นสิ่งสกปรกซะมากกว่า
มันเป็นสิ่งสกปรกครับ ในที่มาเขียนเอาไว้ชัดเจน(ซึ่งผมว่าเนื้อหาข่าวควรเพิ่มเนื้อหาตรงนี้ไปด้วย)
อยากไรก็ตามการที่มันสกปรกทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกาย(อาจ?)ดีขึ้นหน่ะครับ อันนี้ในที่มาเขียนว่า
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
กินน้ำส้วมถึงรักษาโรคเพราะงี้นี่เอง ตบเข่าฉาด
จริงๆกินขี่ตัวเองอาจทำให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงมากๆขึ้นไปอีกขั้นก็ได้นพ555555
ขอให้โชคดี
กินขี้ตัวเองไม่น่าจะช่วยอะไร แต่ถ้ากินขี้คนอื่นที่มีสุขภาพดี อันนี้เป็นแนวทางการรักษาที่ใช้กันมาสักพักแล้วนะครับ
ปล. จริงๆ แล้วมันคือการปลูกถ่ายแบคทีเรียในลำไส้จากคนที่มีสุขภาพดี ไปในคนที่มีปัญหาในระบบทางเดินอาหาร เช่น ติดเชื้อในลำไส้ขั้นรุนแรง หรืออัดยาฆ่าเชื้อมากเกินไปจนแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ตายหมด ก็ต้องปลูกถ่ายเข้าไปใหม่ครับ ซึ่งหนึ่งในวิธีกรปลูกถ่ายคือการนำอุจจาระของคนที่สุขภาพดีไป Freeze Dry ใส่แคปซูล แล้วให้ผู้ป่วยกินเข้าไป..... (วิธีอื่นก็มี เช่น สวนทวารแล้วฉีดเข้าไปในลำไส้โดยตรง etc.)
ไม่ว่าจะกินdry freeze หรือสวนทวารก็น่ากลัวทั้งนั้น
วิธีทำ freeze dry แล้วมาใส่ capsule จากนั้นหมดก็เอามาแปะชื่อว่าเป็นยาเสริมภูมิคุ้มกัน ถ้าเราไม่รู้ว่ามันคือขี้ก็โอเคอยู่นะ
รู้ทีหลังก็ต้องล้วงคออ้วกครับ เอ๊ะ แต่อ้วกออกมามันก็โดนปากเราสิ ต้องปล่อยให้ไปตามทาง
เป็นอะไรที่กล้ำกลืนฝืนทนจริงๆนะครับ
ถ้าป่วยถึงขั้นนั้น ผมว่าเผลอๆ กินสดๆ ก็ยอมครับ ลองนึกภาพว่าคุณปวดท้องตลอดเวลา กินอะไรเข้าไปก็ท้องเสียตลอด อ่อนเพลียไม่มีแรงต้องให้น้ำเกลือตลอด (เพราะลำไส้แทบไม่มีแบคทีเรียดีเหลือแล้ว สู้กับแบคทีเรียร้ายที่มีอยู่ + ที่กินเพิ่มเข้าไปตามปกติไม่ไหว)
Ig Nobel Prizes ?
ลุ้นเหมือนกันครับ 555
จริงๆ ปกติเราก็กินน้ำมูกเวลามันไหลลงคออยู่แล้วครับ
แต่ผมก็อยากจะรู้เหมือนกันว่างานวิจัยที่เขาทำมันคืออะไร มีกระบวนการวิจัยอย่างไร ทำในใคร อย่างไร
เข้าไปตามที่ลิงค์ก็ไม่ได้กล่าวอะไรมาก ไม่มีเปเปอร์ตัวเต็มอีก เลยอยากให้ฟังหูไว้หูกันก่อนนะครับ
ใครอยากกินก็กินไป แต่ผมไม่กินแน่นอน
ปล.หรือว่าเอามาเป็นจุดขายการตลาด เพิ่มมูลค่ายาสีฟัน
อ่านตอนกินข้าวเลยครับผม
เหมือนกินฉี่ตัวเองปะ
นี่มันอะไรเนี่ยยย
รักนะคะคนดีของฉัน
ไม่คิดเลยว่าจะเจออะไรแบบนี้ใน blognone T^T
รออะไรล่ะ เอานิ้วแคะขี้มูกใส่ปากสิครัช 555
โอย..
ในส่วนที่ใหญ่กว่าตรงนี้ ยังมี โอ้ไม่นะ
อันนี้ก็ข่าวเทคโนโลยีหรอ...
ตั้งแต่ไม่มีเว็บ jusci ข่าววิทยาศาสตร์ก็มาลงที่นี่แทนครับ
Jusci ยังอยู่นิครับ แต่เหมือนจะไม่ Active เท่า Blognone ซะมากกว่า
คุณ lew บอกว่าอยู่ในสถานะ inactive แล้วครับ แค่ยังรันหน้าเว็บอยู่
ผมทำบ่อยเด็กๆ แล้วจนไข้ไม่หายไปหาหมอหมอบอกหวัดลงกะเพราะ ตกลงมันดีจริงเหรอ
ข่าวน่ากลัวตรงที่หลายคอมเม้นท์คุยกันหน้าตาเฉยนี่ล่ะ เหมือนอยู่ในแดนสนธยายังไงบอกไม่ถูก
อาจจะเป็นผลจาก proteolytic enzyme, nitric oxide และสารอื่นๆ ที่ประปนออกมากับ mucous ของระบบทางเดินหายใจ มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคมีเรียน
เหมือนมโนเขียนเลย(webต้นทางนะครับ) อ้างงานวิจัยแต่ไม่มีบทวิจัยอ้างอิง
เข้ามาอ่านแล้วขมคอเลย
รีบชิมเลยเหรอครับ
เทอๆ ตอนนี้ขี้มูกเราหมดอ่ะ ขอชิมของเทอหน่อย
สยองสุดๆ
สารสะกัดจากขี้มูก != ขี้มูก
แบบนี้ต้องทาบทาม โยอาคิม เลิฟ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์