Uber เตรียมใช้วิธีเก็บเงินผู้ใช้แต่ละคนโดยนำเส้นทางโดยสารมาพิจารณาเพิ่มเติม ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้ขับรถในพื้นที่ลดเวลารอผู้โดยสาร
ปัจจุบัน Uber คิดค่าเดินทางตามระยะทาง, ระยะเวลาบนถนน และปัจจัยรอบข้าง แต่ด้วยระบบคิดค่าเดินทางแบบใหม่นี้ จะคิดค่าเดินทางกับผู้เดินทางแพงขึ้นในเส้นทางที่มีคนเดินทางเป็นจำนวนมาก โดยทาง Uber จะใช้ machine learning ในการคำนวณเมื่อผู้โดยสารพึงพอใจในการจ่ายเงินที่มากขึ้นในบางพื้นที่ ซึ่ง Uber เริ่มทดสอบระบบดังกล่าวกับ UberX ตั้งแต่ปีที่แล้วใน 14 เมืองที่มี UberPool ให้บริการด้วย
ทั้งนี้ ผู้ขับรถจะไม่ได้เห็นรายได้ที่เพิ่มขึ้นแม้ว่าผู้โดยสารจะจ่ายเพิ่ม แต่ Uber จะนำเงินจำนวนนี้ไปจ่ายเพื่อทำโปรโมชั่นแทน ซึ่งเป็นไปตามความประสงค์ของ Uber ที่ Daniel Graf หัวหน้าฝ่ายผลิตตภัณฑ์กล่าวไว้ว่า Uber ต้องการสร้างรายได้และธุรกิจที่ยั่งยืน และทางบริษัทยังพยายามหาหนทางที่มอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ขับรถและผู้โดยสาร ระบบรายได้แบบใหม่นี้จะสร้างทริปจำนวนมากขึ้นในประเทศ โดยจำนวนทริปที่มากขึ้นหมายความว่าผู้โดยสารจะรอน้อยลง และเวลารับผู้โดยสารสั้นลง
ที่มา - The Verge, Business Insider, Bloomberg
Comments
หมดยุคพ่อบุญทุ่มได้เวลากอบโกยกำไรแล้ว....
มันเจ็บตรงนี้
โดยทาง Uber จะใช้ machine learning ในการคำนวณเมื่อผู้โดยสารพึงพอใจในการจ่ายเงินที่มากขึ้นในบางพื้นที่
ทำไมผู้โดยสารจึงพอใจทั้งที่เก็บเงินเพิ่มขึ้นหรอครับ หรือผู้โดยสารก็ไม่รู้ว่านี่แพงขึ้น โดยคิดว่าเป็นราคาปรกติแทน
สมมติจาก A ไป B คิดตามระยะทางแบบ Uber อาจจะ 100 บาท แต่ราคา Taxi ทั่วไป 200 บาท แบบนี้ Uber ก็เล่นกับส่วนต่าง "ราคาที่พอใจ" ได้อยู่ดี ประมาณนี้ครับ
คิดว่าน่าจะมีราคาแบบ Estimated ให้ดูก่อนแล้วซึ่งอาจจะเป็นราคาที่แพงขึ้น แล้วถ้าผู้โดยสารกดเรียกแสดงว่าพอใจกับราคานั้นครับ
ซ้ำ...
ต้นฉบับ
หมายความว่า บริษัทใช้ machine learning เพื่อหาว่าเมื่อไหร่ที่ผู้ใช้จะ "ยอมจ่าย" มากขึ้นในแต่ละพื้นที่ เช่น ปกติ สยามมาอโศก อาจจะ 150 บาท แต่ ml อาจจะคำนวณได้ว่าในช่วงเย็นวันศุกร์ผดส. จะยอมจ่าย 300 ระบบก็จะชาร์จเพิ่ม แล้วเอาส่วนต่างเข้าบริษัท
ยังงงอยู่ว่าต่างกับระบบ surge rate ที่เป็น x2 อะไรทำนองนี้ยังไง อาจจะแค่มาจากตัวแปรที่ไม่เหมือนกัน แต่สุดท้ายคือชาร์จผดส. เหมือนกันมั๊ง
iPAtS
คิดว่า Uber มันจะอยู่ไปได้ยั่งยืนแค่ไหน
ผลิตตภัณฑ์ => ผลิตภัณฑ์