หลังจากที่ทรัมป์ทวีตว่าเขาจะแถลงการตัดสินใจเกี่ยวกับ 'ข้อตกลงปารีส' (Paris Accord) วันนี้ ผู้คนก็คาดการณ์กันว่าทรัมป์เตรียมเอาสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงนี้แน่
แถมก่อนหน้าที่จะทวีตข้อความนี้เพียง 1 อาทิตย์ บรรดาวุฒิสมาชิกจากรีพับลิกันราว 22 คนก็พร้อมใจกันเชียร์ทรัมป์ให้ออกเช่นกัน
I will be announcing my decision on Paris Accord, Thursday at 3:00 P.M. The White House Rose Garden. MAKE AMERICA GREAT AGAIN!
— Donald J. Trump (@realDonaldTrump) June 1, 2017
เมื่อมีข่าวทรัมป์เตรียมออกจาก 'ข้อตกลงปารีส'แพร่สะพัดไปทั่ว คนดังอย่าง Elon Musk ก็ทวีตข้อความในเรื่องนี้
Don't know which way Paris will go, but I've done all I can to advise directly to POTUS, through others in WH & via councils, that we remain
— Elon Musk (@elonmusk) May 31, 2017
Elon Musk ระบุ เขายังไม่รู้ว่าการตัดสินใจของทรัมป์เกี่ยวกับ 'ข้อตกลงปารีส' เป็นอย่างไร แต่เขาก็ได้พยายามให้คำปรึกษาทุกช่องทางแล้ว จากนั้นก็มีคนถาม Musk อีกว่า "จะทำยังไง ถ้าทรัมป์ตัดสินใจออก?"
What will you do if he makes the decision to leave?
— Luke Schnoebelen (@schneby) May 31, 2017
Musk บอก เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากออกจากการเป็นที่ปรึกษาให้กับทำเนียบขาวเช่นกัน
Will have no choice but to depart councils in that case
— Elon Musk (@elonmusk) May 31, 2017
หากเทียบเสียงสนับสนุนระหว่าง 2 พรรค ฝั่งเดโมแครตสนับสนุนให้ทรัมป์ทำตามข้อตกลงนี้มากกว่า ส่วนรีพับลิกันมีเสียงแตกเพียงเล็กน้อย
'ข้อตกลงปารีส' (Paris Accord) คืออะไร ?
'ข้อตกลงปารีส' ที่ทรัมป์ทวีตถึง หรือ 'ความตกลงปารีส' (Paris Agreement) นี้ เกิดขึ้นหลังจากที่ประชาคมโลกตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ จึงนำไปสู่ความพยายามที่จะเจรจาเพื่อกำหนดข้อตกลงต่างๆ ร่วมกัน เมื่อปีที่แล้ว วันที่ 30 พฤศจิกายน - 11 ธันวาคมนั้น มีการเจรจาระหว่างผู้นำประเทศจาก 196 ประเทศทั่วโลกหาทางตกลงกันเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากประเทศสมาชิกทั่วโลก เพื่อลดผลกระทบที่มาจากวิกฤตโลกร้อนและป้องกันภัยพิบัติร้ายแรง
สาระสำคัญของการประชุมนั้น มีทั้งความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้อุณภูมิเฉลี่ยผิวโลกสูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียส หลายประเทศเห็นชอบร่างข้อตกลงดังกล่าว โดยข้อตกลงนี้จะมีผลบังคับใช้ในปี 2020 จะมีการจัดหาเงินร่วมกันเพื่อช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาด้วย
สหรัฐฯ ร่วมลงนามในข้อตกลงปารีสตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน 2016 ให้สัตยาบันในวันที่ 3 กันยายน 2016
การที่ Trump จะออกจาก 'ข้อตกลงปารีส' กระทบต่อ Elon Musk อย่างไร ?
Musk เคยกล่าวไว้ว่า ที่เขาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเป็นคณะที่ปรึกษาให้แก่รัฐบาลทรัมป์ ก็เพราะว่าเขาต้องการจะเปลี่ยนแปลงโลกให้ไปสู่การใช้พลังงานอย่างยั่งยืนซึ่งสอดคล้องกับธุรกิจของเขาด้วย เขายืนยันว่า เขาเข้ามานั่งเก้าอี้นี้ก็เพราะเขาต้องการจะผลักดันเรื่องภาษีคาร์บอนด้วย (cartbon tax) เรื่องนี้ Musk เห็นดีเห็นงามกับ Rex Tillerson รัฐมนตรีต่างประเทศของทรัมป์ เพราะ Tillerson ก็เห็นด้วยกับภาษีคาร์บอนเช่นกัน
Regarding the meeting at the White House: pic.twitter.com/8b1XH4oW6h
— Elon Musk (@elonmusk) February 3, 2017
ที่มา - The New York Times, ABC News, The Register, The Paris Agreement, Business Insider
Comments
เหมือนเนื้อหาซ้ำ 2 รอบนะครับ และเรื่องการเว้นวรรคตอนไม่คงเส้นคงวา การใช้สรรพนามยังดูกระโดดๆ ด้วยครับ
มัน error น่ะค่ะ กำลังแก้อยู่ / ขอบคุณค่ะ
อุณภูมิ => อุณหภูมิ
จำใจอยู่ แต่คงเกินเยียวยาแล้วสินะ
บล็อกส่วนตัวที่อัพเดตตามอารมณ์และความขยัน :P
ใช้ Make America Great Again พร่ำเพรื่อมาก 5555
อยากรู้จังว่าในไทยมีประโยคเด็ดไหนให้อารมณ์ประมาณ Make Thailand Great Again บ้าง
มันยากตรง Again อะครับ
It's never been there before, so 'again' does not make any sense :).
ประมาณนี้สินะครับ
+1
เดินหน้าประเทศไทย...
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
"คืนความสุขให้ประชาชน" หรือเปล่าครับ อารมณ์แบบ Make Thai people happy again
Musk แกผลักดันเรื่องพลังงานสะอาดแต่ทรัมพ์ดันทำสิ่งตรงข้าม
Trump นี่ทำให้ปั่นป่วนทุกวงการจริงๆ America จะกลับมา great again ได้หรือเปล่านะครับถ้าพันธมิตรหนีหายหมด
แกไม่เชื่อในภาวะโรคร้อนนี่นะ.... ( ; - ;
โรคร้อน -> โลกร้อน
I'm ordinary man; who desires nothing more than just an ordinary chance to live exactly what he likes and do precisely what he wants.
นึกถึง หัวร้อน -0-
もういい
คือผมไม่ค่อยเข้าใจนะครับว่าอเมริกาจะได้หรือเสียประโยชน์อะไรจากการออกไปจากข้อตกลงนี้ครับถึงมีกระแสให้ออกหรือไม่ให้ออกกัน มีใครทราบรายละเอียดไหมครับ
ทรัมไม่เชื่อเรื้องโลกร้อน
เอาจริงๆ นักวิทย์ ก็ยังเป็นสองขั้วนะครับเรื่องโลกร้อน ขั้วนึกก็เชื่อแบบที่โปรโมทกัน อีกขั้วเชื่อว่ามันเป็นวัฏจักรของโลกเราเอง เพราะเหมือนมีหลักฐานว่า ยุคที่ยังไม่มีมนุษย์อาศัย ก็โลกก็เคยไม่มีน้ำแข็งที่ขั้วโลก ผมก็ไม่แน่ใจว่าเป็นยุคที่โลกเริ่มเย็นตัวหรือป่าว
และก็ยังมีการยกเรื่องอุณหภูมิโลกครับ ว่าที่มนุษย์รู้สึกร้อนขึ้นเฉพาะแค่ในเมืองใหญ่ ที่อุณหภูมิมันโดดขึนมา ส่วนในป่า หรือที่ๆ ไม่ได้เป็นเมือง มันก็ยังเหมือนๆเดิม
(อย่าเพิ่งเชื่อนะครับ เหมือนเคยอ่านมาอย่างนี้)
หลายสิบปีก่อนนักวิทยาศาสตร์เคยมีความเชื่อไปคนละทางกันครับ แต่สิบปีหลังนี้ผลการเก็บข้อมูลและวัดค่าต่างๆ แสดงให้เห็นชัดเจนในทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าภาวะโลกร้อนเกิดขึ้นในช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นต้นมา ไม่เช่นนั้นข้อตกลงปารีสคงถูกต่อต้านอย่างรุนแรงตั้งแต่แรกเพราะไม่มีหลักฐานสนับสนุนเพียงพอ
จริงๆ เรื่องนี้มีข้อมูลอ้างอิงได้หลายที่ ผมขออนุญาตยกมาแค่ที่เจอจากหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐเอง
คือตัวชี้วัดอย่างดีคือ สัดส่วน CO2 ในอากาศครับ นักวิทยาศาสตร์ทราบกันว่า CO2 นั้นเป็นแก็สหลักที่ทำให้โลกอุณหภูมิสูงขึ้น (greenhouse effect)
ในช่วงที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ก็มีความพยายามไปหาสัดส่วน CO2 ในอากาศย้อนหลังไปหลายแสนปี (ไปเก็บอากาศที่ถูกกักอยู่ในหิมะที่กลายเป็นชั้นดินเยือกแข็งคงตัวที่ขั่วโลกใต้) แล้วก็พบว่า ปกติมันก็จะแกว่งบ้างแต่ไม่เคยหลุด 300 ppm แต่หลังศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา กราฟมันพุ่งชันไปถึง 375 ppm และไม่เคยลดลงเลย
ก็ประมาณว่าจะใช้พลังงานจากถ่านหิน (ซึ่งก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจก) จะใช้น้ำมันเพิ่ม ผลิตรถเพิ่ม ทำอะไรตามใจฉันโดนไม่สนสภาพสิ่งแวดล้อมโลกน่ะ
ถ้าในมุมมองผู้ผลิตหรืออุตสาหกรรมเลยนะครับ การพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมักได้ผลพลอยได้คือการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ปรับปรุงกระบวนการให้ดีขึ้น หาข้อบกพร่องในการทำงาน ฯลฯ (ด้วยเครื่องมีที่เรียกว่า LCA) ซึ่งถ้าทำกันเองมันขาดแรงจูงใจ และมีความเสี่ยงว่ากว่าจะคืนทุนคงอีกซักพัก แต่ถ้ามีกลไกรัฐมาช่วย มันจะมีความเสี่ยงน้อยลงครับ ซึ่งก็จะ win-win กันทุกฝ่าย
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
ดูเหมือนทรัมป์จะทำแต่สิ่งที่ตรงข้ามกับความต้องการของคนในประเทศนะครับ
ไม่เชิงครับ คนอเมริกาที่สนับสนุนสิ่งที่ทรัมป์ทำก็เยอะ
ออกจากข้อตกลงต้องเสียอะไรไหมอะ ออกก็ออกดื้อแบบนี้เหรอ