ขึ้นชื่อว่าเป็นซีอีโอผู้บุกเบิกอูเบอร์ ก็น่าจะสร้างบารมีและความเชื่อถือจากพนักงานอูเบอร์ได้พอสมควร จากเหตุการณ์ Travis Kalanick ซีอีโออูเบอร์ลาออก มีพนักงานไม่ต่ำกว่า 1,000 คน เรียกร้องไปยังบอร์ดบริหาร ให้เขากลับมา
พนักงานอูเบอร์กว่าพันคนร่วมลงนามในจดหมายเรียกร้องไปยังบอร์ดบริหารอูเบอร์ ให้ Travis Kalanick กลับมาทำงานต่อ โดยจดหมายเป็น Google Docs พนักงานคนอื่นสามารถลงชื่อเพิ่มเติมได้ และจนถึงตอนนี้มีพนักงานลงชื่อคิดเป็น 10% ของพนักงานอูเบอร์ทั้งหมดแล้ว (ไม่รวมคนขับ)
สาระสำคัญของเนื้อหาจดหมายสรุปว่า บรรดาพนักงานที่ร่วมลงชื่อไม่เห็นด้วยกับการกระทำของนักลงทุนที่กดดันให้ Travis ลาออก ในฐานะที่ทำงานร่วมกับเขา อูเบอร์คงไม่เติบโตได้อย่างวันนี้ถ้าขาดเขา พนักงานอูเบอร์รู้สึกผิดหวังกับวิสัยทัศน์คับแคบเช่นนี้ Travis อาจจะมีข้อบกพร่องบ้าง แต่ทุกคนก็มีเช่นกันเขามีวิสัยทัศน์และหลงใหลในอูเบอร์อย่างที่ไม่มีใครเทียบได้ เขามีความสำคัญต่ออนาคตของอูเบอร์
เว็บไซต์ Axios ระบุว่าได้รับคำตอบจาก Mood Rowghani จากบริษัทพาร์ทเนอร์ที่ลงทุนในอูเบอร์ Kleiner Perkins Caufield & Byers ต่อกรณีจดหมายเรียกร้อง Rowghani พูดเชิงเห็นด้วยกับกลุ่มพนักงาน โดยบอกว่ามันอาจจะผิดก็ได้ที่สรุปว่าความผิดพลาดต่างๆ นั้นผู้ก่อตั้งมีส่วนเกี่ยวข้อง และเราไม่ควรดูถูกดีเอ็นเอของผู้ก่อตั้งที่มากประสบการณ์
ที่มา - Axios
Comments
พอผ่านไปซักพัก บริษัท ทำท่าจะล้มละลาย จึงก็เรียกตัวกลับมาทำงานใหม่....
(จะเดจาวูไหม?)
จนป่านนี้ก็ยังขาดทุนนะครับ
ที่เมืองไทยก็มีบางหน่วยงานทำแบบนี้ แต่กลายเป็นว่า พนง คนใดไม่ร่วมลงชื่ออาจจะได้รับผลกระทบอะไรบางอย่าง ก็เลยลงๆไป
ผลพวงจากวัฒนธรรมองค์กรที่ผบหเดิมวางเอาไว้
จริง ๆ แล้วไอ้คนลงชื่อนี่กลัวโดนเช็คบิลล์แหงๆ
พนักงาน10%ที่มีคุณภาพ สำคัญกว่า ....
เดา ... เข้าใจว่าแผนดำเนินการสำหรับการบริหารตามความฝัน มันน่าจะไม่สะท้อนความจริงหลายๆ อย่าง ทำให้เมื่อ CEO แนวความฝันลาออก บ.ก็จะดำเนินการเชิงธุรกิจมากขึ้น ใครที่ถูกจ้างมาตามที่ CEO ฝันเอาไว้ ก็เตรียมตัวเป็นกระจกสะท้อนความจริงได้เลย
ดูจากผลประกอบการ อาจจะกลัวโดน lay off ลดขนาดองค์กร
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
ยังดีที่สายป่านยาวได้เงินลงทุนไปเยอะ แต่ธุรกิจก็คือธุรกิจ นักลงทุนอย่างไรก็อยากได้ผลกำไรกลับมาอยู่ดี