หนังสือพิมพ์ Korea Herald ของเกาหลีใต้ อธิบายปัญหาความล่าช้าของ Samsung Bixby ภาคเสียงภาษาอังกฤษ (ภาษาเกาหลีเปิดบริการไปแล้ว) ว่าเกิดจากซัมซุงมีข้อมูล big data ภาษาอังกฤษไม่เยอะพอ ส่งผลให้ AI ของ Bixby เรียนรู้ไม่ได้ตามที่ต้องการ
ซัมซุงเคยประกาศไว้ว่า Bixby ภาคเสียงภาษาอังกฤษจะเปิดบริการในเดือนพฤษภาคม ตามด้วยเสียงจีนในเดือนมิถุนายน แต่มาถึงตอนนี้ก็ยังไม่เปิดตามที่ประกาศไว้ ตรงนี้โฆษกของซัมซุงยอมรับเองว่าพัฒนา Bixby ในภาษาอื่นล่าช้ากว่าแผน เพราะข้อมูลไม่เยอะพอ
Korea Herald ยังอ้างแหล่งข่าววงในว่า การสื่อสารและประสานงานระหว่างทีมของซัมซุงในเกาหลีใต้กับในสหรัฐ ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ Bixby ภาษาอังกฤษล่าช้า
ที่มา - Korea Herald
Comments
ก็เข้าใจนะว่าต้องการลดการพึ่งกา Google
แต่คิดจะทำอะไรเลียนแบบเขา ก็ควรจะมีทรัพยากรที่มากพอ
ตัวเองเก่ง HW ไม่เก่ง SW อันนี้ต้องยอมรับ การกินรวบมันก็ดี แต่ทำมาพิกลพิการแบบนี้ ถ้าทำตามเป้าหมายไม่ได้ ก็อย่าดันทุรังเลย ช่วยกันใช้ Assistant แล้วส่ง Bug กลับไป ช่วยพัฒนาดีกว่า
ผมว่าคงมีโอกาศเป็นไปตามเป้าหมายอยู่นะครับ คงไม่ถึงกับดันทุรัง
อีกอย่างพัฒนาขึ้นเองมันน่าจะดีกว่าในแง่การนำไปใช้งานด้านอื่นๆ
เพราะถือว่าได้พัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองขึ้นมาด้วย
ยังไงซะถ้าไม่รอดจริงๆก็คงกลับไปใช้ของ Google ได้อยู่
ผมเห็นด้วยนะ เรื่องที่ตัวเขาเองไม่เก่งด้าน SW ไม่จำเป็นต้องเอางบไปลงกับอะไรที่มันเสี่ยงแบบนี้เลย กว่าจะพัฒนาจนใช้งานจริงได้ ลูกค้าก็ติดใช้ของกูเกิ้ลไปก่อนละ
ผมว่าแค่ผู้ใช้งานเลือกได้ว่าจะใช้อะไรได้ก็พอแล้วนะครับ
ส่วนซัมซุงซึ่งคิดว่าทั้งเงินและคนเหลือเฟือ อาจตั้งใจเผื่อไปใช้กับ Tizen ด้วยในอนาคตก็ได้ ซึ่งกูเกิ้ลก็ไม่น่าจะทำไปลงอยู่ละ
ผู้ใช้อย่างเรา ยิ่งมีคนทำเยอะก็ยิ่งดีนะ
จริงๆประโยคสุดท้ายคือประโยคที่ดีครับ มองในมุมผู้บริโภค อันนั้นผมให้ความเห็นในเชิงธุรกิจเฉยๆ ถ้าเผื่อไปใช้ใน Tizen ก็โอเค แต่มาโปรโมตกะให้ปังบนมือถือแต่ดันใช้งานจริงๆไม่ได้ยังงี้มันน่าจะเป็นผลเสียมากกว่านา
เหมือนกับ Apple ละครับ สมัยก่อนเปิดตัว Siri ก็ ไม่ค่อยสมบูรณ์ ก็พัฒนามาเรื่อยๆ
ถ้าไม่เริ่มทำตอนนี้ อนาคตสายไป โดนแย่งตลาดไปหมดละครับ
ผมไม่เห็นด้วยกับการปิดกั้นตัวเองจากการทำสิ่งใหม่ๆ นะครับ เข้าใจว่ามีคนที่ทำดีกว่าและเอามาใช้ได้เลย แต่การต้องพึ่งพาคนอื่นตลอดไปในธุรกิจมันขาดความมั่นคงนะครับ เมื่อพอมีกำลัง และสิ่งที่จะทำมันประยุกต์ได้เยอะคุ้มจะเสี่ยง เขาคงมองว่ามันจะคุ้มค่าการลงทุนในระยะยาวครับ ผมคิดว่านี่เป็นโปรเจกต์ปูทางให้ Samsung เข้าสู่การต่อสู้สังเวียน AI ถ้าไม่ทำก็คงถูกทิ้งไว้ข้างหลัง กลายเป็นลูกไก่ให้ Google ไป
ช่วงแรกๆ ลำบากหน่อยก็เป็นปรกติของการทำผลิตภัณฑ์อยู่แล้ว พอเรียนรู้ไปเดี๋ยวก็ง่ายขึ้น ฐานลูกค้ามีให้ทดลองตั้งมากมาย สุดท้ายถ้ามันยากจริง (โดยเฉพาะพวกงาน NLP นี่ยากมาก) เขาอาจจะไปสาย Hybrid ก็ยังได้
SPICYDOG's Blog
การคิดนวัตกรรมใหม่ไม่ใช่เรื่องผิดนะครับเป็นเรื่องที่ดีด้วย แต่มันเลยยุคบุกเบิกมาแล้วที่จะมาเริ่มจาก 0 ยิ่งมีเจ้าตลาดอยู่แล้ว การจะเปิดตัวอะไรออกมาใหม่มันควรจะว้าว และมีจุดเด่นจุดแข็งกว่าคู่แข่ง ซึ่งจุดนี้มันต้องทำการรบ้านหนักมาก ถึงเริ่มเอามาขายได้ ไม่เช่นนั้นคงไม่เรียกว่านวัตกรรม อย่าง Google now ตอนแรกก็ไม่ได้เก่งอะไร แต่พอ Google Assistant ออกมากลายเป็นว่ามันเก่งที่สุดในบรรดา AI ตอนนี้ แต่ซัมซุงเนี่ย หลายครั้งแล้วที่ทำอะไรเหมือนวางแผนมาไม่ดีพอขอแค่ได้ขาย โฆษณา Bixby ไว้สะดิบดี สุดท้ายคนที่รับกรรมก็ User แบบเราๆนี่แหละครับ รอกันเกล้อใช้ได้แค่เกาหลี ขนาดอังกฤษยังไม่ได้ใช้เลยกว่าไทยจะได้ใช้คงออก S9 ไปแล้ว ไอ้ปุ่มที่เอาไว้เรียก bixby ก็คงฝุ่นเกาะ
จะยังไงก็ควรพัฒนาด้วยตัวเองได้แล้วครับ แรกก็ต้องล้มลุกคลุกคลานบ้างแหล่ะเป็นทุกเจ้าอยู่แล้วสำหรับการนับ 1 ใหม่ แต่ถ้ายังอยู่ใต้ร่มเงา Google ต่อไปมันก็ไม่ดีหรอก
ตอนนี้ผมก็รู้สึกว่า Google เริ่มมีผู้ใช้เป็นตัวต่อรองมากขึ้นเรื่อยๆเป็นเรื่องที่น่ากลัวครับ ถ้าประเทศที่จะมีเรื่องด้วยกับ Google ไม่ใช่อเมริกาเองผมเชื่อว่ายังไง Google ก็ไม่กลัวครับ
ถ้าซัมซุงคิดแบบนี้ตั้งแต่ตอนแรก ผมว่าแม้แต่ฮาร์ดแวร์เขาก็จะไม่เก่งไปด้วย
ไม่มีใครเก่งตั้งแต่เริ่มหรอกครับ ถ้ามีเงินพอก็พยายามทำไปเถอะไอ้เรื่องที่ไม่เก่งเนี่ย
จะกลายเป็นไส้ติ่งเปล่าๆ