แม้ Mark Zuckerberg ออกมาปฏิเสธหลายต่อหลายครั้งว่า เขาไม่ได้ต้องการลงสมัครประธานาธิบดีสมัยหน้า แต่หนทางที่เขาปูไว้มันช่างดูสวนทางกับสิ่งที่เขาบอก อย่างการจ้าง Joel Benenson ซึ่งเป็นทั้งที่ปรึกษาระดับสูงของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา และเป็นนักยุทธศาสตร์ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งของโอบามาทั้งสองสมัย แถมยังเป็นหัวหน้าทีมยุทธศาสตร์ช่วงหาเสียงเลือกตั้งให้ฮิลลารี คลินตันอีก
Mark ตั้งปณิธานทุกปีว่าเขามีแพลนจะทำอะไรบ้าง เมื่อต้นปีที่ผ่านมาเขาแพลนว่าจะไปพบปะผู้คนทุกรัฐทั่วประเทศ และแพลนไว้ว่าจะเดินทางให้ได้อย่างน้อย 30 รัฐ เพื่อทำให้บรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งไว้ ความตั้งใจของเขาทำให้ผู้คนเริ่มตั้งคำถามว่าเขากำลังวางตัวเหมือนนักการเมืองพบปะประชาชนเพื่อหาเสียง แถมผู้คนที่แวดล้อมตัวเขาก็ทำให้เชื่อได้ไม่ยากว่าเขากำลังจะลงเล่นการเมืองจริงๆ
คุณจะเห็นภาพความเป็นมิตรของ Mark ที่กำลังพบปะผู้คนซึ่งเป็นภาพที่ธรรมชาติและดึงดูดใจมาก ด้วยฝีมืออดีตช่างภาพของประธานาธิบดีโอบามา Charles Ommanney เพิ่งจะเข้ามาเป็นช่างภาพส่วนตัวให้ Mark เมื่อปีที่แล้วนี่เอง
ทริปของการเยือนในแต่ละที่ ก็มีอดีตทีมงานรัฐบาลเป็นคนกำหนดแผนการเดินทางให้ และตอนนี้ Mark ยังมีหน่วยงานการกุศล Chan Zuckerberg Initiative ที่เขาประกาศยกหุ้น Facebook 99% ให้กับหน่วยงานนี้ซึ่งมีมูลค่า 4.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อยกระดับขีดความสามารถมนุษย์และลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยเน้นการพัฒนาเรื่องการศึกษา การแพทย์
ภาพจาก Facebook: Mark Zuckerberg
Mark ให้ความสำคัญกับประเด็นใหญ่ๆ หลายเรื่อง นับตั้งแต่เรื่องสิ่งแวดล้อม ที่เขาเคยกล่าวสุนทรพจน์ในงานวันรับปริญญาของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดว่า เขาเชื่อว่าการหยุดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคือความท้าทายที่สำคัญสำหรับคนยุคนี้ และยังพูดถึงทรัมป์หลังจากที่นำสหรัฐฯ ถอนตัวจาก Paris Accord ว่า จะยิ่งทำให้สิ่งแวดล้อมยิ่งแย่ลงไปอีกและคิดว่าทุกคนสามารถร่วมมือกันเพื่อหยุดการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศได้ ก่อนที่จะสายเกินไป แถมยังจะตั้งศูนย์ข้อมูลแห่งใหม่โดยใช้พลังงานทดแทน 100% อีกด้วย
ภาพจาก Facebook Newsroom
ขณะที่เรื่องสาธารณสุข Mark ทุ่มเงินไปนับพันล้านในการทำวิจัยในเรื่องเวชศาสตร์ป้องกัน (preventive medicine) Mark จ้าง David Plouffe ซึ่งเป็นนักยุทธศาสตร์ด้านการเมืองและเป็นผู้จัดการในการจัดแคมเปญเลือกตั้งให้โอบามาสำเร็จในปี 2008 และถูกชักนำให้มาช่วยรันนโยบายด้านนี้ และเห็นว่ารัฐบาลต้องจ่ายเงินเพื่อรักษาผู้ป่วยเป็นจำนวนมาก (ดังนั้นถ้าป้องกันได้ก่อนที่จะต้องเป็นโรคให้รักษาน่าจะดีกว่า)
นอกจากนี้ เขายังศึกษาเรื่องคนติดฝิ่นในอเมริกาและพบว่าเป็นวิกฤติด้านสาธารณสุขที่ประเทศ กำลังเผชิญอยู่ ในรายงานเรื่องวิกฤติฝิ่นนี้พบว่า ทุกๆ วัน ชาวอเมริกันกว่า 90 รายจะเสียชีวิตเพราะเสพฝิ่นเกินขนาด ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคประเมินว่าเป็นภาระทางเศรษฐกิจ แค่ใบสั่งยาสำหรับพวกที่ใช้ฝิ่นเกินขนาดนี่ รัฐต้องสูญเสียงบประมาณถึง 7.85 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐต่อปี
ส่วนประเด็นการอพยพ Mark สนับสนุนกฎหมายที่เรียกว่า DREAM Act (Development, Relief, and Education for Alien Minors Act) ซึ่งจะช่วยปกป้องเด็กที่ไร้สัญชาติ ไร้รัฐ และไม่ถูกบันทึกไว้ในทะเบียนราษฏรของประเทศ (undocumented immrigrants) กฎหมายนี้จะช่วยให้พวกเด็กๆ เหล่านี้สามารถไปเรียนได้ ทำงานได้ Mark และภรรยาเตรียมทุนการศึกษาให้พวกเขากว่าร้อยทุน และเขายังเชื่อว่าสหรัฐฯ ควรจะเป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับผู้ลี้ภัยทางการเมืองด้วย เขาประณามทรัมป์กรณีที่แบนมุสลิม และนโยบายสร้างกำแพงของทรัมป์ด้วย
ภาพจาก Facebook Newsroom
ขณะที่ประเด็นเรื่องความเป็นธรรมและความเท่าเทียม Mark สนับสนุนให้เพศที่สามสามารถแต่งงานกันได้ และต่อต้านทรัมป์ที่กีดกันคนข้ามเพศไม่ให้รับใช้ชาติด้วยการเป็นทหาร
เขายังสนับสนุนให้มีการเข้ารหัสจากปลายทางถึงปลายทาง (end-to-end encryption) เขาเชื่อมั่นในความเป็นกลางในการให้การบริการทางอินเทอร์เน็ต (net neutrality) และยังอยากให้มีบริการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตฟรีโดยการยิงสัญญาณอินเทอร์เน็ตจากดาวเทียมให้ชาวแอฟริกาสามารถใช้งานมันได้ฟรีด้วย ความตั้งใจที่เขาวางไว้ทั้งหมดนี้เหมือนนักการเมืองคนหนึ่งที่อยากทำให้ประเทศหรือโลกน่าอยู่ขึ้น พัฒนาขึ้น ด้วยเหตุผลเหล่านี้ทำให้คนไม่สามารถหยุดสงสัยได้เลยว่าเขาไม่ได้อยากจะลงเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในอนาคต
ที่มา - Recode
Comments
ภาพ PR ทุกอย่างมันใช่เลยค่ะ คู้นนนนน
ถ้ามาร์คลงสมัคร ปธน บนหน้า feed 90% คงมีแต่ ads ของ mark แน่ๆ
โชคร้ายคงตกที่คนอเมริกันที่ได้เห็นฟีดของซัค
สมัครเหอะ อยากเห็นคนฝั่งไอทีเป็นผู้นำบ้าง
นึกถึงคำขวัญ Blognone อยากได้(ผู้นำ)ต้องทำเอง
คุณมาร์คเราจะสมัครนายกฯบ้างมั้ยนะ
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
บริหารบริษัทเก่ง ใช่ว่าจะบริหารประเทศเก่ง
ประเทศกับบริษัทมันต่างกันนะ ผมว่า
ประเทศต้องอุ้มคนลำบาก
บริษัทไล่คนไม่มีความสามารถออก
เค้าคงมีที่ปรึกษา ที่มีความสามารถจริงๆ อยู่มากมาย
แล้วแต่ละหน่วยงานใช่ว่าจะยอม รัฐบาลง่ายๆ
อันนี้หมายถึงมาร์คหรือทรัมพ์ครับเนี่ย อ่านๆ ไปแล้วเหมือนใช้ได้กับทั้งสองคน
ทำตัวเป็นTony Starkมากๆ
ฉลาดด้านเทคโทโลยี เป็นเจ้าของบริษัทขนาดใหญ่ รวย แล้วขยายไปเล่นการเมือง
มาร์คคงอยากเห็นการพัฒนาที่ยั่งยืนกว่านี้
ผมก็มั่นใจนะ มาร์คลงแน่ แต่จะสมัยหน้าหรือถัดไป เท่านั้นแหละ
อ่านบทความแล้วดูตรงข้ามกับทรัมพ์ซะทุกเรื่องเลย
ก็ต้องดูว่าคนอเมริกันเจอทรัมพ์เข้าไปแล้วจะชอบหรือไม่ชอบนะครับ เพราะมองในมุมอเมริกันแล้วทรัมพ์อาจจะดูใส่ใจอเมริกันมากกว่า ส่วนมาร์คไปในแนวผู้นำโลก(ผ่านการเป็นผู้นำอเมริกา)แทน
จริงสถานะอเมริกาตอนนี้ก็คือผู้นำโลกแล้วนั่นล่ะ การที่จู่ๆทรัมป์จะมาบอกว่าชาตินั้นต้องจ่ายตังค์ค่าคุ้มครองมา ชาตินี้ห้ามเข้า ผมว่ามันสายไปแล้วที่อดมริกาจะออกแอคชั่นแบบนี้ สรุปทรัมป์เหมือนตกยุคแล้วนั่นเอง
และโลกเราจะไม่มีความลับและเรื่องส่วนตัวอีกต่อไป
อยากจะรู้ว่าจะลงให้เดโมแครตหรือเปล่า (คงไม่ไปทางรีพับลิกันแน่ๆ แนวทางคนละข้างกันเลย) หรือจะลงอิสระ ถ้าลงอิสระจริงน่าจะเป็นอะไรที่น่ากลัวสำหรับสองพรรคใหญ่มากๆ
ประเด็นนี้น่าคิด เอาให้ทางเลือกใหม่จริงๆ ลงอิสระไปเลย