จากกรณีเหตุปะทะระหว่างกลุ่มนิยมคนขาวแบบสุดโต่งกับกลุ่มต้านการเหยียดผิวเกิดขึ้นที่ชาร์ล็อตต์วิลล์จนทำให้วงการไอทีออกตัวต่อต้านชัดเจน ทั้ง GoDaddy, Google, Discord, Facebook, Twitter, Apple, Spotify ฯลฯ พร้อมใจกันระงับการใช้งานเว็บนาซีใหม่ (neo-Nazi) หรือ Daily Stormer กันเต็มที่ แม้จะมีทนายความอาวุโสจาก EFF เคยให้สัมภาษณ์กับ The Verge ว่า GoDaddy มีสิทธิที่จะไม่ให้บริการโดเมนแก่เว็บใดๆ ก็ย่อมได้
ล่าสุด EFF (Electronic Frontier Foundation) ผู้สนับสนุนให้มีการบริการคอนเทนต์อย่างเป็นกลาง ชี้แจงผ่านบทความการต่อสู้กับนาซีใหม่และอนาคตของเสรีภาพในการแสดงออก พูดถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่ามีทั้งอารมณ์ ตรรกะ และการบิดการใช้กฎหมายผสมผสานกัน แต่ก็ต้องยอมรับว่าในอินเทอร์เน็ตสามารถใช้แทคติกใดๆ ก็ได้ที่ทำให้เสียงของเหล่า neo-Nazi เงียบลง ขณะเดียวกันฝั่งที่เราเห็นด้วยก็อาจจะได้รับผลกระทบในไม่ช้า
ภาพจาก EFF
EFF เห็นว่า การปกป้องเสรีภาพในการพูด (free speech) ไม่ใช่เพราะเห็นว่าทุกคำพูดเราต้องปกป้อง แต่เพราะเชื่อว่าไม่มีใคร หรือหน่วยงานรัฐใด หรือองค์กรเอกชนใดๆ ควรจะตัดสินใจได้ว่าใครควรจะพูดหรือใครไม่ควรพูด โดยยกเหตุการณ์ของเว็บไซต์ Daily Stormer ที่เป็นของกลุ่มนาซีใหม่ที่เผยแพร่บทความที่ทำร้ายความรู้สึกและล่วงละเมิดผู้อื่นอย่าง Heather Heyer หญิงสาวที่เสียชีวิตจากการถูกคนจากกลุ่ม white supremacy ขับรถพุ่งชนกลุ่มที่ต้านการเหยียดผิว จากนั้น GoDaddy ก็ยุติการให้บริการ ตามด้วย Google และ Cloudflare
EFF ปกป้องสิทธิที่คนจะสามารถพูดอะไรก็ได้ตามที่บทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมของรัฐธรรมนูญฉบับที่ 1 ระบุไว้ว่า สภาคองเกรสจะไม่ผ่านกฎหมายใดๆ ที่บั่นทอนเสรีภาพในการพูด การพิมพ์ ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการติดต่อสื่อสาร มาตรา 230 ที่มีมาตั้งแต่ปี 1996 เป็นกลไกในการปกป้องเสรีภาพในการแสดงออกและนวัตกรรมทางอินเทอร์เน็ต
GoDaddy, Google และ Cloudflare ได้ทำสิ่งที่อันตราย เพราะผู้เป็นสื่อตัวกลางในการให้บริการทางอินเทอร์เน็ต (Internet intermediaries) โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีผู้แข่งขันน้อยราย การตัดสินใจควบคุมเสรีภาพในการพูดจะส่งผลกระทบไปทั่วโลก สื่อตัวกลางจะอยู่ระหว่างคนเขียนหรือคนโพสต์และคนอ่านคอนเทนต์ ซึ่งรวมถึง ISP ที่เป็นผู้ให้บริการทางอินเทอร์เน็ตด้วย เหตุผลที่ทำให้คนสนับสนุนความเป็นกลางทางอินเทอร์เน็ตเป็นล้านๆ ราย ก็เพราะเขากังวลกับการเซ็นเซอร์
ภาพจาก EFF, Manila Principles
EFF เห็นว่าผู้ทำหน้าที่เป็นสื่อตัวกลางดังกล่าว ควรมีกระบวนการทำงานที่ชัดเจน ไม่คลุมเครือ แม้ว่าจะมีคอนเทนต์แบบใดก็ตามที่ทำให้ผู้เป็นสื่อตัวกลางต้องปฏิเสธการเผยแพร่ ไม่ว่าจะถูกกำหนดโดยเงื่อนไขในการให้บริการ ไปจนถึงการกดดันโดยรัฐเพื่อให้มีการเซ็นเซอร์อย่างลับๆ EFF เสนอให้ทำตามแนวทางหลักการมะนิลาว่าด้วยความรับผิดของสื่อตัวกลาง Manila Principles on Intermediary Liability เพื่อบรรเทาความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ เพื่อปกป้องเสรีภาพในการแสดงออกและบาลานซ์ความต้องการระหว่างรัฐบาล ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง กลุ่มประชาสังคมต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วโลก เพื่อให้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและกรอบกฎหมายระหว่างประเทศอื่นๆ
Manila Principles หรือหลักการมะนิลา ระบุว่า
ที่มา - EFF, Manila Principles
Comments
Cloufflare -> Cloudflare รึเปล่าครับ
ขอรัฐธรรมนูญ ?
รู้สึกว่าหลักการมะนิลาจะไม่ทำงานแถวๆประเทศหนึ่งนะ
ถ้าบอกแบบนี้เว็บ เพจ Youtube Channel ของผู้ก่อการร้ายก็ไม่ควรถูกบล๊อกสิครับ
ก็ต้องดูเป็นเรื่องๆไปอะครับ ว่าในประเทศการก่อการร้ายเป็นเรื่องห้ามเผยแพร่รึเปล่า มีสิทธิเผยแพร่ไหม สมมติว่าถ้าในไทยเผยแพร่การก่อการร้ายไม่ได้ สื่อนั้นก็ควรต้องบล๊อกคอนเท้นการก่อการร้ายในประเทศไทยตาม ก.ม. อะครับ หลักการมนิลามันก็ว่าอยู่ชัดเจนนะครับว่าให้ยึด ก.ม.
เฉกเช่นเดียวกัน ก็ต้องดูว่าคอนเท้นของนีโอนาซีที่ว่าผิด ก.ม.อเมริการึเปล่า ถ้าไม่ สื่อนั้นๆก็ไม่ควรบล๊อกคอนเท้นดังกล่าวครับ
ต้องถามก่อนว่า EFF ใช้คำว่าเสรีภาพแบบไหน?
เพราะกรณีเหยียดผิวมันก็ก้ำกึ่งระหว่างกฎหมายหลายๆตัว
ถ้า EFF อ้างเรื่องกฎหมายเสรีภาพในการแสดงความเห็น
แล้วสมมติคนเชื้อสายยิว กับ ผิวสีเค้ายึดว่าการแบ่งแยกเค้าเป็น
การประทุษร้ายที่ทำให้ได้ความกระทบกระเทือนทางจิตใจหละ?
มันก็ผิดกฎหมายในอีกมาตราหรือเปล่า?
ดังนั้นก็พอจะพูดได้ว่าเป็นโซนสีเทาที่กึ่งๆเซฟพอดี
ปล1. อับราฮัม ลินคอร์นในหลุมคงมือสั่นไปหมดแล้ววว
"การปกครองโดยประชาชน เพื่อประชาชน"
รัฐธรรมนูญผมว่ามีบัญญัติความหายของคำว่าประชาชนนะ
ผมว่าที่ EFF ต้องการสื่อคือ จะถูกหรือผิด จะบล็อกหรือไม่บล็อกควรให้ศาลเป็นคนตัดสิน(ซึ่งตัดสินตามกฎหมาย) ไม่ใช่ให้ผู้ให้บริการเป็นคนตัดสิน(ซึ่งตัดสินจากอะไรก็ไม่แน่ใจ)
ประเด็นคือหลายๆ รายที่โดนบล็อกไปมันก็ชัดเจนด้วยพฤติกรรม และพฤติการณ์น่ะครับ
บางอย่างที่มันชัดเจนแล้วสังคมไม่มีส่วนร่วมในการต่อต้าน จะรอศาลตัดสินอย่างเดียวมันก็ดูเก้ๆ กังๆ ไปครับ
ผมว่าเปลี่ยนแนวไปเป็น "ถ้าคิดว่าโดนบล็อกไม่มีเหตุผล ก็ไปฟ้องเอา" แบบนี้ดีกว่า
อย่างกูเกิลนี่มีแนวทางที่ค่อนข้างชัดเจน แม้ว่าในบ.กูเกิลจะเปิดเสรีการพูด แต่กูเกิลบอกเลย ไม่ใช่ว่าเราจะปล่อยให้พูดโดยไม่ทำอะไรเลย
เสรีแบบไม่มีขอบเขตก็จะเจอปัญหาเรื่อง Paradox of tolerance
ลายเซ็นยาวเกินไปครับ
เนื้อหาต้องไม่ถูกกำหนดให้ควบคุมใดๆ เว้นแต่จะมีคำสั่งจากศาล
อุ๊ย นี่แอบด่า service provider ว่าเป็นศาลเตี้ยรึเปล่า หรือด่าตรงๆเลย
แต่อย่างไรก็ดี บางคอนเทนต์ต้องถูกแบนอย่างว่องไว ที่ต้องไวกว่าระยะเวลากว่าคำสั่งของศาลจะมาตามปกติ อันที่จริงข่าวเมื่อวานเรื่องศาลไซเบอร์ของจีนก็เป็นทางออกที่ดีนะ
ผมว่า บ้างสิ่ง ก็จำเป็นต้องมีการควบคุม
โลกจริงๆ มันไม่สวยเหมือนจินตนาการของเรา
เช่นเราหวังให้ทุกคนเป็นคนดี แต่โลกจริงๆไม่มีใครดีหรือเลว 100% พฤติกรรมเลวจึงควรถูกควบคุมไว้
ผมไม่แน่ใจว่า Supreme Court เคยมีประเด็นชี้ขาดเกี่ยวกับเนื้อหาของพวก Neo Nazi หรือ White supremacist แล้วยังนะครับ
้ามีแล้ว การที่ ผบก. จะบล็อกไปตามการตีความเทียบเคียงตามคำสั่งฯ ก็น่าจะทำไปก่อนได้ แต่ต้องมีกระบวนการอุทธรณ์คำสั่งได้ด้วย ผมมองว่า ผบก. ยังขาดกระบวนการอุทธรณ์นี่ล่ะ
บล็อกส่วนตัวที่อัพเดตตามอารมณ์และความขยัน :P
อ่ะ งั้นลบทุกอย่างเกี่ยวกับ Hitler ออก
Jews Holocaust ไม่มีอยู่จริง
โลกมีแต่ม้ายูนิคอน วิ่งในทุ่งลาเวนเด้อ ดูสวยงามไปหมด
หาจุดกึ่งกลางยาก
ผมจะยกตัวอย่าง บางคนอยากนับถือผีเพราะพ่อแม่เขาปลูกฝังมาแบบนั้น อยากนับถือระบบชนชั้น(ผี)ซึ่งมีแนวคิดมองคนไม่เท่ากัน(ทุกคนต้องยอมผีห้ามสงสัย ห้ามเถียง) และกดขี่คนอื่น(ต้องบูชาผี ใครไม่บูชาจะโดนทำร้ายหรือกดดันจากสังคมคนเชื่อผี) แต่มันก็เป็นสิทธิ์ของเขาไหมที่จะคิดแบบนั้น?
เขาก็น่าจะมีสิทธิ์พูด หรือเผยแพร่ความเชื่อของตัวเองในที่ใดๆ?
แต่เขาจะไม่มีสิทธิ์ถ้าเอาความนับถือนั้นไป"ละเมิด"คนอื่นโดยตรง
ทีนี้มันแยกยากระหว่างการนำเสนอความเชื่อ หรือว่าเป็นการปลุกระดม ให้คนเชื่อไป"ละเมิด"คนอื่น
อีกอย่าง ถ้ายกว่าห้าม เพราะมีแนวคิดส่งเสริมการละเมิดคนอื่น ความเชื่อหรือลัทธิที่"นิยม"กันในปัจจุบันหลายอันเอง ก็แฝงแนวคิดชนชั้นหรือกดขี่ไม่ต่างกัน โดยเฉพาะแนวคิดที่ต้องกำจัด/ทำร้ายคนที่ไม่เชื่อเหมือนตัวเอง เพียงแต่ด้วยกฎหมายที่เข้มงวด เลยทำให้ความคิดละเมิดคนอื่นเหลือเป็นแค่แนวคิดฝังไว้ลึกๆ ยกเว้นเกิดเหตุจลาจล แนวคิดถึงเปลี่ยนเป็นการกระทำ...ไม่ต้องไปดูไหนไกลหรอก...แนวคิดประเภทยอมทำเลวเพื่อความดี(?)มีกันเพียบ
Devil's advocate 4.0?
ปัญหาของหลักการมะนิลาคือ
- ตัวกฏหมายเองมีความชัดเจนเพียงพอที่จะตัดสินว่าความคิดใดเป็นภัยคุกคามหรือไม่ หรือต้องอาศัยวิจารณญาณของผู้พิพากษาเป็นกรณีไป
- การอาศัยศาลเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดแต่เพียงผู้เดียวนั้นรวดเร็วเพียงพอหรือไม่ ในขณะที่ปกติก็มีคดีความรอคิวพิพากษาเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว
- เป็นหน้าที่ของผู้ให้บริการเนื้อหาเองด้วยหรือไม่ที่จะระงับยับยั้งเนื้อหาที่นำไปสู่ความรุนแรง หรือการคุกคามในอนาคต
- เสรีภาพในการพูดนั้นควรจะมาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ไม่น้อยไปกว่ากันหรือไม่
โลกสวยมันก็มีอยู่แค่ในจินตนาการแค่นั้นแหละ
สื่อทุกอย่างเมื่อโดนบิดเบือนมีผลต่อการตัดสินใจของผู้คน และมันง่ายมากที่คนที่มีอำนาจจะปรับอำนาจเพื่อตัวเอง
... เค้าแค่ระวังไม่ให้ usa กลายเป็น เกาหลีเหนือนั้นแหละครับ ...
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
บริษัทมีเสรีภาพในการบล็อกเว็บที่ไม่ชอบใจไหม เอ๊ะผมเริ่มงงคำนี้ - -
May the Force Close be with you. || @nuttyi
free speech or hate speech
สิทธิมนุษย์ชน Free speach มันต้องมาก่อน อยู่เหนือ Hete speach อยู่แล้วครับ คือต้องแยกแยะว่า Hate speach มันไม่ใช่ Free speach นะครับ อย่าปนกัน บล๊อกอะถูกต้องแล้ว
1st amendment มันเป็นอะไรที่ลูกผีลูกคนมาก อย่างพวกปลุกระดมให้ก่อเหตุรุนแรงหรือสนับสนุนการก่อการร้ายไม่คุ้มครองแน่นอน
แต่เดี๋ยวก่อน...... พวก Hate Speech กับการตีความนั้นมันแปลกสุดๆ
ย่อดีกว่า : หลักการมะนิลา(ขึ้นต้นเป็นมะลิซ้อนฯ....) มีไปก็ไม่ช่วยอะไรเพราะไม่ใช่กฎหมายบังคับ แต่คำถามคือเขาทำผิดอะไรใน 1st amendment ที่ถึงขั้นแบน(ไปทั่ว)?
ps. ผมไม่ใช่ racist นะครับ ดูตามกฎหมายล้วนๆ
จริงๆไม่เกี่ยวกันกับ 1st amendment เลยนะครับ 1st amendment ใช้ในกระบวนการตามกฎหมายตามปกติขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล
คือคน'ทำผิดกฎหมายต้องได้รับโทษจากระบบของรัฐ' อันนี้เป็นเรื่องปกติ
แต่นอกจากกระบวนการทางกฎหมายแล้ว เรายังมีบรรทัดฐานทางสังคมอื่นๆอีก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการลงโทษจะต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย ซึ่งกรณีนี้ผมเข้าใจว่า 'การปฏิเสธการให้บริการต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง'นั้น ไม่น่าผิดกฎหมายนะครับ เพราะไม่ได้ไปทำร้ายใครหรือเสรีภาพของใคร คนเหล่านั้นยังแสดงออกได้ปกติเพียงแต่ว่าคงต้องไปแสดงออกที่อื่น อย่าง Blognone เองก็จัดอยู่ในกลุ่มผู้ให้บริการด้วย การบล็อกบัญชีผู้ใช้ก็เป็นเรื่องปกติ
เรื่องนี้ผมมักจะพูดเสมอๆว่า free speech หรือการกระทำที่ไม่ผิดกฎหมายไม่ได้หมายถึงว่าเราจะไม่ได้รับ consequences อะไรเลย เราแค่ไม่ได้รับโทษทางกฎหมาย แต่โทษทางสังคมมันมีอยู่แล้วทั้งทางตรงและทางอ้อมครับ อย่างเสื้อเหลืองเสื้อแดงในไทยก็อาจจะโดนสังคมรังเกียจ ปฏิเสธการให้บริการ ปฏิเสธการเข้าใช้บริการเป็นเรื่องปกติ เช่นร้านก๋วยเตี๋ยวเสื้อแดงอาจขายไม่ออกจนเจ๊ง แบบนี้เป็นต้น
กรณีนี้ที่มันเป็นเรื่องขึ้นมาก็แค่บริการเหล่านี้เป็นบริการที่ใหญ่ครับ ผู้ให้บริการทำผิดกฎหมายไม๊อันนี้คงไม่(ไม่งั้นเว็บต่างๆคงทำผิดกฎหมายกันหมด) ทำถูกใจผู้ใช้บริการไม๊ อันนี้สุดท้ายแล้วผู้ใช้บริการเองมีสิทธิ์เลือกครับ หากผู้ใช้ไม่ชอบก็แค่เลือกไม่ใช้บริการกับผู้ให้บริการไป
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)