อังกฤษเตรียมใช้วิธีจัดการอาชญากรรมจากความเกลียดชัง (hate crime) ที่เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์ ให้เหมือนกับอาชญากรรมที่เกิดขึ้นบนโลกแห่งความจริง
Alison Saunder อัยการสูงสุด ระบุว่า สำนักงานอัยการ (The Crown Prosecution Service: CPS) จะดำเนินคดีผู้ที่กระทำผิดกฎหมายด้วยการร้องขอให้ศาลพิจารณาโทษ สำหรับผู้ที่ใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียไม่ว่าจะเป็น Twitter, Facebook ฯลฯ ในการล่วงละเมิดผู้อื่น โดยแผนการดังกล่าวนี้ไม่จำเป็นต้องขอให้สภาผ่านกฎหมายใหม่
CPS ให้ความหมายของ hate crime ใช้กับผู้กระทำความผิดที่มีพฤติกรรมอันเกิดจากแรงจูงใจที่มีความมุ่งร้าย / มีความเป็นศัตรู (hostility) ต่อเหยื่อที่เป็นคนพิการ ชาติพันธุ์ ศาสนา เพศ หรือสิ่งที่เรียกเป็นว่าอัตลักษณ์ของบุคคล โดยการปกป้องผู้คนจาก hate crime หรืออาชญากรรมที่มาจากความเกลียดชังนี้ รวมถึงการปกป้องจากการที่เหยื่อถูกใช้ถ้อยคำในการล่วงละเมิด การข่มขู่ การก่อกวน การรังควาน การล่วงละเมิดทางเพศ และการข่มเหงรังแก (bullying) การทำให้สูญเสียทรัพย์
ภาพจาก CPS Hate Crime Matters campaign
ผู้ที่กระทำผิดนี้อาจจะเป็นได้ทั้งเพื่อน เป็นผู้ดูแล เป็นคนคุ้นเคย หรือเป็นผู้ที่หาผลประโยชน์จากความสัมพันธ์ที่มีต่อเหยื่อ ไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์ทางการเงินหรือเป้าประสงค์อื่น ตอนนี้ยังไม่มีการให้คำนิยามสำหรับ hostility (การมุ่งร้าย การเป็นปรปักษ์ หรือเป็นศัตรูกัน) ในทางกฎหมาย แต่สามารถทำความเข้าใจได้จากถ้อยคำเหล่านี้ เช่น ความรู้สึกไม่เป็นมิตร เจตนาร้าย การหมิ่นประมาท การอคติ ความไม่พอใจ-ความขุ่นเคือง และความไม่ชอบ ไม่ยอมรับ
Alison Saunder อัยการสูงสุด
CPS พูดถึงการช่วยเหลือเหยื่อจาก hate crime ว่า ส่วนใหญ่คดีเหล่านี้ทั้งเหยื่อและจำเลยมักจะไม่ต้องไปขึ้นศาล เพราะจำเลยจะไม่สู้คดีหรือยอมรับผิด แต่ถ้าต้องการไปศาลจริงก็สามารถให้หลักฐานได้ CPS จะสอบถามทั้งเหยื่อและจำเลยว่าต้องการความช่วยเหลืออย่างไรบ้าง สำหรับมาตรการพิเศษในการให้ความช่วยเหลือทั้งสองฝ่ายนี้ CPS จะทำเรื่องขอไปยังศาล ให้ศาลเป็นฝ่ายตัดสินใจลำดับสุดท้ายว่าจะพิจารณาให้ความช่วยเหลือหรือไม่
มาตรการพิเศษสำหรับการดำเนินคดีเหล่านี้ เช่น การขอให้มีม่านในห้องพิจารณาคดีเพื่อที่พยานจะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับจำเลย หรือพยานสามารถถ่ายทอดสดผ่านวิดีโอได้เพื่อจะได้ไม่ต้องเข้าห้องพิจารณาคดี หรือสามารถแยกห้องได้ หรือจะถ่ายทอดสดผ่านวิดีโอจากภายนอกอาคารของศาลได้ เป็นต้น CPS มองว่ากลุ่มคนพิการมักจะมีความเสี่ยงสูงที่สุด จึงได้ทำคู่มือเพื่อให้ความช่วยเหลือพวกเขา หลังจากที่อาชญากรรมบนโลกออนไลน์เพิ่มขึ้นมากทุกวัน ก่อนหน้านี้รัฐบาลอังกฤษก็เคยจัดตั้งหน่วยสืบสวนอาชญากรรมสร้างความเกลียดชังบนโลกออนไลน์มาแล้ว
#HateCrimeMatters. Find out how to report it: https://t.co/ZQ5AJHRUut pic.twitter.com/lOJv6GxtUs
— Home Office (@ukhomeoffice) August 21, 2017
หากประเมินจากตัวเลขของ hate crime ที่เกิดขึ้น CPS พบว่าแค่ไตรมาสแรกของปีนี้มีอัตราเพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 20% ศาลตัดสินลงโทษระหว่างปี 2016-2017 มากถึง 83.4% ขณะที่ปี 2015-2016 นั้น มีคดีที่เกิดจาก hate crime สูงมากถึง 15,442 คดี
ขณะเดียวกัน FBI ก็ให้ความสำคัญกับ hate crime เช่นกัน โดยถือว่าเป็นกรณีที่มีความสำคัญสูงสุดของโครงการสิทธิพลเรือนของ FBI (FBI’s Civil Rights) เนื่องจากสร้างผลกระทบสูงมากและถือเป็นเมล็ดพันธุ์ที่บ่มเพาะให้เกิดการก่อการร้ายในประเทศด้วย FBI เชื่อว่า hate crime เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ด้วยซ้ำ ซึ่ง FBI ได้เก็บสถิติค่อนข้างละเอียดมาก สามารถดูรายละเอียดแบบเข้าใจง่ายได้จากกราฟในลิงก์นี้
ภาพจาก CPS Hate Crime Matters campaign
FBI ได้จำแนกอาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชัง (hate crime) ไว้ตั้งแต่ปี 1996 จนถึงปัจจุบัน
ที่มา - Techcrunch, The Crown Prosecution Service1, 2, 3, CNN, FBI 1, 2, 3, The Guardian
Comments
ดีจัง อยากให้มีแบบนี้ในไทยบ้าง
อยากรู้ว่าจะระบุตัวตนยังงัย ในเมื่อ ip ยังใช้ยืนยันตัวบุคคลไม่ได้ แถมทั้ง fb twitter ไม่มีการนืนยันตัวบุคคลตอนสมัคร ในโลกจริงมันมีการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลแบบถูกกฏหมาย อย่างพวกกล้องวงจรปิดเอยอะไรเอย จริงๆแค่ไม่ปิดหน้าแล้วเดินออกนอกบ้าน ก็เหมือนระบุตัวตนไปเรียบร้อย แต่กลับกัน บนเน็ทคนกลับเรียกร้องหาความเป็นส่วนตัวยิ่งกว่าโลกจริง แต่กลับต้องการความปลอดภัยในระดับเดียวกัน
กฎหมายที่ให้เก็บ log
ตั้งแต่ web server ยัน isp
พอเกิดเรื่องก็ไล่ได้หมดละครับ
ปูพรม thoughtcrime ไว้เรียบร้อย เหลือแค่รอคนมาบิดเส้นที่กั้น hate/free นิดเดียวก็เสร็จละ ~Orwellian~