ช่วงนี้อาจเป็นวิบากกรรมของคนรัก Bitcoin สักเล็กน้อย เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาCEO ของ J.P.Morgan ออกมากล่าวในแง่ที่ไม่ดีเท่าไหร่นักเกี่ยวกับ Bitcoin ว่าเป็น"การฉ้อโกง" และ "แย่ยิ่งกว่าฟองสบู่ดอกทิวลิป" เมื่อสองวันก่อนตลาดแลกเปลี่ยนที่จีนโดนสั่งปิด ล่าสุดตามมาด้วย Ray Dalio อีกคน
สำหรับ Ray Dalio แล้วเขาคือเจ้าของ Hedge Fund ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Bridgewater Associates มีสินทรัพย์ในการดูแลประมาณ 160,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ล่าสุดเขาพึ่งได้ให้สัมภาษณ์กับทาง CNBC ในรายการ Squawk Box ว่า "Bitcoin นั้นคุณไม่สามารถทำธุรกรรมได้มาก (เหมือนเงินสด - ผู้เขียน) ไม่สามารถนำมาใช้จ่ายได้แบบง่ายดาย" เขาได้กล่าวเสริมอีกว่า "Bitcoin ตอนนี้กำลังอยู่ในสภาวะเก็งกำไรอย่างเต็มรูปแบบ" และ "Bitcoin คือฟองสบู่"
สำหรับสัมภาษณ์เต็มสามารถรับชมได้จากที่มา
ที่มา - CNBC, Bloomberg
ที่มาของรูป - Flickr - World Economic Forum
Comments
จะแบบอีกเจ้าไหมนะ
บอกพนักงานห้ามซื้อ ซื้อไล่ออก
...bitcoinตกวูบ แล้วคนพูดก็ช้อนซื้อ -*-
กำลังจะมาถามเลย เห็นแชร์กันในโซเชียล ไม่มันใจว่ารูปที่เห็นนั่นของจริงมั้ย ตกลงว่าจริงเหรอครับ
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
นี่คือสัญญาณ.... แห่งการรอช้อน
ครั้งที่แล้วอิ่มกันไปรอบ ไม่่ทันจะครบสัปดาห์จะมาให้ช้อนอีกแล้วเหรอ
ลุงแก่คงอยากจะบอกว่ากูขายไปหมดแล้ว ก็ถึงตาที่ต้องทุบลงมา เพื่อเก็บของถูกอีกรอบหรือเปล่า
ถึงว่าร่วงอีกรอบเชียว แต่เบาๆ
ตอนนี้เหมือนฟองสบู่จริง เก็งกำไรกันเยอะมาก
จริง คือที่ราคาขึ้นไปสูงนี้มาจากการเก็งกำไรล้วน ๆ เลย ตัวของมันเองไม่มีมูลค่าด้วยซ้ำ
ต้นทุนของบิตคอยน์ ต่อเหรียญ ประมาณ 1000USD นะครับ นี่คือมูลค่าของมัน
ธนบัตร 1000 บาทใบหนึ่ง ก็คือกระดาษดีๆนี่แหละ
กระดาษดีๆนี่แหละ -> ถ้าจะพูดกันแบบนี้ก็ต้องบอกว่า Bitcoin กับ Wallet เองก็แค่ binary file ดีๆนี่แหละเหมือนกันครับ
ธนบัตรจริงมันมีมากกว่ากระดาษคือต้องใช้ทองค้ำประกันมูลค่าใกล้เคียงกันไม่ใช่อยู่ๆจะพิมพ์ก็พิมพ์ได้ครับ
ป.ล. ส่วนเรื่อง USA พิมพ์ USD เองตามใจนั้นมันแหกกฎการพิมพ์ธนบัตรชัดเจนอยู่แล้ว และคงมีไม่กี่ประเทศที่กล้าทำ แล้วก็ไปเจอกับความเสี่ยงของเงินเฟ้อกันไป
ค่าเงินประเทศต่างๆส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้ ไม่ได้ค้ำด้วยทองแล้วนะครับ
แต่เคลื่อนไหวตามกลไกตลาดแทบจะล้วนๆ
สินค้า(หรือบริการ)จากประเทศไหนเป็นที่ต้องการมากขึ้น >> ผู้ซื้อก็ต้องแลกเงินสกุลนั้นไปซื้อ >> ค่าเงินสกุลนั้นก็จะแข็งขึ้น
และประเทศไหนมีต่างชาติเข้าไปลงทุนมากขึ้น >> ผู้ลงทุนก็ต้องแลกเงินสกุลนั้นไปลงทุน >> ค่าเงินสกุลนั้นก็จะแข็งขึ้น
หมดยุคทองคำกำหนดค่าเงินไปหลายๆๆสิบปีแล้วครับ
ธนบัตร มันมีเงินทุนสำรองของประเทศค้ำประกันครับ เช่น เงินตราของสกุลประเทศอื่นๆที่นิยมใช้กัน, ทองคำเป็นหลัก ส่วนอเมริกานั่นเอาเครดิตตัวเองกับ การที่ทั่วโลกนิยมใช้ USD เป็นหลัก มาใช้ในการพิมพ์ธนบัตรครับ ความน่าเชื่อถือไม่หายไปแต่โดนเงินเฟ้อแทน ทำให้มูลค่าในตัวมันลดลง
แต่ บิตคอยน์ เอาอะไรมาค้ำหล่ะครับแล้วใครค้ำ
BitCoin เหมือน USD ครับ คือไม่มีอะไรค้ำประกัน เอาความน่าเชื่อถือกับความนิยมมาเพิ่มให้มีมูลค่า แปลว่าเมื่อไหร่ความน่าเชื่อถือกับความนิยมหมดลงก็หมดมูลค่าเหมือนกันครับ
บิทคอยน์ ค้ำด้วยความน่าเชื่อถือของ Core devs และ ความ decentralizationของมัน
USD ค้ำด้วย ความน่าเชื่อถือของ รัฐบาลเมกา
USD ค้ำประกันด้วยระบบเศรษฐกิจของ"ประเทศ"สหรัฐอเมริกาครับ ตราบใดที่ระบบเศรษฐกิจยังไม่ล่ม รัฐยังไม่ล้ม ประชาชนจ่ายภาษีได้ มันก็มีมูลค่าเพื่อที่คนนอกจะอยากมาค้าขายด้วย
ค่าเงินประเทศต่างๆส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้ ไม่ได้ค้ำด้วยทองแล้วนะครับ
แต่เคลื่อนไหวตามกลไกตลาดแทบจะล้วนๆ
สินค้า(หรือบริการ)จากประเทศไหนเป็นที่ต้องการมากขึ้น >> ผู้ซื้อก็ต้องแลกเงินสกุลนั้นไปซื้อ >> ค่าเงินสกุลนั้นก็จะแข็งขึ้น
และประเทศไหนมีต่างชาติเข้าไปลงทุนมากขึ้น >> ผู้ลงทุนก็ต้องแลกเงินสกุลนั้นไปลงทุน >> ค่าเงินสกุลนั้นก็จะแข็งขึ้น
หมดยุคทองคำกำหนดค่าเงินไปหลายๆๆสิบปีแล้วครับ
เปรียบเทียบในระดับเดียวกัน ทองคำก็คือโลหะดีๆ นี่เองสิครับ
แต่ยังไงอย่างน้อยมันก็ยังมีคุณค่าและมูลค่าในตัวเองซึ่งสามารถนำไปเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมุลค่าทางเศรษฐศาสตร์ได้อยู่นะครับ
ก็หลังจากได้สมมติแล้วทั้งนั้นแหละครับ
คอยดูสมมติแบบดิจิตอลบ้างครับ ที่เคยสมมติกับทองคำนั้นก็ธรรมดาไปเลย
สมมติอะไรครับ ทองคำคือแร่ชนิดหนึ่งที่จับต้องได้และนำไปใช้งานได้จริงๆ ครับ นี่ไม่ใช่เรื่องสมมติ
เงินดิจิตอลมันมีค่าและนำไปใช้งานได้จริงๆ โดยไม่ต้อง "จับต้องได้" ครับ
ซอฟต์แวร์ที่ซื้อขายกันจำนวนมากก็มีค่าและนำไปใช้งานได้จริงๆ โดยไม่ต้อง "จับต้องได้" เหมือนกันนั่นแหละครับ ความ "มีค่า" มันไม่จำเป็นต้องจับต้องได้
ถ้าในประเด็นนี้คงไม่เถียงครับ แต่ว่าดูเหมือนมันจะเป็นคนละประเด็นที่พูดคุยด้านบนไปแล้ว
ใช้งานด้านไหนครับ เครื่องประดับงี้ เปล่า
มีค่าเพราะมันหายากด้วย แบบเพรช แร่อื่นๆ
ส่วนเงิน Digital นี่ ถ้าเราสมมติให้มันมีค่าแบบทอง มันก็มีค่าเหมือนๆ กันนะครับ แถมมันหายากด้วยขุดได้มายาก เหมือนเราขุดทอง ไม่มีผิดเลย แค่มันอยู่ในโลกดิจิตอล
ในแง่การเอามาใช้งานจริงๆ เช่นชเอามาใช้ในชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ประมาณนี้ครับ
ค่าเงินประเทศต่างๆส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้ ไม่ได้ค้ำด้วยทองแล้วนะครับ
แต่เคลื่อนไหวตามกลไกตลาดแทบจะล้วนๆ
สินค้า(หรือบริการ)จากประเทศไหนเป็นที่ต้องการมากขึ้น >> ผู้ซื้อก็ต้องแลกเงินสกุลนั้นไปซื้อ >> ค่าเงินสกุลนั้นก็จะแข็งขึ้น
และประเทศไหนมีต่างชาติเข้าไปลงทุนมากขึ้น >> ผู้ลงทุนก็ต้องแลกเงินสกุลนั้นไปลงทุน >> ค่าเงินสกุลนั้นก็จะแข็งขึ้น
หมดยุคทองคำกำหนดค่าเงินไปหลายๆๆสิบปีแล้วครับ
"Bitcoin นั้นคุณไม่สามารถทำธุรกรรมได้มาก (เหมือนเงินสด - ผู้เขียน) ไม่สามารถนำมาใช้จ่ายได้แบบง่ายดาย" เขาได้กล่าวเสริมอีกว่า "Bitcoin ตอนนี้กำลังอยู่ในสภาวะเก็งกำไรอย่างเต็มรูปแบบ"
2 ประโยคนี้ผมเห็นด้วยนะ
Bitcoin มัน confirm ช้าจริง ไม่เหมาะกับการเอามาใช้จ่ายอะไรจริงๆ (เหรียญอื่นยังไวกว่าเยอะ เหมาะที่จะเอามาใช้จ่ายกันจริงๆ)
แล้วก็ราคาที่ผันผวนจากการเก็งกำไร ทำให้มันมีความเสี่ยงในการชำระเงินสูงมากทั้งผู้ชำระ/รับชำระ
และมันเกิดมาโดยตั้งเป้าว่าจะเป็น Currency แต่ไปๆมามันถูกโลกปฏิบัติด้วยเป็นหลักทรัพย์จำพวกทองไปแทนแล้ว
ป.ล. ผมก็เทรดนะ ในมุมมองที่ผมมองมันเป็นหลักทรัพย์ สามารถหากำไรจากราคาที่ขึ้นลงได้
แต่ถ้าถามว่าจะเอามาใช้ชำระเงินไหม ณ ตอนนี้คงยังไม่ใช้แน่นอน เพราะปัจจัยหลายๆอย่างข้างบน
ผิวเผินมากเลย
อย่างไรมั่งครับ รบกวนขอความรู้หน่อยครับ
อธิบายผมหน่อยครับ จะได้โยนหนังสือวิชาบัญชีทั้งหมดทิ้ง
(สมัคร account มาไม่ถึงสองชั่วโมงซะด้วย)
crypto currency มันไม่ได้มี bitcoin ตัวเดียว ถ้าเปรียบ bitcoin เป็นทองคำ แล้วมีใครเอาทองคำมาซื้อของบ้าง?
การที่คนมาเก็งกำไร bitcoin (เต็มรูปแบบเลยเหรอ?) มันเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า ของมันดี มันเป็นธรรมดาของสาวโสด มันจะนิ่งเมื่อสาวเลือกชายหนุ่ม แต่ไม่ใช่ว่าเกิดมาแล้วมีสามีทันที
"...มันเกิดมาโดยตั้งเป้าว่าจะเป็น Currency..." <-- อันนี้ผมไม่แน่ใจ
ผมยังติดอะไรที่คิดจะตอบไว้อีก 1-2 เรื่อง แต่ตอนนี้คิดไม่ออก
ผมมองว่า มันเป็นของใหม่ ระบบมันยังพัฒนาให้รองรับได้อีกเยอะ เพราะมันไม่ได้สมบูรณ์แบบตั้งแต่สร้าง แต่ concepts of idea มันได้ มัน fork มา มันทำ segwit จนถึง segwit2x มันรันบน lightning network
และอีกอย่างผมมองว่ามันเป็นทั้งทองและ currency ในตัวเดียว
นั่นมันจึงจะเข้ามาแทนที่ระบบเดิมได้อยางเด็ดขาด (แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ถ้าไง bookmark ไว้มาคุยกันอีกทีเมื่อถึงเวลานั้น)
มันเหมือนกับการเปลี่ยนจากระบบโทรเลขมาใช้ sms นั่นเลย ระบบอ้างอิงก็อาจจะต้องเปลี่ยนไปด้วย
แต่ว่าเรายังติดอยู่กับการเปรียบเทียบอย่างเดิมอยู่
ทำไมจะต้องโยนหนังสือตำราทิ้งครับ?
แม้ในความจริงศาสตร์หลายอย่างมันก็มาและตกไปตามยุคสมัยนะ
แต่สำหรับประเด็นนี้ทำไมจะต้องโยนตำราทิ้ง?
ถ้าแค่นี้ถึงกับต้องโยนตำราทิ้ง แล้ว QE นี่ไม่ต้องเผาห้องสมุดเลยเหรอครับ?
เหมือนเป็นช่วงรุมถล่ม bitcoin เลย
แล้วจะดันสกุลแทนอื่นปะ? ether? ripple?
ส่วนตัวคิดว่า crypto currency ไม่มีความจำเป็นในระบบเศรษฐกิจ
และเป็นโทษด้วยซ้ำ
ดันเหรียญอื่นมาแทนไม่ได้เพราะมันไม่เหมือนหุ้นตรงที่เขียวที่นึงอีกที่แดง ถ้า bit ล้มก็ล้มทั้งกระดาน วันไหน bit เขียวแรงเกินไป ตัวอื่นก็แดงได้เพราะเหรียญอื่นถูกดูดวิญญาณมาใส่ bit
ขออนุญาตถามนะครับ ว่าคุณได้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่อง Crypto currency มากน้อยเท่าไหนครับ?
ขออภัยล่วงหน้าถ้าคำถามทำให้ไม่พอใจ ผมไม่มีเจตนาอื่นใดนอกจากอยากทราบจริงๆครับ
Crypto Currency คืออะไรในระบบเศรษฐกิจ?
https://pantip.com/topic/36860363
ผมกลับมองว่าตราบใด dark web ยังไม่ถูกกวาดล้าง(ซึ่งก็ไม่มีวัน) Bitcoin ก็ยังอยู่ได้แน่ๆ
ค่าที่แท้จริงของมันอยู่ที่ความไม่ถูกควบคุมเนี่ยแหละ แล้วมันก็ไต่เส้นผิดถูกอยู่เหมือน BitTorrent
"With the first link, the chain is forged. The first speech censured, the first thought forbidden, the first freedom denied, chains us all irrevocably."
bitcoin แต่ให้เก็งกำไรผมเอานะครับ แต่ถ้าจะให้ผมซื้อถือไว้ใช้จ่ายเลยนี่ ไม่เอาแน่นอนครับ
เหตุผลหลัก ๆ คือ
1. ถ้าคุณโดน hack wallet ไป ถามว่าไปแจ้งความนี่ ตำรวจไม่รับแจ้งนะครับ ?
2. คุณค่าของมันเริ่มมาจาก สายใต้ดินต่าง ๆ สมัยก่อนอยากได้อะไรที่ซื้ือขายธรรมดา (ปีน, เฮโรฮีน, โคเคน, จ้างวานฆ่า/ทำร้าย ฯลฯ)ไม่ได้ เค้าให้ใช้ bitcoin เนื่องจากมันตรวจสอบไม่ได้ ส่วนพวกแก๊งที่ทำพวกนี้ก็มาเปิดศูนย์รับซื้อ - ขาย อย่างถูกต้อง
3. คนที่ถือเงิน bitcoin จำนวนมาก ๆ จะเป็นพวกใต้ดินทั้งนั้น พวกนี้หาที่ฟอกเงิน ซึ่งง่ายที่สุดก็คือ bitcoin
4. ขุดเหมืองมันช้า เอาเครื่องมา hack บัญชีง่ายกว่า ได้ทีเป็นกอบเป็นกำ