หลังถูกวิจารณ์อย่างหนักหลังเปิดตัว Pixel 2 และ Pixel 2 XL โดยตัดพอร์ทหูฟังออกไป (ปีที่แล้วก็เล่นแซะแอปเปิลไว้ซะเยอะ)
ล่าสุด Orrin Hancock ตำแหน่ง Community Manager ของกูเกิลก็ออกมาแก้ต่าง (?) กลายๆ ให้ว่า พอร์ทหูฟังบน Pixel 2 ยังอยู่ไม่ได้เอาออกไปไหน แค่เปลี่ยนหน้าตาเป็น USB-C นั่นยังไงล่ะ
Handcock ระบุว่าพอร์ท USB-C ให้ประสบการณ์ด้านเสียงและดิจิทัลที่ดีกว่า รวมถึงตอบโจทย์การพัฒนาสมาร์ทโฟนที่มีขอบจอบางๆ ด้วย พร้อมกันนั้นเจ้าตัวก็ได้แนะนำรายชื่อของหูฟังที่ใช้งานผ่านพอร์ท USB-C อยู่หลายรุ่น และรวมถึงหูฟังไร้สายอย่าง Pixel Buds
ขณะที่กูเกิลเองถึงแม้จะแถมหัวแปลง USB-C to 3.5mm มาให้ในกล่องก็ตาม แต่กลับไม่แถมหูฟังพอร์ท USB-C มาให้ แถมหัวแปลงดังกล่าวราคาสูงกว่าแอปเปิลเสียด้วย
ที่มา - Google
Comments
เข้าก็กล้านะ แล้วมันเสียบกับหูฟังตรงๆเหมือนรุ่นก่อนได้ใหม ทุกคนก็รู้ดีว่าพอร์ดหูฟังที่ตัดออกคืออะไร ไม่เข้าใจว่าคนออกแบบคิดอะไร จากที่ใช้งานง่ายๆก็ทำให้ยาก แบตหมดถ้าจะใช้ power bank คงต้องซื้อหัวแยกมาอีกอันสินะ เสียดายที่กล้องดี
มันเป็นการผลักดันเทคโนโลยีนะผมว่า ถ้าไม่ตัดผู้ผลิตก็ไม่มีใครผลิตหูฟังแบบ USBc ถึงจะบอกว่ามันดีกว่า3.5สักแค่ไหน ถึงผู้ผลิตผลิตมา ผู้บริโภคก็เลือกซื้อแต่3.5 สุดท้ายผู้ผลิตเจ๊ง เทคโนโลยีก็อยู่แค่3.5 แต่ถ่าตัดแล้ว ผู้ผลิตก็กล้าผลิตหูฟังมากขึ้น ทั้งไร้สาย USBc
ผมคิดว่าการผลักดันมันควรเป็นมาตรฐานเดียวกันนะ แต่นี่อะไรไปคนละทางเลย แล้วตลาดจะเชื่อใคร ถ้าทุกคนตกลงใช้กันหมด เป็นมาตรฐานเดียวทุกอุปกรณ์แบบ 3.5 ผมก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ
สงสัยมาตรฐานคือ Bluetooth ล่ะมั้งครับ :)
อย่างว่าละ บางเจ้ายังไม่กล้าที่จะตัด แต่ก็มีหลายเจ้าที่ตัด Moto xiaomi apple Google htc zte แต่พวกไม่ตัดก็ยังเยอะอยู่พอตัดแล้วถึงเริ่มมีคนผลิตหูฟังแบบ USB C ไม่งั้นก็ใช้ 3.5 ไปตลอด
ถ้าผลักดันมาตรฐานจริงก็แถมหูฟัง usb-c มาสิครับ แถมแต่ adapter นี่อ้างไม่ขึ้นเลยนะ
"With the first link, the chain is forged. The first speech censured, the first thought forbidden, the first freedom denied, chains us all irrevocably."
การที่จะต้องหิ้วหูฟังสองเส้นไปไหนมาไหนมันก็ไม่สมเหตุสมผลสำหรับหลาย ๆ คนครับ (ถึงผมจะหิ้วสองเส้นก็เถอะ)
อีกอย่างคือเทคโนโลยีที่ไม่มีใครใช้มันก็ต้องตายอยู่แล้ว มันก็สมเหตุผลอยู่ระดับนึงนะ
ถ้าประโยชน์ของการเปลี่ยน 3.5 ไปใช้ type-C คือเรื่องของดีไซน์ตัวเครื่องอย่างเดียว ผมว่าไม่ใช่การเปลี่ยนที่ดีเลยนะครับ ตัวช่อง 3.5 เองก็ถูกออกแบบมาให้ลึก เสียบแล้วแน่น ช่องกลมเผื่อให้สายหมุนได้รอบเวลาหยิบกระชาก ถอดเข้าถอดออกบ่อยๆก็ไม่ค่อยมีปัญหาเพราะเข้ารับอยู่ทางผนังช่องธรรมดาๆ type-C นี่ต้องใช้ทั้งชาร์จด้วย ทั้งหูฟังด้วย ปกติใช้แค่ชาร์จยังกลัวหลวมๆเลยเพราะมันเสียบเข้าไปไม่ลึกมาก
ไม่ใช่พี่จะทำเงินจาก Pixel Buds กับอุปกรณ์เสริม Made for Google ไม่ใช่หรือ
(กลัวจะเกิดโมเดลธุรกิจแบบจองหองแบบนี้ต่อไปในอนาคตเนี่ยสิ)
โทรศัพท์รุ่นอื่น ๆ อย่าง Galaxy S8 / Note 8, LG V30 เขาทำขอบจอบางกว่า มีฟีเจอร์พอกันหรือเยอะกว่า แต่เขาก็สามารถใส่พอร์ตหูฟังมาให้ได้
เสียดายความเป็น universal ของช่อง 3.5mm -- SMH
ตอบมาฆ่าตัวตายแท้ๆ ชาร์จไร้สายก็ไม่ได้อีก
ผมก็งงว่าอุตส่าห์ออกตัวท๊อปแต่ตัดชาร์จไร้สายซะงั้น
ผมอยากให้มันชาร์จไร้สายแบบยกไปไหนมาได้มากกว่า ชาร์จไร้สายแบบวางแท่นดูไงก็ไม่สะดวกเลย
จริงครับ ลด mobility กว่าเดิมอีก ใช้สายยังถือเล่นได้
เห็นด้วยเลยครับ
ผมคิดตรงจุดนี้เหมือนกัน
คือชาร์จไร้สายแบบเดินไปมาได้ เทคโนโลยีมันยังไม่ดีพอครับ ประสิทธิภาพต่ำ ข้อจำกัดเยอะมาก ไม่ใช่ว่ากั๊กไม่ยอมใส่
ส่วนกรณีนี้ปกติชาร์จวางแท่นมันอาจไม่สะดวก/ไม่จำเป็นมาก แต่มันจะสำคัญขึ้นมาทันทีที่พอร์ต 3.5 มม. หายไปไงครับ เพราะฟังเพลงไปเสียบสายชาร์จไปไม่ได้แล้ว
แต่ถ้าฟังแบบใช้หูฟังมีสาย แสดงว่าต้องนั่งฟังตรงที่ชาร์จอ่ะครับ หรือไม่ก็ต้องไปใช้หูฟังไร้สายครับ
เกรงว่ารุ่นใหม่ปีหน้าจะชาร์จไร้สายได้ โดนแฟนบอยแอปเปิ้ลแซวยับแน่ๆ
ปีนี้ก็แซะว่าถ่ายภาพได้ดีโดยไม่ต้องมี second camera ปีหน้าผมว่ามีโอกาสกลืนน้ำลายตัวเองสูง
แต่สำหรับผมยังไงปัญหาอันดับหนึ่งยังเป็นการที่วางขายไม่ถึงสิบประเทศน่ะสิ และประเทศที่วางขายก็ของขาดลากยาว (GSMArena รายงานว่า Pixel 1 เองก็ยังมีช่วงเติมของไม่ทันจนถึงทุกวันนี้)
เรื่องกล้องผมว่าถ้าปีหน้าจะใส่สองตัวแล้วภาพดีขึ้นอีกก็โอเคนะ เพราะผู้ใช้ได้ประโยชน์ แต่ตัดพอร์ทออกนี่ผู้ใช้เสียประโยชน์นี่สิ
ดีใจที่ซื้อ iPod เก็บไว้ทัน :P เลิกง้อฟังเพลงจากมือถือไปได้อีกยาวๆ
โอเค
ถ้าไม่ไปแขวะเขาไว้อาจจะพอฟังได้
อ่านข่าวมาหลายเดือนก่อนเหมือนว่า Android Oreo จะรองรับ LDAC ด้วยนิ
เป็นอีกครั้งที่แอปเปิลกล้าตัดสินใจ แล้วต่อมาผู้ผลิตรายอื่นก็ทำตาม
ยอมกลืนน้ำลายตัวเอง
ผมไม่ได้อวยอะไรเป็นพิเศษ
:facepalm:
สายแบบนี้มันยาวเกะกะ แถมใช้ไปใช้มางออีก
ช่วงเปลี่ยนถ่ายเทคโนโลยีผมว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ 3.5mm เอาตามตรงมันก็ล้าสมัยพอสมควร ใหญ่ก็ใหญ่การใช้งานทั่วไปก็แทบจะมีไว้แค่เสียบหูฟังอย่างเดียว ทั้งยังเป็นตอในการออกแบบอีก ถ้ามองไปอนาคตยังไงมันก็ต้องมีตัวตายตัวแทนอยู่แล้วแต่จะออกมาแบบไหนและทำประสิทธิภาพได้เท่าหรือดีกว่าของเดิมรึป่าว
ปัญหาจริงๆคือมันมี usb c แค่พอร์ตเดียวไง
+2
แบบว่าชาร์จไปฟังเพลงไปไม่ได้ ผมเข้าใจถูกมั้ยครับ?
ไม่ได้ลอก Apple นะ พวก Oppo Moto ตัดก่อนนะ
เงินไม่ถึงตัดไม่ได้ด้วยนะครับ โมโตรองท็อปยังมี คงกลัวไม่มีเงินซื้อตัวแปลงหรือหูฟัง
เงินน่ะมีซื้อครับ อย่าง moto z น่ะ ผมก็ซื้อได้สบายๆ แต่พอดีผมจะชาร์จพร้อมๆ กันฟังเพลงไปด้วยมันลำบาก
แล้วสายแปลงมันอุบาท หัวต่อหูฟัง 3.5mm ผมมันเป็นรูปตัว L จะให้ไปต่อแบบนั้น โคตรจะไร้ความสวยงาม (คือหูฟังไร้สายผมก็มี แต่บางครั้งมันเร่ืองรสนิยมกับหูฟังบางตัวที่เรามีอยู่ก่อนแล้ว)
คือถ้าไม่โดนล้อมกรอบจนไม่มีทางเลือก ผมก็หาทางเลือกอื่นต่อไป (ทำไมต้องง้อ ในเมื่อผลิตสินค้ามาแล้วไม่ตอบโจทย์การใช้งาน)
หมายถึงถึงเค้ากลัวคนใช้รุ่นล่างไม่มีเงินซื้อหูฟัง USB-C ครับ (ซึ่งจริงๆ Z Play กับ Z2 Play นี่ก็ราคาไม่ถูกเลยนะ)
จ้าวเล็กๆตัดก่อนคือตายครับ แต่ถ้าจ้าวใหญ่ๆเปลี่ยนแปลงอะไรที โลกเปลี่ยนครับ
apple เป็นจ้าวตลาด อิทธิพลสูง ขยับไปทิศทางใดก็มีผลเสมอ
แล้วกับผลสำรวจชี้ 73% ของคนใช้ Android ไม่สนย้ายมาเล่น iPhone เพราะไม่มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม.จะทำไงดีนะ
moto Z ก็ยอดขายไม่ได้ดีหรอกครับ คนใช้แอนดรอยด์ก็ไม่ได้ชอบมือถือแอนดรอยด์ทุกรุ่น อย่างรุ่นที่ตัดหูฟังก็โดนบ่นโดนด่ากันทั้งนั้น ลองอ่านคอมเมนต์ในกระทู้นี้ดูสิครับ
จะตัดช่อง 3.5 มม ออกก็ได้ แต่ก็น่าจะให้ USB Type C มา 2 ช่อง จะได้ฟังเพลงพร้อมชาร์ตแบตได้
อันนี้นี่ประเด็นใหญ่เลยครับ เคยเห็นคนฟังพร้อม power bank ก็เยอะ หรือกระทั่งคนเสียบ flash drive พร้อมหูฟังดูหนังบนรถก็มี
ห๊าาาา อึ้งในความพยายาม 555+ ถึงกับต้องเสียบแฟลชไดรฟ์ดูหนัง 555
ไม่เห็นจะแปลกเลยครับ ผมก็ใช้ iPad เสียบ OTG ดูหนังออกจะบ่อย
ข้อดีคือ iOS มันเสียบ OTG แล้วชาร์จไปในตัวได้ ในขณะที่ Android ผมยังหาไม่ได้
ไฟล์หนังเป็น 10GB จะให้โอนเข้ามือถือมันก็ลำบากอยู่นะ
มันต้องพยายามตรงไหนหรอครับ ผมว่ามันสะดวกมากกว่า
พยายามสิ โอนไฟล์หนังใส่ flashdrive แล้วมาเสียบอีกทีดูรกวุ่นวาย โอนไฟล์เข้ามือถือทีเดียวก็จบ
thumbdrive โอนไฟล์เร็วกว่ามากนะครับ
ผมละว่าแฟลชไดร์ฟนี่ที่สุดของความสะดวกในการเก็บหนังเลยครับ
เกิดดูบนรถแล้วยังไม่จบกลับถึงบ้านเอาเสียบทีวีดูต่อได้เลย ไม่ต้องเปิดคอม
หรือไปกับเพื่อนแล้วเพื่อนมีTablet หรือมือถือจอใหญ่กว่าของเรา ก็เอาไปเสียบเครื่องเพื่อนดูได้เลย สะดวกดีออก
เวลาเดินทางไปไกลๆ ผมเอา HDD แบบบางไปเสียบด้วยซ้ำ ดูหนังได้เป็นหลายสิบเรื่อง คงใส่มือถือไม่ไหวหรอกครับ ช้าแถมเปลืองเมม เก็บเนื้อที่ในโทรศัพท์ไว้ถ่ายรูปดีกว่า
นอกจากจะสร้างนวัตกรรมโดยการตัดรูออกแล้วยังคิดแทนผู้ใช้ด้วยนี่คือกูเกิลสไตล์ #คุกเสรี
ต้องลองใช้หูฟังไร้สายดูกันก่อนนะครับ อารมณ์หลายๆ คนอาจจะไม่มาเต็มแบบนี้
หูฟังไร้สายที่เสียงโอเคหน่อย ไม่ค่อยดีเลย์ ราคาเริ่มต้นที่เท่าไหร่ครับ
ยิ่งถ้าไม่ใช่แบบ Full size แบตใช้ฟังได้กี่ชั่งโมง
ถ้าเป็นแบบ Full size ก็ไม่สะดวกพกพาอีก
อีกอย่างหูฟังไร้สายมันออกมาหลายปีแล้วครับ ทำไมถึงคิดว่าคนที่เขาบ่นๆกันเรื่องพอร์มหูฟังนี้เขาไม่เคยใช้หูฟังไร้สายกัน
ขี้เกียจชาร์จไฟหูฟังเพิ่มมาอีกชิ้นน่ะ ผมก็มีนะ หูฟัง bt เอาไว้ใส่วิ่งอย่างเดียว ถึงนานๆ จะชาร์จทีแต่ก็ลืมชาร์จตลอด ชาร์จทุกวันแบบมือถือก็ดูเป็นภาระจัง
นี่ก็ใช้อยู่นะ หูฟังไร้สายน่ะ แต่หูฟังตัวที่ผมชอบมันเป็นสาย จะให้ทำไง?
ปล. ตัวแปลงมันแค่แก้ปัญหา แต่มันสร้างปัญหาใหม่
เอาจริงๆ Google ก็ไม่ได้พูดผิดนะครับ (ลองพยายามยกเหตุผลให้ Google ดูดี 55+)
หูฟังแบบ 3.5mm กับหูฟังแบบ USB-C/Lightning คนอาจจะมองว่าแค่เปลี่ยนพอร์ต แต่เอาจริงๆมันต่างกันมาก
หูฟังแบบ 3.5mm นั้นมือถือจะมี DAC เพื่อแปลงสัญญาณจากดิจิตอลเป็นอนาลอก และส่งสัญญาณอนาลอกผ่านสาย (ซึ่งถ้าสายยาว/คุณภาพไม่ดีก็อาจเกิด Noise) หรือพูดง่ายๆก็คือปัจจัยสำคัญของคุณภาพเสียงอยู่ที่ DAC มือถือ คุณภาพของสาย และตัวหูฟัง
หูฟังแบบ USB-C/Lightning นั้นมือถือจะส่งสัญญาณดิจิตอลมาตรงๆเลย และในหูฟังเองก็มี DAC ในตัวเพื่อแปลงเป็นอนาลอกแล้วออกมาเป็นเสียงเลยไม่ต้องผ่านสาย (ไม่มี Noise) ทำให้ปัจจัยเรื่องคุณภาพอยู่ที่หูฟังล้วนๆ
เพราะเหตุนี้หูฟังแบบ USB-C/Lightning ถึงราคาแพง เพราะมันมี DAC ในตัวด้วย
ในทำนองเดียวกัน ตัวแปลงหูฟังเองก็มีราคาแพงเช่นเดียวกัน เพราะข้างในมันต้องมี DAC ด้วย คุณภาพก็ไม่ค่อยดีมาก เพราะงั้นการเอาหูฟัง 3.5mm มาฟังแล้วผ่านตัวแปลงที่แถมมาเนี่ย คุณภาพอาจจะด้อยกว่ามือถือรุ่นท๊อปๆด้วยซ้ำ ถ้าอยากได้คุณภาพดีตามที่โม้ไว้ก็ต้องซื้อหูฟังใหม่ที่เป็น USB-C/Lightning ใหม่ซึ่งราคาก็ใช่ย่อย หรือถ้าไม่งั้นก็ซื้อตัวแปลงที่ใช้ DAC คุณภาพดีๆ (ในตลาดไทยตอนนี้ก็เช่น Aqua ค่าตัวเกือบสามพัน)
เพราะเหตุนี้ Lightning ของ iPhone ที่ส่งสัญญาณดิจิตอลจึงนับว่าเป็นคนละพอร์ตกับ 3.5mm ที่ส่งสัญญาณอนาลอก
ส่วน USB-C ที่บอกว่า Google ก็ไม่ได้พูดผิดเพราะมาตรฐานของ USB-C สามารถส่งสัญญาณอนาลอกได้ครับ (มาตรฐานพอร์ตน่ะนะ แต่ Pixel 2 ส่งได้ไหมก็ไม่รู้เหมือนกัน) แน่นอนว่าก็ต้องพึ่ง DAC ในตัวมือถือเช่นกัน แต่อย่าไปคาดหวังคุณภาพแบบพวก LG V30 เลยเพราะดูแล้วคงไม่เน้น
ด้วยความที่ USB-C ของ Pixel 2 (อาจจะ)สามารถส่งอนาลอกได้แบบเดียวกับ 3.5mm เพราะงั้นการที่บอกว่าพอร์ทหูฟังยังอยู่ก็ไม่ผิดครับ (นี่คือพยายามแถให้สุดฤทธิ์แล้ว)
ส่วนในมุมมองของ End User... ไม่ต้องคิดอะไรมาก มันเสียบไม่ได้ แล้วมันจะเป็นพอร์ตเดียวกันได้ไงฟระ!!
ปล. ผมหนีไปใช้ Player แทนแล้ว 55+
ต่อให้ตัดพอร์ทนี้ไป ตัวมือถือก็ยังต้องมี DAC อยู่ครับ (ยกเว้นแต่จะตัดลำโพงออกไปด้วย)
การที่ต้องมี DAC หลาย ๆ ชุดสิผมว่าไม่สมเหตุผล
แน่นอนครับ ตราบใดที่มันยังเป็นโทรศัพท์ ยังไงก็ต้องมี DAC ไม่งั้นจะได้ยินเสียงคนที่คุยด้วยได้ยังไง 55+
ผมหมายถึงว่าเวลาเราเล่นเพลงผ่านหูฟังแบบ USB-C/Lightning มันไม่ได้ใช้ DAC ในมือถือครับ ไม่ได้แปลว่ามันไม่มี เพราะมันยังต้องใช้ในส่วนอื่นๆอยู่
ก็ในเมื่อมันยังมีอยู่แล้วทำไมไม่ใช้มันล่ะครับ :)
ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ที่ออกมาตอบหน่ะ ถถถถถถ
อย่างน้อยปีนี้ Apple ก็อุส่าห์ Wirless Charge มาให้ฟังเพลงพร้อมกับชาร์จได้แล้วนะ
พี่จะทำไง....
ปล. แต่ผมใช้ AirPod ละ หลังจากจากนี้ใครจะตัดก็ตัดไป
ผมนี่ลำบาก เพราะใช้มือถือในการเดินทางบ่อย และบางที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ ต้องชาร์จมือถือ และอุปกรณ์อื่น ๆ กับรถมอเตอร์ไซค์ หรือรถยนต์ตลอด
เจ้าช่องเสียบช่องเดียวนี่มันไม่พอจริง ๆ ครั้นจะไปใช้หูฟังไร้สาย ซึ่งส่วนใหญ่ต้องใช้พลังงานแยกต่างหากอีก คือ เอาแค่อุปกรณ์หลัก ๆ บางทริปผมก็ไม่มีไฟฟ้ามากพอจะใช้แล้ว พอเป็นแบบนี้ มันเหมือนยิ่งหนักเลย ซึ่งบางครั้งเลือกไม่ใช้หูฟังยังดีซะกว่า (แต่บางพื้นที่ถ้าจะนำทาง หูฟังจะช่วยได้เยอะ เช่นต้นทาง หรือปลายทางของการเดินทางนั้น)
เพจตัวอย่างผลงานถ่ายภาพ / วีดีโอ
+1 การต้องชาร์จอุปกรณ์กรณ์หลายๆอย่างตอนเดินทางนี่น่ารำคาญมาก
ทำไมไม่แถม USB-C มา 2 ซะรูจะได้สะดวกคนใช้หน่อย
เรืองธงซัมซุง รักษาใว้ให้ได้ซัก2ปี รอให้เรือธงยี่ห้ออื่นตัดออกไปให้หมดก่อน ได้ลูกค้าเพิ่มแน่ๆ
แต่ผมใช้ note8 มีหูฟัง4-5ตัว บรูทูตหมด มีแค่ bose qc20i ที่เลิกใช้อยู่ตัวเดียวที่เป้นสาย
ผมว่าซัมซุงคงไม่ตัดออกง่ายๆ น่าจะได้บทเรียนมาจากสมัยตัดช่อง MicroSD ออกช่วง S6, Note 5 แล้ว ช่วงนั้นคงอ่วมเหมือนกัน กระทบยอดขายแน่ๆ
ผมว่าคนที่แคร์จริงๆ นอกจาก power user อย่างเราๆ แล้ว
คนอื่นไม่น่าเอามาเป็นประเด็นหลักนะครับ
เพราะเท่าที่เห็น เจ้า Note5 นี่ยอดขายไม่น่าน้อยกว่า Note4 นะ
ซ้ำ
ส่วนตัวผมยังนึกเหตุผลที่จะมาล้มล้างช่อง 3.5 ไม่ถูก จะว่ามันเป็นยุคเปลี่ยนผ่านน่ะใช่ อย่างสมัยตัด floppy disk หรือ optical drive ออกอันนั้นก็พอมีเหตุผล เพราะหลังจากนั้นไม่นานเทคโนโลยีมันก็เปลี่ยนไปไกลจริงๆ แต่กับช่อง 3.5 นี่ไม่มีใครเดือดร้อนกับมัน มันโบราณก็จริง แต่มันก็ยังใช้งานได้ดี ไม่มีใครบ่นความเป็นอะนาล็อกของมัน คือการเปลี่ยนเป็นดิจิทัลหรือ USB-C มันก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีหรือเสียงเพราะขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ แต่กลายเป็นว่าหาอุปกรณ์ยากจนชีวิตยากลำบากกว่ามาก
คิดดู ช่อง 3.5 มันเป็นมาตรฐานที่ใช้กันกี่สิบๆ ปี อุปกรณ์เครื่องเสียงทุกชนิดรองรับหมด มันไม่ได้แค่ประโยชน์เพื่อเสียบหูฟังฟังเพลงอย่างเดียว เกิดวันดีคืนดีไปงานเลี้ยงตามห้องประชุมต่างๆ แล้วต้องเปิดเพลงหรือเสียงอย่างด่วนขึ้นมา โดยต้องใช้มือถือ การที่มีรู 3.5 ก็ต่อเข้ากับ AUX (ซึ่งอุปกรณ์โสตตามที่ต่างๆ มักจะทำสายรอเสียบไว้ให้) ก็ทำให้เราใช้มือถือเล่นเพลงในงานได้ทันที ในขณะที่มือถือที่ไม่มีรู 3.5 ถ้าไม่ได้เอาตัวแปลงมาก็จบ ชีวิตยากลำบากต้องไปยืมมือถือชาวบ้านคนอื่นที่มีรู 3.5 มาใช้อีก แล้วอีกสิบๆ ปีเครื่องเสียงก็ยังคงไม่รองรับ USB-C ง่ายๆ
เพื่อนผมเป็นสาวก iPhone มันยังบ่นเลย จะตัดเพรื่อ ชีวิตลำบากขึ้นจริงๆ
เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเดือดร้อน ผมไม่ซื้อมือถือที่ไม่มีรู 3.5 ใช้เด็ดขาด
Apple มองเป็น Wirless Solution (Wifi/Bluetooth) แทนมั้งครับ
ออกมาพร้อมกับ AirPod
แต่เรื่องเหตุการที่จำเป็นต้องใช้ 3.5mm จริงๆ ก็คงต้องพกตัวแปลงแหละ
เคยไปช่วยงานปีใหม่ที่ต่างจังหวัด กลาง ๆ งานคอมมีปัญหา ก็ใช้มือถือนี่แหละเสียบเข้า AUX แก้ขัดไป ถ้าไม่มีรู 3.5 คงลำบากเหมือนกัน ผมไม่พกหัวแปลงติดตัวไปแน่ ๆ
เอ้าเพิ่งรู้ว่าไม่มีชาร์จไร้สาย 55+
ตัดรูหูฟังออกจะได้บังคับขายชิป dac อะสิไม่ว่า
หืมม แบบนี้ก็ได้เหรอ
มีแต่คนบอกว่าต้องตัดเพื่อรับของใหม่ ยกตัวอย่าง floppy เอย cd เอย คือสองอันนั้นมันมีเทคโนโลยี"ที่ดีกว่า"ออกมานะครับ แต่ว่า 3.5 นี่มันไม่ได้มีอะไรที่ดีกว่าออกมาซะหน่อย แค่ตัดทิ้งไปเฉยๆเพื่อให้เครื่องบางลง(+กุศโลบายให้คนซื้ออแดปเตอร์)นะครับ ไม่ใช่ว่าโลกนี้มีหูฟัง wireless ที่ดีกว่าหูฟังเก่า หรือว่ามี่ port ใหม่ที่ดีกว่า 3.5 นิ้วนะ + use case ที่ว่าพอร์ตเดียวต้องทำหลายอย่างนี่ ยิ่งไม่เมคเซนส์เลย
ถ้าให้ c มา 2 รูหัวท้ายจะไม่ว่าอะไร เด๋วค่ายอื่นก็แห่ทำหมดกัน
Plot twist: ปีหน้า apple ออก iphone รุ่นใหม่ เอา 3.5 mm headphone jack กลับมา พร้อมกับล้อ pixel 2 :P
ปล่อยไปไม่ตอบ ยังจะดีกว่า ถ้าไม่แซะ คนก็ไม่ด่ามากหรอก
อยากให้ช่องเสียบมันอเนกประสงค์ ที่ทำได้มากกว่าแค่เสียบหูฟัง เลยตัด 3.5 mm ออกสินะ แต่ลืมไปคิดไปรึเปล่าว่าถ้ามันอเนกประสงค์ก็แปลว่ามันต้องใช้งานพร้อมกันได้หลายอย่างน่ะ พวกให้มารูเดียวนี่เอาไรคิด ?
กลับสู่ยุค Feature Phone กันหมดเลยแฮะ
ตีมึนไม่ตอบอะไรเลยยังจะดีกว่า
พยายามคิดมาตลอดว่าตัดช่องหูฟัง 3.5 mm ออกแล้วจะให้คนไปใช้อะไรแทน
ไร้สาย? ผมว่าหูฟังไร้สายยังไม่สามารถแทนที่ของเดิมได้โดยสมบูรณ์ครับ ผมไม่พูดเรื่องคุณภาพเสียงนะ แต่อยากพูดเรื่อง latency นี่แหละ มันยังไม่ดีพอ มันยังเอามาใช้เล่นมิวสิคเกมไม่ได้เลยครับ (ย้ำ ไม่ได้เลย)
นี่ตอบเอาฮาใช่ไหม