ประธานาธิบดี Donald Trump ได้เซ็นกฎหมายเพื่อแบนซอฟต์แวร์ Kaspersky Lab สำหรับการใช้งานในรัฐบาลสหรัฐฯ แล้ว โดยเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายนโยบายการใช้จ่ายเพื่อการป้องกันประเทศ
ทุกวันนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงมีความกังวลว่าการใช้ซอฟต์แวร์จาก Kaspersky จะทำให้ข้อมูลจะถูกขโมยและนำไปส่งมอบให้รัฐบาลรัสเซีย ซึ่งก่อนหน้านี้กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (DHS) ก็ได้สั่งห้ามหน่วยงานภาครัฐใช้ซอฟต์แวร์จาก Kaspersky และล่าสุด Cristopher Krebs จาก DHS ก็กล่าวว่าตอนนี้หน่วยงานภาครัฐได้ถอด Kaspersky ออกจนเกือบจะหมดแล้ว ซึ่งการเซ็นกฎหมายนี้ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงความกังวลของรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าคงจะไม่กลับมาใช้ซอฟต์แวร์ของ Kaspersky ง่าย ๆ
ฝั่ง Kaspersky นั้นก็ปฏิเสธเช่นเดิมว่าบริษัทไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลใด ๆ และทางบริษัทไม่เคยช่วยรัฐบาลในการจารกรรมข้อมูลทางไซเบอร์
ก่อนหน้านี้ Kaspersky ก็เคยจะเปิดซอร์สโค้ดให้ตรวจสอบ ทั้งซอฟต์แวร์ปัจจุบันและการอัพเดตในอนาคต โดยให้ผู้เชี่ยวชาญอิสระเป็นผู้ตรวจสอบเพื่อให้ทางรัฐบาลมั่นใจว่าทางบริษัทไม่ได้วางโปรแกรมสอดแนมไว้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ยินดีกับท่าทีของ Kaspersky แต่กล่าวว่ามันยังไม่เพียงพอ
ที่มา - Reuters
Comments
นึกถึงกรณี baidu ที่เกิดวิกฤติ ไร้ศรัทธาในเมืองไทย แก้ยังไงก็แก้ไม่ได้แน่นอน ไม่ต่างกัน
ทุกวันนี้ยังเหลือซากอารยธรรมตามบันไดเลื่อนอยู่เลย
Kaspersky นี่เรียกได้ว่า โดนกล่าวหา (ต้องไปพิสูจน์อีกที ว่าจริงไหม)
ส่วน Baidu นี่ ทำตัวเองล้วนๆ
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้
ก่อนหน้านี้ Kaspersky ก็เคยจะเปิดซอร์สโค้ดให้ตรวจสอบ
"ก่อนหน้านี้" พิมพ์ซ้ำหรือเปล่าครับ
ใช่ครับ แก้เรียบร้อยครับ
แล้วรัสเซียไม่คิดจะแบน Symantec หรือ McAfee บ้างเหรอ
kaspersky เสีย trust ที่เปิดเผย (ถึงจะมองว่าเรื่องตอนนั้นมันควรเปิดเผย)
แต่สิ่งที่ kaspersky ได้มาคือ heuristic scan กับ online scan ที่รู้สึกว่า "ไฟล์นี้น่าสงสัย จะส่งไปตรวจไหม" ซึ่งทุกเจ้าดูจะมีกันหมด 5555
Kaspersky ไม่ได้ทำผิดอะไร ทำตามหน้าที่ของตัวเองได้ดีที่สุดแล้วครับ
พนักงานของ NSA อันนี้ผิดที่เอางานความลับกลับไปทำที่บ้าน และใช้โปรแกรม Office เถื่อน แล้วไปปิด Antivirus เพื่อลง Crack ซึ่งดันโดนหลอกให้ใช้ Crack ปลอม พอกลับมาเปิด Antivirus ตัวโปรแกรมก็เลยสั่งสแกนทั้งเครื่อง ซึ่งไปเจอไฟล์ไวรัสที่ NSA ทำขึ้น และไม่เคยเจอในฐานข้อมูลก็เลยส่งกลับไปวิเคราะห์ ซึ่งพอทาง Kaspersky รู้ว่าเจอตอ ก็เลยรีบลบไฟล์ไวรัสนั้นออกฐานข้อมูล
มันเลยต้องป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการ์ณแบบนี้อีกไงครับ
อีกอย่างอเมริกาเองเขากังวลเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง kaspersky กับหน่วยข่าวกรองรัสเซีย ที่ทางอเมริกาอ้างว่าพวกเขาเคยพบกัน มันเลยทำให้ความน่าไว้วางใจของ kasper ตกหวบๆจนโดนแบนในที่สุด ทั้งๆที่ก่อนหน้า kasper เองก็ทำธุรกิจในอเมริกาได้อย่างปรกติจนมาถึงเหตุการ์ณนี้
อเมริกาของแกนี่เยอะเลย Google, Facebook ,Apple , Windows บลาๆๆๆ ซึ่งหลายอย่างจำเป็นไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ทุกรัฐบาลในโลกก็โดนอเมริกาล้วงข้อมูลแน่ๆ
ตีวัวกระทบคราด
Kaspersky ACT