ตลาดขุดเหมืองคริปโตเป็นที่นิยมในจีน เนื่องจากค่าไฟฟ้ามีราคาถูก แม้ทางการจีนเริ่มกดดันให้ปิดเหมืองด้วยมาตรการหลายอย่าง ซึ่งรวมถึงการขึ้นค่าไฟฟ้า
Bloomberg ลองประเมินค่าไฟในจีนว่าจุดคุ้มทุนของนักขุดอยู่ที่ตรงไหน และพบว่าต้นทุนของการขุดเหมืองอยู่ที่ 6,925 ดอลลาร์ต่อ BTC ซึ่งต่ำกว่าราคา Bitcoin ในปัจจุบันมาก นั่นแปลว่าตราบใดที่ Bitcoin ยังมีราคาดีเช่นนี้อยู่ การขุดเหมืองก็ยังทำกำไรอยู่เสมอ
ปัจจุบัน ประมาณ 3/4 ของเหมืองคริปโตอยู่ในประเทศจีน ส่วนการใช้พลังงานขุด Bitcoin ทั่วโลกในปี 2017 อยู่ที่ 20.5 เทอราวัตต์-ชั่วโมง เท่ากับการใช้พลังงานของครัวเรือนในสหรัฐ 3.4 ล้านครัวเรือน ส่วนในจีนใช้ไป 15.4 เทอราวัตต์-ชั่วโมง
ที่มา - Bloomberg, ภาพจากเหมือง Hashnest
Comments
จะบอกว่าโลกร้อนเพราะขุดบิตคอยน์ก็คงไม่ผิดนัก
รถยนต์กับเครื่องขุด อันไหนมีเยอะกว่ากันครับ
เห็นตัวเลขผ่านๆตามา รถใช้ไป 29% จากอัตราการใช้พลังงานที่ผลิตได้ทั้งหมด ถ้าเครื่องขุดจะแซงได้ โลกคงเจอปัญหาพลังงานขาดแคลนแบบฉียบพลันไปแล้ว แต่ใครเป็นรัฐก็คงไม่ชอบละเพราะไฟฟ้ามันก็กึ่งสวัสดิการถ้าเอาไฟฟ้าเพื่ออยู่อาศัยมาใช้ในการขุดมันก็ไม่แฟร์คนทั่วไปเหมือนกัน
โลกเราเหลือพลังงานใช้ได้อีก 50 ปี ยิ่งบิตคอยมาเร่งการใช้แบบนี้ อีก 10-20 ปีก็คงหมดก่อน...คิดว่าประเทศไหนยอมบ้างล่ะ นี่ไม่คุยกันถึงเรื่องค่าเงินมันจะมาทำให้สเถียรภาพค่าเงินของประเทศนั้นๆเสียนะ55
ไม่ได้ผลผลิตเกิดขึ้นในประเทศหรือโลกด้วย ได้แค่เลขชุดนึง
ถ้าเทียบกันในเรื่องของประโยชน์ที่ได้รับ พอมองแบบนี้แล้วจะบอกว่ามันเป็นตัวเร่งทำให้โลกร้อนโดยใช่เหตุก็น่าจะพอได้นะครับ
อย่าลืมการปศุสัตว์ซิครับ
คือไม่รู้จะหาประเด็นอะไรมาละ ก็เอาเรื่องการใช้ไฟฟ้า เรื่องโลกร้อนนี่แหละ
มันคือเรื่องจริงนิครับ ใช้ไฟฟ้าเยอะกว่าบางประเทศทั้งประเทศด้วยซ้ำ ผมว่ามันเป็นสิ่งที่คนออกแบบนึกไม่ถึงในที่แรกว่ามันจะแข่งขันกันได้มหาศาลขนาดนี้ เพราะบิทคอยน์คือยิ่งคนแย่งกันขุดก็ยิ่งขุดยาก ก็ต้องเพิ่มพลังประมวลผลกันแข่งเข้าไป ก็ยิ่งกินไฟมากขี้นอีก เป็นวงจรไปเรื่อยๆ
ผมว่าต้องรอเปลี่ยนไปเป็น proof of stake หรือ lightning network ถูกนำมาใช้งาน (ซึ่งก็น่าจะสำเร็จในอนาคต)
พอถึงวันนั้นก็จุดจบคนขุดเหมืองละครับ ผมว่าเหมาะสมด้วย โดยเฉพาะ proof of stake คนเก็บตังก็เสียตังเอง เหมือนกับต้นทุนการซื้อตู้เซฟ หรือค่าธรรมเนียมแบงก์ ดูสมเหตุสมผลกว่าเยอะ
ใช่เหมือนได้ยินคนอธิบายว่า ยิ่ง node เยอะยิ่งมี latency เยอะ
ยั่นสินะ หมดมุขละ รอช้อนละกัน
เป็นการใช้พลังงานมหาศาลที่สูญเปล่า ไม่ได้ผลผลิตอะไรกลับมาเลย ทุกอย่างเป็นนามธรรม อยู่ในอากาศ ควรแบนให้หมดได้แล้ว
เสียพลังงานบนโลกโดยเปล่าประโยชน์จริง ๆ
ถ้าแผน proof of stake ออกมาสำเร็จ ทั่วโลกจะเลิกใช้ระบบขุดเหมืองไปเอง เพราะ proof of stake ถูกออกแบบมาให้เป็นมิตรกับระบบ currency มากกว่า ใช้พลังงานน้อยกว่า และลบจุดอ่อนหลายอย่างของ bitcoin เช่นเรื่อง scale ของการทำธุธกรรม
ถ้าวันนั้นมาถึงเมื่อไหร่ เหรียญต่างๆที่ยังเป็นระบบเก่าจะราคาตกอย่างรวดเร็วใน 1 ปี เพราะ demand ลดลง และนักขุดเหมืองจะเลิกไปเอง เพราะราคาลงมาต่ำกว่าจุดคุ้มทุนของการขุด
ดังนั้นถ้าใครบอกว่า ฟองสบู่ของ cryptocurrency ใกล้แตกคงไม่ถูกนัก เพราะจริงๆมันใกล้แตกแค่บางเหรียญ ไม่ใช่ทั้งหมด
ต้องยกเว้น bitcoin ไว้เหรียญนึงเพราะมีความเป็น original ซึ่งเหรียญอื่นไม่มี แล้วจริงๆเราก็ไม่ควรจะตกใจเรื่องโลกร้อนอะไรให้มากนักด้วยนะ เพราะหลังจากขุด bitcoin ครบ 21ล้าน ก็จะไม่ต้องขุดอีกต่อไปแล้วอีกไม่กี่ปีเอง แล้วมูลค่าของมันก็จะพุ่งแบบฉุดไม่อยู่เพราะความแรร์
คือ Bitcoin นี่ difficulty มันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆนะครับ พรุ่งนี้จะขุดได้เหรียญหนึ่งก็ต้องใช้พลังประมวลผลมากกว่าวันนี้ ซึ่งก็แปลว่าใช้พลังงานมากกว่าวันนี้
มันไม่ได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่เพิ่มจากพลังประมวลผลไม่ใช่เหรอครับ? ถ้าคนขุดลดลงเดี๋ยวมันก็ลดลง?
ขุดยังไงมันก็ไม่ครบ?
ถ้ามูลค่ามันพุ่งจริงๆ ก็คงยังมีคนขุดต่อไป
เป็นการใช้พลังงานที่เปล่าประโยชน์จริง ๆ
That is the way things are.
+1 เอาพลังมาประมวลผลตัวเลข
การขุดมันมีประโยชน์กับคนที่ได้เงิน ก็เหมือนอุตสาหกรรมอื่นที่มีคนได้ประโยชน์ ซึ่งบางอุตสาหกรรมเป็นพิษมากๆ ไม่ใช่แค่ใช้ไฟก็ยังอยู่ได้เพราะคนบางส่วนมีประโยชน์กับมัน
ผมเห็นด้วยกับความเห็นนี้นะ มันคือทุนนิยมปะครับ
ในไทยก็มีข่าวว่ามีห้างนึงใช้ไฟเท่าจังหวัดๆ นึง ผมก็ไม่เห็นว่าห้างนี้มันจะมีประโยชน์อะไร
แถมเทียบว่า ใช้ไฟเท่าจังหวัดนี้ทั้งจังหวัด เท่าประเทศนี้ทั้งประเทศ ก็ไม่ถูกมากนัก เพราะความเจริญมันยังเลื่อมลำ้กัน
เหมือนกับบอกว่าพวกเราใช้นำเปลืองมาก เท่าๆ แอฟฟริกาทั้งประเทศ ผมว่ามันเป็นการเปรียบเทียบให้เห็นคุณค่า ดรามานิดหน่อย แต่ไม่มีนัยะสำคัญ
โดยปกติถ้าหากเป็นอุตสาหกรรมที่มีผลกระทบกับส่วนรวมมากๆ ก็มักจะมีมาตรการบางอย่างเพื่อเป็นการชดเชยแก่ชุมชนหรือสิ่งแวดล้อม ซึ่งก็ต้องถามกลับว่าคนขุดให้อะไรคืนกลับแก่ส่วนรวมบ้าง
ถ้าเขาตังบริษัทก็ต้องมีมาตรการทางภาษีแล้วการทำ CSR ตามรายได้อยู่แล้วครับ ถ้าอุตสาหกรรมอื่นไม่ทำอย่างถูกกฎหมายมันจะต่างกันตรงไหนละครับ?
ปล.กินไฟขนาดนั้นยังไงก็ต้องขอมิเตอร์โรงงานแล้วบุคคลธรรมดาไม่น่าจะขอได้อยู่แล้ว
ปล2. สุดท้ายแล้วถ้าไม่ทีกฎหมายก็ร่างเพิ่มทำให้ถูกต้องครับงั้นโลกก็ไม่พัฒนาเพราะกฎหมายตามไม่ทันไม่ได้นะครับ
จริงๆมันอยู่ที่มุมมองเลยนะครับ
ส่วนตัวผมคิดว่าในโมเดลกิจการที่ใช้พลังงานใดๆในโลก เงินเป็นผลพลอยได้ (เพราะสิ่งใดสิ่งนึงมีประโยชน์/ตอบสนองโจทย์ทั่วไปมากพอ) คือมองว่ากิจการใดๆ ทำเพื่อ "สิ่งหนึ่งสิ่งใด" ที่มากกว่าเงิน โดยเฉพาะถ้ามองว่า การเอาพลังงาน ซึ่งเป็น limited resource เนี่ยไปใช้ในการทำสิ่งใดสิ่งนึง (นิวเคลียร์ก็จำกัดและมีต้นทุนพลังงานรวมก่อสร้างที่ ไม่ได้ถูกเลยนะ)
ผมมองว่าในหลายๆ Blockchain ผมว่ามันคุ้มกับการขุดนะ แต่ก็มีอีกหลายๆ Blockchain ที่เป็นการใช้พลังงานโดยเปล่าประโยชน์ (นอกจากในแง่ของการสร้างเม็ดเงิน) หรือใช้คำว่า ไม่คุ้มค่า ก็อาจจะได้ อย่าง BTC เนี่ยชัดเจนว่าแพงมาก
คิดเอาว่าตอนนี้ 12.5 BTC / Block
= 6925 x 12.5 = 865xx.xx USD
คิดที่ 1 block = 1 MBytes
ตกแล้ว ค่า confirm ไบต์ละ = 2.74801587 บาท
การพิสูจน์ว่าตัวอักษร a 1 ตัวถูกต้อง = 2.7 บาท นี่แพงนะครับ
ยิ่งถ้าคิดเป็นวัตต์ต่อตัวอักษรแล้วถ้าตีว่า ใช้ไฟ ไบต์ละเกือบ 0.5 หน่วย
ผมว่าเป็นอะไรที่ฟังดูสิ้นเปลืองมาก (นี่ขนาดคิดที่จีนนะ)
"สวัสดีครับ"
10 ตัวอักษร / 20 ไบต์ (16bit unicode)
ข้อความนี้ใน blockchain สามารถเปิด Server (1000W) ได้ 10 ชั่วโมงเลยนะ
หรือถ้าเอา transaction price เลยจริงๆคือ 250 ไบต์
(1ต้นทาง -> 2ปลายทาง)
1 คำสั่งโอนของ bitcoin เอามารันเซิร์ฟเวอร์กลางๆ ได้ครึ่งเดือนเลยนะ
ยกเคสห้าง -> ก็คือสถานที่รวม จับจ่ายใช้สอย recreation และอื่นๆ
แม้กระทั่งจะเทียบจากอุตสาหกรรมที่ผลิตมลภาวะสูงมาก ก็ยังมี by product ที่ใช้งานและอำนวยประโยชน์ได้
หรืออุตสาหกรรมผูกขาดที่รวยเฉพาะกลุ่ม ก็ยังผลิตของเพื่อให้คนบางกลุ่มได้อยู่ดี
มุมนี้คือจะสื่อว่า ผมมองว่า cost of 1 transaction ของ bitcoin แพงมาก เมื่อเทียบกับการ "ทำสิ่งเดียวกัน" ด้วยวิธีอื่นๆ (แต่สกุลอื่นๆหรือระบบอื่นๆ ก็พิจารณาเป็นระบบไปนะครับ)
ถ้าคนเราไว้ใจกัน ก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ระบบที่่แพงๆ แค่ให้ใครสักคน ที่ทุกคนไว้ใจ เป็นผู้ดูแลฐานข้อมูลที่เป็นศูนย์กลาง เพียง 1 ชุด แล้วทุกคนเชื่อฐานข้อมูลนี้ มันก็มีจะต้นทุนที่ถูกมาก
แต่ระบบศูนย์กลาง มีปัญหาคือ ศูนย์กลางสามารถเอาเปรียบคนอื่นได้ รีดผลประโยชน์สู่ตัวเองสูงสุดได้ เลือกปฏิบัติได้ กีดกันคนที่ตัวเองไม่ชอบไม่ให้ทำธุรกรรมได้
คนที่เห็นปัญหา จึงสร้างระบบกระจายอำนาจขึ้นมา ซึ่งออกแบบให้อยู่ได้ในโลกที่มีคนไม่ซื่อสัตย์อยู่มาก จึงมีต้นทุนพลังงานแพงกว่า มันไม่ใช่การเสียพลังงานโดยเปล่าประโยชน์ มันเป็นวิธีหนึ่งในการแก้ปัญหาบางอย่างที่มีในระบบรวมศูนย์ที่อาศัยความไว้วางใจกัน
การป้องกันหรือแก้ปัญหาการทุจริตด้วยวิธีอื่นๆ ก็ต้องเสียพลังงาน, ทรัพยากร, แรงงาน เช่นกัน
ผมเห็นด้วยนะในเรื่องนี้ ถ้าตัดเรื่องการเก็งกำไรจากค่าเงินออก ตรงนี้มันจะเป็นประโยชน์อย่างมากในแง่มุมของ blockchain
crytocurrency แค่ใช้เทคโนโลยี blockchain, แต่ว่าจิงๆ แล้วมันไม่เกี่ยวอะไรกันรึป่าว?
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าด้านบนยกขึ้นมาเอ่ยถึงเรื่องนี้ มันเป็นไปในแง่มุมไหน แต่ผมอ้างถึงเฉพาะประโยชน์ของความเป็น decentralized ใน blockchain ครับ
ดีน่ะผมลงทุนกับกลุ่มที่ขุดด้วยพลังงานทางเลือก ลม แสงแดด และน้ำพุร้อนจากใต้พิภพ คงไม่มีพวกโลกสวย กลัวแสงแดงและลมหมดน่ะ 555+
แดดมันมีหมดอยู่แล้วครับแค่มนุษย์จะสูญพันธุ์ก่อนหรือเปล่า แต่ก็เคยมีชาวไร้ประท้วงนะครับว่าทำให้แล้งอันนั้นก็มั่วไปหน่อย
พลังงานทางเลือกพวกนั้นมันก็สามารถนำไปลดการใช้พลังงานหลักได้นี่ครับ ไม่เห็นจะต่างกันตรงไหน?
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
ผมลงทุนกับพวกที่มันไปขุด อยู่ตรงโรงผลิตพลังงานทางเลือกเลยครับ ตรงมันเหลือจากที่รัฐบาลซื้อ เพราะเขาไมไ่ด้ซื้อหมด เขาซื้อเฉพาะที่มีดีมานด์ ที่เหลือมันปล่อยทิ้ง พวกนี้ก็เลยไปตั้งเหมืองขุดข้างๆเลย รับซื้อพลังงานถูกๆ น่าจะราวๆ 0.003 ต่อกิโลวัตต์เอง ดีกว่าปล่อยทิ้ง มันต่างกันตรงนี้แหละครับ...
มองว่าเป็นการใช้พลังงานอย่างเปล่าประโยชน์ก็ได้นะ แต่มองว่าการผลิตแบงค์และเหรียญนี่ก็เปลืองทรัพยากรณ์และพลังงานในการผลิตก็ได้เหมือนกัน เสียไปเปล่าๆ เหมือนกันด้วย
May the Force Close be with you. || @nuttyi
ประเด็นมันอยู่ที่ว่ามันใช้มากเกินไปน่ะครับ คือกการผลิตธนบัตรและเหรียญนี่รู้กันอยู่ว่าเปลืองเราถึงพยายามทำ cashless กัน แต่ด้วยระบบ proof-of-work ตอนนี้มันทำให้เกินการใช้พลังงานมากกว่าปกติเกินไปมาก
จริงๆ แบงค์กับเหรียญ มันต่างกันตรงที่
ในแบงค์แต่ละใบ เหรียญแต่ละเหรียญที่ผลิตออกมา อายุการใช้งานอาจจะเกินหลักหลายร้อยหลายพัน
แปลว่า แบงก์ 100 1 ใบ ... ถ้าถูกเอาไปใช้งาน มันจะหมุนเวียนมูลค่าได้เป็นหมื่น (ซื้อหรือทอนก็ช่าง)
แต่ cryptocurrency จะเกิด transaction ใหม่ต้องจ่ายค่าไฟอีกทุกครั้งไปนะครับ
อ่านเผินๆ .. นึกว่าแก๊งวายร้ายรวมตัวกันทำเหมืองเพื่อเอาไว้สุ้กับซุปเปอร์แมน ?