Blognone เคยนำเสนอเรื่องราวของสตาร์ทอัพ MoviePass บริการสมัครสมาชิกเพื่อชมภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์แบบเหมาในราคา 10 ดอลลาร์ต่อเดือน ล่าสุด MoviePass มีจำนวนสมาชิกถึง 2 ล้านคนแล้ว แต่จำนวนสมาชิกที่มากขึ้นก็มาพร้อมความเสี่ยงทางการเงินมากขึ้นด้วย
สาเหตุเพราะว่าสมาชิก MoviePass สามารถเข้าชมภาพยนตร์ได้กับโรงภาพยนตร์ในเครือข่ายที่เข้าร่วม โดยทาง MoviePass จะเป็นฝ่ายที่จ่ายเงินให้กับโรงภาพยนตร์เต็มจำนวนตามราคาบัตร แปลว่ายิ่งมีสมาชิกมากขึ้น ใช้บริการมากขึ้น MoviePass ก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นตามมาด้วย (ราคาบัตรชมภาพยนตร์ในอเมริกาตามปกติ ก็เกือบ 10 ดอลลาร์แล้ว)
Mitch Lowe ซีอีโอ ที่เป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Netflix บอกว่าโมเดลธุรกิจของ MoviePass ที่อยู่ในแผนนั้น มีทั้งการขยับมาขอส่วนแบ่งค่าบัตรชมภาพยนตร์, ส่วนแบ่งค่าป๊อปคอร์น ไปจนถึงการนำข้อมูลพฤติกรรมการชมภาพยนตร์ของสมาชิกไปใช้ในการโฆษณา และผลิตของที่ระลึกจำหน่าย
อย่างไรก็ตามแม้ในแง่ธุรกิจอาจมีเครื่องหมายคำถาม แต่ MoviePass ก็ช่วยให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ในโรงหนังที่กำลังแข่งขันกับสตรีมมิ่งในอเมริกา มีจำนวนผู้ชมเข้ามาในโรงหนังเพิ่มขึ้น อีกทั้งลูกค้า MoviePass เองก็นิยมชมภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลมากกว่าภาพยนตร์ในกระแสนิยมหลัก จึงเป็นจุดเด่นที่ MoviePass นำมาชูนั่นเอง
ที่มา: Bloomberg
Comments
มันสร้างรายได้ตรงไหนหว่านี่ ?
แต่ถ้ามองในแง่ของการกระตุ้นอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ทางโรงภาพยนตร์ก็น่าจะให้การสนับสนุนให้มากขึ้นนะ
ความจริงถือว่าสร้างรายได้ให้โรงหนังน้อยมากกกก ลองไปอ่านดูใน the verge เคยพูดถึงเชิงลึกหลายบทความแล้ว เขาพยายามสร้างภาพกับนักลงทุนว่าตัวเองจะเป็นคนทำกู้ชีวิตโรงหนัง แต่เอาจริงๆ ตอนนี้อิทธิพลยังห่างไกล หลายๆ ครั้งเครือโรงหนังเริ่มถอนหลายๆ โรงออกจากโครงการกับ movie pass
ประมาณว่ามันไม่ได้ loyalty จากลูกค้า
ทุกวันนี้ขายบัตรแพงๆ ขายของกินแพงๆ มีฉายกีฬาหรือละคร หรืองานแสดง live ผ่านจอภาพยนตร์อีก มากมาย ประมาณว่า movie pass ช่วยให้คนบางคนเข้าโรงหนังมากขี้น แต่ยังเป็นเศษเสี้ยวที่ไม่มีความสลักสำคัญ ณ ปัจจุบัน
ต้องดูว่า movie pass เงินจะหมดก่อนหรือเปล่า เพราะทุกวันนี้ movie pass จ่ายค่าตั๋วให้โรงหนังเต็มราคาอยู่ แต่คิดคนดูเดือนละจิ๊ดเดียว
เข้าใจว่าบริษัทเขากะว่าคนส่วนมากจะซื้อ movie pass เพราะว่ามันถูกมาก แบบซื้อยาวเป็นปีแล้วไม่ไปดูเพราะติดงาน ขี้เกียจ บลาๆ ประมาณนั้นครับ บริษัทก็จะกินฟรี ปรากฏว่ามันยังไม่เป็นอย่างที่ว่า
เน้นปั้มจำนวนสมาชิกเพื่อเอาไปตบตานักลงทุน หารู้ไม่เงินแค่นี้มาไปไวโยนทิ้งก็ได้หากบริษัทแม่ pro ไม่โดนใจ
ผมว่าคอมเมนต์นี้งงๆ หน่อย ถ้า movie pass จ่าย "ราคาเต็ม" โรงหนังจะถอนตัวทำไมหรือครับ แค่เพราะว่าไม่ได้ loyalty? (เอาไปทำไมหว่า ผมเดินไปซื้อตั๋วนานๆ ทีก็ไม่ต้องแสดงความรักแบรนด์โรงหนังอะไร)
lewcpe.com, @wasonliw
เข้าใจว่ามันมีโควต้าไงครับที่จะกันไว้ให้ movie pass แล้วเวลาหนังใหญ่พวก block buster มาจะกลายเป็นว่า movie pass อาจจะไปกินที่ลูกค้าธรรมดาไงครับ เขาคงกะว่าถ้าไหนๆ จะหาคนที่ดูหนังประจำๆ เยอะๆ แล้ว ก็หาสมาชิกธรรมดาน่าจะดีกว่า คงเรื่อง loyalty ทำนองนั้นครับ เพราะคนใช้ movie pass เขาใช้ได้หลายเครือข้ามไปมาอยู่ละ แล้วรายได้ที่มาจาก movie pass ก็น้อยอยู่แล้ว ประมาณว่ามีเหมือนไม่มีน่ะครับ
ส่วนคนที่นานปีดูทีคงไม่ได้อยู่ในสมการด้วยน่ะครับ ผมเข้าใจอย่างนี้นะ
รายได้ที่มาจาก movie pass
ก็เท่ากับลูกค้าซื้อตั๋วนะครับ
เรื่อง Loyalty ครับ
อีกประเด็นคือ moviepass เขาอยากได้ส่วนแบ่งรายได้อื่นด้วย ค่าป๊อปคอร์น ฯลฯ แล้วถ้ามีส่วนแบ่งเยอะ(ลูกค้าจาก moviepass เยอะ)พอมีอิทธิพลมากคงขอลดค่าตั๋วแหละครับ
แต่ตอนนี้ยังไม่มีอิทธิพลขนาดนั้นแต่เริ่มเบ่งแล้วไงครับ เครือใหญ่ๆ เลยอยากตัดไฟแต่ต้นลมนะผมดูแล้ว ก็จบที่ว่า moviepass จะมีเงินเหลือพอจะเผาทิ้งจนมีลูกค้าเยอะพอที่จะใช้ต่อรองกับเครือโรงหนังต่างๆ หรือไม่มี
ผมว่าโรงหนังเมืองนอก Community Theater มันก็มีเยอะนะครับ (ไม่ใช่บ้านเราหนี major เจอ sf, หนี sf เจอ major) คือมีทางเลือกอยู่พอสมควร การจะได้ขาย concession หรือเน้นให้ลูกค้ากลับมาที่เดิมบ่อยๆ มันก็ต้องพ่วงหลายอย่าง
https://www.theverge.com/2018/1/26/16936952/moviepass-amc-theatre-feud-movie-tickets-deceptive-earnings-statement
movie pass ในโรงหนังค่ายใหญ่ มันเลยดูไม่ค่อย benefit เท่าไรสำหรับเค้า แต่มันช่วยโรงเล็กๆล่ะ
$10 ต่อเดือนนี่ถูกมาก น่าจะสัก $30
ถูกกว่าการซื้อตั๋วดูหนังต่อเรื่องของผมซะอีก ขนาดว่าใช้โปรลดไปบางส่วนแล้วนะ
งงโมเดลธุรกิจแฮะ คือ MP เก็บค่าสมาชิกเป็นเดือน แล้วสมาชิกสามารถเดินไปดูหนังในเครือที่ไหนก็ได้โดยใช้แอพสแกนแทนบัตรงั้นเหรอ แล้วแอพก็จ่ายให้โรงหนังราคาเต็ม แบบนี้ก็คือกะว่าจะหวังฟันเอาตรงที่มีค่ารายเดือนสูงมาเรื่อยๆแต่เครือโรงหนังเท่าเดิมเพราะโรงมีจำกัดความน่าจะเป็นที่คนจะไปดูมีเท่าเดิมแต่สมาชิกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆและหวังว่าค่าสมาชิกโดยรวมจะสูงกว่าค่าตั๋วที่จ่ายงั้นเหรอ
ผมว่าโมเดลนี้ไม่น่ากำไร ถ้าสมาชิกเพิ่มขึ้นไปถึงจุดที่ MP ได้กำไรจริง ผมว่ารายได้จะไม่โตและจะลดลงเรื่อยๆเพราะประสบการณ์การใช้งานจะแย่ลงเนื่องจากต้องไปแย่งตั๋วกันเองระหว่างสมาชิก
ผมเข้าใจว่ากะว่าจะสร้างยอดบางระดับ (แสนที่นั่งต่อเดือน) แล้วไปบี้กับโรงหนัง (ขอจ่ายที่นั่งละ 5 ดอลลาร์อะไรแบบนั้น) ภายหลังนะครับ
lewcpe.com, @wasonliw
อยู่อเมริกาก็น่าสมัครเดือนละ10เหรียญ ดูแค่เรื่องละเดือนก็คุ้มแล้ว
น่าจะเป็นเดือนละเรื่องหรือเปล่า
ถ้าเรื่องละเดือนนี่กินนอนกันในโรงหนังเลยนะ ^ ^"
เหมาะกับขาซ้ำ ? (ดูหลายรอบ)
สมัยก่อนกว่าหนังจะออกจากโรง โน่นเลยครับ 8 เดือน ปีนึง
สมัยนี้แทบจะฉายพร้อมกัน บางเรื่องนั่งดูสรีมมิ่ง ที่บ้านพร้อมรอบเปิดตัวเลยก็ได้
ใครจะดูในโรงฟะ ดู TV 60 นิ้ว พร้อมแช๊ทคุยกันไปด้วย อยู่ที่บ้านไม่ดีกว่าเหลอ ?
ดูในโรงก็ให้อีกความรู้สึกนึงนะครับ
แต่จะได้ความรู้สึกดีหรือแย่ต้องเสี่ยงดวงกับมารยาทคนข้างๆ
ผมเจอข้างหลังกลิ่นเท้าเหม็นกับเด็กโหวกเหวกนี่ทำเอาเลิกเข้าโรงหนังไปเลยครับ
โดยส่วนตัวดูทั้งในโรงทั้ง Netflix ทั้ง 2 แบบก็ให้ความรู้สึกที่ดีแตกต่างกันไป แต่ถ้าเป็นหนังที่อยากดูมากๆ จริงๆ ก็ยังอยากดูในโรงมากกว่าครับ หลังๆ มาอาจจะเป็นโชคดีของผมที่ไม่ค่อยเจอผีโรงหนังสักเท่าไหร่แล้ว อาจจะคิดไปเองแต่ผมว่าตอนนี้มารยาทของคนที่ไปดูหนังโดยรวมดีกว่าเมื่อหลายปีก่อนเยอะ
ผมชอบดูในโรงมากกว่าครับ บรรยากาศมันทำให้เราจดจ่ออยู่กับตัวหนังมากกว่า ระบบเสียงระบบภาพที่บ้านผมเองก็ไม่ดีเท่าในโรงด้วย ครั้นจะอัพเกรดให้มันดีขนาดนั้นก็คงใช้เองไม่คุ้มเท่าไหร่ แล้วก็ไม่ชอบแชตไปดูไประหว่างดูหนังครับ ดูอยู่บ้านก็ไม่แชต ขี้เกียจต้องมากรอกลับในช่วงที่ขาดไป
เรื่องผีโรงหนัง ผมชอบนั่งกลางๆโรง ไม่ค่อยเจอเท่าไหร่ บวกกับรู้อยู่แล้วว่ารอบไหนคนจะเยอะก็เลี่ยงเอา อาจจะเป็นเพราะไม่ค่อยได้ดูหนังตลาดๆมันก็เหมือนคัดกรองคนที่ดูไปด้วยในตัว