ยังคงมีการถกเถียงกันว่ารถยนต์ไฟฟ้านั้นสะอาดกว่ารถยนต์สันดาปภายในจริงหรือไม่ เพราะไฟฟ้าที่นำมาชาร์จก็อาจมาจากแหล่งที่ไม่เป็นมิตร เช่นถ่านหิน
ล่าสุดสมาคมรถยนต์ไฟฟ้าออสเตรเลีย ร่วมกับคลับคนใช้ Tesla ออสเตรเลียตะวันตกได้ทดลองชาร์จรถยนต์ Tesla Model S P85D ด้วยเครื่องปั่นไฟพลังดีเซล เทียบกับรถ Volvo V40 เครื่องยนต์ดีเซล 2 ลิตรที่เติมน้ำมันชนิดเดียวกัน แล้ววิ่งเป็นระยะทาง 104.6 กิโลเมตรไปพร้อมกัน สภาพอากาศมีแดดออก และการจราจรวิ่งได้ดี
ทีมงานเติมน้ำมันใส่เครื่องปั่นไฟจนเต็ม แล้วปล่อยให้ชาร์จรถ Tesla Model S ไป แล้วจดไว้ว่าใช้น้ำมันไปเท่าใดในการชาร์จ และทางฝั่งรถ Volvo ก็เติมน้ำมันจนเต็มเช่นกัน จากนั้นก็ออกไปวิ่งโดยเปิดแอร์ทั้งสองคัน และฝั่ง Tesla เปิดใช้โหมด Insane ด้วย
พอวิ่งเสร็จก็เติมน้ำมันของ Volvo จนเต็มอีกครั้งเพื่อดูว่าใช้น้ำมันไปเท่าใด และนำมาเทียบกับของ Tesla ที่จดไว้ตอนแรก ผลปรากฎว่าในการวิ่ง 104.6 กิโลเมตร Volvo V40 ใช้น้ำมันไป 4.800 ลิตร คิดเป็นอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 21.79 กม./ลิตร ในขณะที่ Tesla ใช้ไป 4.460 ลิตร หรือ 23.45 กม./ลิตร
เจ้าของคลิปได้อธิบายเพิ่มในคอมเมนต์ว่าความเร็วเฉลี่ยตลอดเส้นทางมากกว่า 60 กม./ชม. นิดหน่อย และเส้นทางมีทั้งไฮเวย์และถนนในเมือง ชมคลิปได้ท้ายข่าว (แย่หน่อยตรงที่ความละเอียดแค่ 480p)
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงการทดลองของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ใครมีความเห็นอย่างไรก็ถกกันได้ในคอมเมนต์ด้านล่างครับ
ที่มา - Electrek
Comments
เวลามีการถกเถียงเรื่องรถไฟฟ้า คนมักจะใช้ข้ออ้างเหมือนกันว่าปั่นไฟก็สกปรก
แต่ผมว่าแค่เดินถนนแล้วรถไม่พ่นควันใส่ผมก็ซึ้งจนน้ำตาแทบไหล (แทนที่จะเป็นน้ำตาไหลเพราะควัน) แล้วครับ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้อง ABSOLUTELY CLEAN ZERO EMISSION ถึงจะใช้รถไฟฟ้ากัน
ใช่ครับ ลดควันลดเสียงลงไปได้นี่ก็ดีกว่าเดิมมากๆ แล้ว
อาจจะเพราะบางครั้ง รถยนต์ไฟฟ้าชอบโฆษณาว่ารถเค้า Zero Emission เลยทำให้คนหมั่นไส้ก็ได้ครับว่า สุดท้ายก็ปล่อยที่จุดผลิตไฟฟ้าอยู่ดี
ลองถ้ารถยนต์ไฟฟ้าโฆษณาว่า Less Emission/More Efficiency etc. ก็คงเถียงกันไม่ออก (ไปเถียงว่าแพง/แบตรีไซเคิลยาก/หาที่ชาร์จลำบาก/เติมไฟช้า/Range น้อยแทน)
คือผมว่าที่เมืองนอกที่เค้าโฆษณามันมีส่วนจริง เพราะหลายๆที่ก็เป็นพวกพลังงานทางเลือก บางคนบ้านติดโซลาร์ชาร์จที่บ้านเอา (แต่ก็เป็นเคสไม่ปกติไปหน่อย)
ในไทยนี่ไม่จริงแน่ๆล่ะ 555
Zero Emission*
*when you drive
คนขับ+คนนั่งต้องกลั้นหายใจด้วยครับ ไม่งั้นก็ปล่อย CO2 อยู่ดี :P
มันเป็นคำทางการตลาด คือรถเค้ามัน Zero Emission จริงๆ เพราะเค้าโฆษณาถึงรถอย่างเดียว ไม่ได้พูดถึงแหล่งกำเนิดเชื้อเพลิง หรือคนขับ (เพราะมันไม่ใช่ความรับผิดชอบของเค้าแล้ว) จริงๆมันก็ปกติมากของการโฆษณานะ ขนาดยาสีฟันยี่ห้อนึงยังโฆษณาว่าเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของทันตแพทย์ได้เลย
ผมแซวเล่นคัรบ ใจเย๊นนนน
จริงๆจะเจตนาโควตตั้งแต่เม้นก่อนหน้าอ่ะครับ อันนี้เข้าใจแล้วว่าแซวเล่นแต่อยากเชื่อมโยงนิดนึง
Model S $100,000 (ต้องให้รัฐเอาภาษีมาช่วยอุ้มให้ซื้อได้ในราคานี้)
Volvo V40 $36,000
ประหยัดได้แค่ 2 กิโลลิตร
ประสิทธิภาพเครื่องปั่นไฟกับโรงไฟฟ้ามันต่างกันเยอะอยู่นะครับ
ยังไม่นับการควบคุมไอเสีย ก่อนปล่อยออกมาอีก ยังไงผมก็ว่า EV win
ครับ
ตอนผมจะซื้อรถ ผมก็คิดนะ อยากรักษณ์โลก แต่ถอย Prius โตโยต้าตั้งราคามา 1.3 ล้าน โม้ว่าอีก 10 ปีราคา Battery จาก 200,000 จะเหลือ 70,000 โลกจะดีขึ้น สดใสสว่าง เหมือนขี่หลังม้าโพนี่ Rainbowdash ในทุ่งดอกทานตะวัน
คำนวนค่าน้ำมันแล้ว ถ้าผมซื้อ Vios ที่ 700,000 ผมจะเหลือเงิน 500,000 เอาไป ซื้อประกันชั้น 1 ซัก 10 ปี 150,000 เช็คระยะ 10 ปี 100,000 เติมน้ำมัน โซฮอล 95 ได้ 8,500 ลิตร หรือวิ่งรถได้ 150,000 กิโล
แต่เอาเข้าจริง hybrid ก็ไม่ได้รักษณ์โลกเท่าไหร่ แต่ถ้า EV ล้วนๆ มาจริง ก็อยากซื้อใช้ครับ แต่ EV ระดับเดียวกับ 5 Series ,Benz E250 มี 700 แรงม้าบอกว่า นี้รถรักษณ์โลกนะ ลดภาษีให้เราด้วย ผมว่ามันไม่ตลกนะ เหมือนเอาภาษีคนทั้งประเทศไปช่วยคนรวยซื้อรถหรูอ่ะ
นี่แหละที่ผมคิดว่าสาเหตุของการไม่ใช้ EV ในประเทศไทย เพราะไปเห็นตัวอย่างแย่ๆจาก Prius 555
Hybrid ควรตัดทิ้งไปเมื่อคุยเรื่อง EV ครับ ผมว่า
เรื่อง Hybrid vs EV ก็ตามข้างบนเลยครับ ไม่ควรเอามาเทียบกัน
ส่วนเรื่องรถหรู ทุกวันนี้ผมมีใบขับขี่แต่ไม่ขับเลย แบบนี้ผมก็พูดได้ครับว่าเอาภาษีผมไปช่วยคนซื้อรถส่วนตัว แทนที่จะเอามาพัฒนาขนส่งมวลชน
ถ้าจะลดภาษีด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ผมว่าลดภาษีเพื่อช่วยลดมลพิษในเมือง (PM 2.5 นี่ทำคนรอบตัวผมป่วยหลายคน) ยังพอมีเหตุผลนะครับ
ถ้าเทียบกับ Tesla ก็คงเป็นของเล่นคนรวย
แต่ EV ราคาถูกมีเยอะนะครับ Hyundai ioniq, Nissan Leaf, Kia Soul, Renault Zoe เป็นรถเมือง ราคาไม่แพง น่าจะอยู่ราวๆ Mazda 3 ของจีนก็มีราคาถูกกว่านี้เยอะ
ซึ่งกรณีนี้ก็ไม่ควรเทียบกับประเทศไทยอยู่ดี เพราะมีภาษีนำเข้าเลยทำให้รถอย่าง Tesla ราคา 8 ล้าน หรือ Nissan Leaf 2 ล้านกว่า
จริงๆ มันคือการเอางบประมาณประเทศมาแก้ปัญหามลพิษทางอากาศครับ
โอ้โห เปรียบเทียบแบบ Tesla เสียเปรียบด้วยนะนั่น ผมเข้าใจว่าเครื่องปั่นไฟน่าจะมีประสิทธิภาพห่วยกว่าโรงไฟฟ้าเยอะอยู่นะ
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
งั้นต่อไปนี้ ใช้ระบบปั่นไฟ แบบ รถไฟ ดีเซลราง ได้ไหมเพราะรถไฟขนาดใหญ่มีเครื่องปั่นไป แล้วเอาไฟ ไปขับมอเตอรือีกที
ติดเครื่องปั่นไฟ ขนาเล็ก สูบเดียวไป กับรถเอาไว้ชาร์ตไฟอัตโนมัติ
แบบพวก BMW i3 หรือ Nissan e-Power แต่ข้อเสียคือกลายเป็นว่าต้องดูแลทั้งระบบเครื่องยนต์และไฟฟ้า
ก็เลยทำระบบไฟฟ้าเพียวๆแล้วอัดระยะเข้าไปเรื่อยๆทุกปีแบบ Tesla ไปสร้างสถานีชาร์จเร็วน่าจะดีกว่านะ
พวกเครื่องปั่นไฟเล็กๆ ประสิทธิภาพมันไม่ค่อยสูงหรอก เสียพลังงานฟรีเพียบเลย (ยังชนะ) แถมการที่ปล่อยของเสียที่จุดๆ เดียว (โรงงานไฟฟ้า) มันสามารถจัดการได้ง่ายกว่าต่างคนต่างปล่อย (กลางถนนใครถนนมัน) เยอะมากเลย
พวกฝรั่งมันไม่เคยยืนท้ายรถที่ใช้น้ำมันหรือไง
สงสัยต้องจับมานั่งรถเมล์ไทยให้เข็ด
เร่งเครื่องที
เหมือนมังกรพ่นควัน
ฝรั่งชอบดมควันนะครับ สังเกตฝรั่งที่นั่งรถตุ๊กๆรมควัน ยิ้มแฉ่งกันทุกคน
ที่บ้านเค้าไม่มีมั้งครับ ผมยังเห็นฝรั่งยืนถ่ายรูปสายไฟพันกับสะพานลอยตรงโลตัสอ่อนนุชอยู่เลย ทำหน้าแบบทึ่งมาก
ไม่ต้องทดสอบก็รู้ว่าแพ้แน่ทดสอบแบบนี้ เพราะเครื่องยนต์มันจะมีประสิทธิ์ภาพสูงสุดที่รอบเครื่องใดรอบเครื่องหนึ่งเป็นปกติ เครื่องปั่นไฟสามารถล๊อกไว้ที่รอบเครื่องนั้นเฉพาะเพื่อประหยัดน้ำมัน
แต่รถยนต์มันทำไม่ได้ เพราะต้องเปลี่ยนรอบเครื่องไปมาตลอดเวลาอยู่แล้ว สิ่งที่ผมแปลกใจว่ามันไม่ห่างกันมาก มากกว่า แสดงถึงความก้าวหน้าของเครื่องยนต์ดีเซลขนาดเล็กของวอลโว
ถ้าเครื่องล้วนชนะสิแปลกไม่งั้นเค้าไม่มีระบบดีเซลไฟฟ้าหรอก
ปั่นไฟแล้วก็เอามาวิ่งบนถนนเหมือนกันนะครับ วิ่งถนนปกติด้วย
ผมก็คิดงี้นะ เพราะเครื่องยนต์รถมันไม่ได้ทำงานที่จุดที่ประสิทธิ์ภาพสูงสุด แต่ไม่ห่างมากอาจจะเพราะของฝั่ง EV มันสูญเสียพลังงาน 2 รอบคือที่เครื่องยนต์และที่จาก charge/discharge battery
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
น่าจะมองคนละมุมครับ ที่เอาเครื่องปั่นไฟมาใช้เพื่อจะเทียบเรื่องที่บอกว่า EV สกปรก ผลก็คืออัตราการใช้น้ำมันน้อยกว่า
ซึ่ง Volvo เปลืองมากกว่าแค่นิดเดียว แต่อย่าลืมว่าระหว่างวิ่งก็ปล่อยไอเสียออกมา
หรือถ้าไปมองอีกว่าโรงไฟฟ้าก็ต้องมีประสิทธิภาพกว่า หรือแม้กระทั่งชาร์จด้วยพลังงานทดแทน ก็จะยิ่งห่างไปอีก
ผมว่าประเด็นไม่ใช่เรื่อง MPG ครับ แต่เอามาเทียบเพื่อให้เห็นง่ายๆ เพราะไม่มีใครไปทดสอบสักที ว่าไฟฟ้าที่ชาร์จที่มาจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน หรืออะไรพวกนั้นมันเทียบกับรถน้ำมันสกปรกมากน้อยกว่ากันอย่างไร