Evan Williams ผู้ร่วมก่อตั้งและอดีตซีอีโอ Twitter ที่หลังจากนั้นมาเปิด Medium ในปี 2012 แล้วลงจากตำแหน่งซีอีโอในปี 2022

ล่าสุดเขากลับมาพร้อมโซเชียลเน็ตเวิร์คตัวใหม่ชื่อ Mozi ที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับ Mozilla (แค่ชื่อคล้าย)

Evan Williams อดีตซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Twitter (ลงจากตำแหน่งซีอีโอปี 2010, ลาออกจากบอร์ดปี 2019) และ Jason Goldman อดีตพนักงานรุ่นแรกๆ ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg ว่ารู้สึกอย่างไรต่อบริษัทหลังเปลี่ยนมือเจ้าของมาเป็น Elon Musk

สองผู้ร่วมก่อตั้ง Twitter คือ Evan Williams และ Biz Stone เปิดบัญชี Mastodon แล้ว (ไล่เลี่ยกับ Medium ซึ่งเป็นบริษัทของทั้งสองคน เปิดเซิร์ฟเวอร์ Mastodon ของตัวเองชื่อ me.dm) โดย Stone โพสต์ว่าประสบการณ์ใช้งาน Twitter ช่วงหลังของเขาไม่ดีนัก เขาจึงมาลอง Mastodon ดูว่าเป็นอย่างไร

ส่วน Williams ให้สัมภาษณ์ว่าเขาสนับสนุนแนวคิดที่เปิดกว้าง เครือข่ายที่กระจายศูนย์ ซึ่งจะช่วยให้เกิดนวัตกรรมในยุคที่แพลตฟอร์มขนาดใหญ่มีอำนาจมากเกินไป เขาบอกว่าตอนนี้เราอยู่ในช่วงเวลาพิเศษที่ผู้คนกำลังมองหาทางเลือกใหม่ๆ

บัญชีของ Stone อยู่บน me.dm แล้ว ส่วน Williams ยังเป็นบัญชีบน mastodon.social และยังไม่ได้เปิดบน me.dm

Evan Williams ผู้ร่วมก่อตั้ง Twitter (อดีตเจ้านายเก่าของ Jack Dorsey ในช่วงก่อตั้ง) ที่ภายหลังมาก่อตั้ง Medium แพลตฟอร์มการเขียนเนื้อหาออนไลน์ในปี 2012 ประกาศลงจากตำแหน่งซีอีโอของ Medium หลังอยู่ในตำแหน่งนี้มานาน 10 ปี โดยจะเป็นประธานบอร์ดของบริษัทแทน

ซีอีโอคนใหม่ของ Medium คือ Tony Stubblebine ที่ทำงานร่วมกับ Evan Williams มายาวนานตั้งแต่ยุคบริษัทเก่า Odeo แต่ไม่ได้มาร่วมทำ Twitter ด้วยกัน เขาไม่ได้เป็นพนักงานของ Medium มาก่อน แต่อยู่ในฐานะที่ปรึกษาของ Williams มาตั้งแต่ก่อตั้ง Medium ก่อนหน้านี้เขาทำงานอยู่กับบริษัท Coach.me

Evan Williams หนึ่งในสี่ผู้ร่วมก่อตั้ง Twitter และอดีตซีอีโอ ประกาศว่าเขาได้ลาออกจากตำแหน่งสุดท้าย นั่นคือบอร์ดบริหารของ Twitter แล้ว โดยจะไปโฟกัสในเรื่องอื่นต่อจากนี้

เขาทวีตข้อความว่า เขารู้สึกโชคดีที่ได้เป็นบอร์ดบริหาร Twitter ถึง 12 ปี (นับตั้งแต่บริษัทมีบอร์ด) ซึ่งมีแต่เรื่องน่าสนใจ เรื่องใหม่ให้เรียนรู้ และท้าทายตลอด

Evan Williams หนึ่งในผู้ก่อตั้งและอดีตซีอีโอ Twitter (ปัจจุบันธุรกิจหลักคือ Medium) ประกาศว่าตัวเองจะทยอยขายหุ้นบางส่วน (30% ของที่เขาถืออยู่) ใน Twitter ออกไป เพื่อนำเงินสดที่ได้ไปลงทุนในกิจการอื่นๆ

Williams บอกว่าเขาไปลงทุนในกิจการมากมาย เช่น บริษัทลงทุน Obvious Ventures และกิจการเพื่อการกุศลอื่นๆ ทำให้ต้องการเงินสดมาใช้สอย การขายหุ้นครั้งนี้ไม่ได้แปลว่าเขามองว่า Twitter กำลังอยู่ในช่วงขาลง เขายังมั่นใจในอนาคตของบริษัท และยังนั่งเป็นบอร์ดของบริษัทต่อไป

ช่วงหลัง Twitter ประสบปัญหามากมาย การขายหุ้นของผู้ก่อตั้งอย่าง Williams อาจส่งผลให้นักลงทุนไม่มั่นใจในอนาคตของบริษัท ทำให้ Williams ต้องรีบออกมาประกาศตัวไว้ก่อนว่าเป็นการขายหุ้นด้วยเหตุผลส่วนตัว

Evan Williams กับ Biz Stone สองในสามของผู้สร้าง Twitter ที่แยกตัวออกไปทำบริษัทใหม่ชื่อ Obvious เมื่อปีที่แล้ว ออกมาเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัทชื่อว่า Medium

Evan Williams อธิบายว่า Medium เป็นแพลตฟอร์มสื่อออนไลน์แบบใหม่ที่เน้นการมีส่วนร่วม โดยผู้ใช้งานสามารถเลือกระดับการเข้าร่วมได้ตามต้องการ ตั้งแต่อ่านเฉยๆ ให้คะแนนต่อเนื้อหา ไปจนถึงการโพสต์เนื้อหาด้วยตัวเอง เนื้อหาทั้งหมดสามารถจัดเรียงเป็น "collection" ได้ตามธีมและเท็มเพลตที่เตรียมไว้ให้

ตำนานของผู้ก่อตั้ง Twitter ทั้งสามคนเป็นเรื่องราวเข้าขั้นมหากาพย์ แบบสรุป ๆ ก็คือผู้ก่อตั้ง 2 คนแรกคือ Evan Williams กับ Biz Stone อยู่ในทีมที่สร้างบล็อก Blogger แต่หลังจากขายให้กูเกิลก็มาตั้งบริษัทใหม่ โดยมีโปรแกรมเมอร์หนุ่ม Jack Dorsey เป็นผู้ก่อตั้งคนที่สาม หลังจากนั้น Twitter ก็โด่งดังอย่างที่รู้กัน

แต่ความขัดแย้งภายในก็เริ่มเกิดขึ้น เปิดบริษัทมาได้ไม่นาน ซีอีโอ Jack Dorsey โดนปลดจากบอร์ดบริหาร และให้ Evan Williams เข้ามาเป็นแทน ส่วน Jack Dorsey แยกไปทำบริษัทจ่ายเงินบนมือถือ Square

Twitter เปลี่ยนตัวผู้บริหารระดับหัว โดย Evan Williams ผู้ก่อตั้งและซีอีโอคนปัจจุบันก้าวลงจากตำแหน่งซีอีโอเพื่อไปโฟกัสด้านผลิตภัณฑ์ และให้ Dick Costolo อดีตผู้ก่อตั้ง FeedBurner ซึ่งปัจจุบันเป็นซีโอโอของบริษัท ขึ้นมารับตำแหน่งแทน

Evan Williams ให้เหตุผลว่า Twitter มีพนักงานเพิ่มขึ้นมากเป็น 300 คน ต่างจากช่วงที่เขาเป็นซีอีโอซึ่งมีเพียง 20 คน เขาบอกว่าตัวเองเหมาะกับงานด้านผลิตภัณฑ์มากกว่า และคาดว่า Costolo เป็นผู้บริหารที่ดีกว่า

การเปลี่ยนตัวซีอีโอคราวนี้คงไม่มีสัญญาณพิเศษอะไร เป็นแนวทางปฏิบัติทั่วไปอยู่แล้วที่ผู้ก่อตั้งจะหาผู้บริหารมืออาชีพมาทำงานแทน แล้วไปโฟกัสด้านเทคนิคแทน (ตัวอย่างที่ชัดเจนคือไมโครซอฟท์ และกูเกิล)