ภารกิจ Artemis I ยังเป็นมหากาพย์ไม่จบไม่สิ้น หลัง NASA เตรียมพยายามยิงจรวดเป็นรอบที่สองคืนนี้ราว 1.17 น.
ล่าสุด NASA ประกาศยกเลิกการยิงจรวดแล้ว หลังพบปัญหาไฮโดรเจนเหลวรั่วขณะเติมในถังเชื้อเพลิงของจรวด Space Launch System (SLS) ซึ่งเป็นอาการคล้ายๆ กับปัญหาของรอบที่แล้ว แต่รายละเอียดยังต้องรอการสอบสวนของ NASA อีกครั้ง
NASA ประกาศวันยิงจรวด Artemis I รอบใหม่วันที่ 3 กันยายน เวลาท้องถิ่น 2:17 p.m. EDT ตรงกับเวลาประเทศไทย 01.17 น. ของวันที่ 4 กันยายน โดยมีกรอบเวลาที่ยิงจรวดได้ (launch window) 2 ชั่วโมง
ความพยายามยิงจรวดตามภารกิจ Artemis I ครั้งแรกในวันที่ 29 สิงหาคม ไม่ประสบความสำเร็จ หลังพบปัญหาเครื่องยนต์หมายเลข 3 อุณหภูมิสูงกว่าเครื่องยนต์อื่นๆ (มีทั้งหมด 4 เครื่องยนต์) และปัญหาเชื้อเพลิงไฮโดรเจนรั่วในบริเวณชิ้นส่วน Tail Service Mast Umbilicals ของฐานยิง ซึ่งทีมวิศวกรกำลังแก้ไขปัญหากันอยู่
NASA ประกาศยกเลิกการยิงจรวดตามภารกิจ Artemis I ตามแผนการที่วางไว้ เนื่องจากพบปัญหาเชื้อเพลิงรั่วในเครื่องยนต์ของจรวด SLS
NASA บอกว่าจะพยายามแก้ปัญหาและประกาศวันยิงจรวดใหม่อีกครั้งในภายหลัง จากประกาศเดิมคราวก่อน โอกาสยิง (launch opportunity) รอบหน้าที่สภาพแวดล้อมเหมาะสมกับการยิงจรวดคือวันที่ 2 กันยายน และ 5 กันยายน
ในที่สุด ภารกิจ Artemis I ยิงจรวดไปวนรอบดวงจันทร์ของ NASA ที่ล่าช้ามาหลายรอบ ก็จะเกิดขึ้นแล้วจริงๆ ในวันนี้ 29 สิงหาคม 2022 มีกรอบเวลายิง 2 ช่วงโมง เริ่มตอน 19.33 น. ตามเวลาประเทศไทย (เวลาการถ่ายทอดสดจะเริ่ม 17.30 น. ผ่านทาง YouTube และเว็บไซต์ NASA)
ภารกิจ Artemis I มีความสำคัญเพราะเป็นก้าวแรกของ NASA ในการกลับสู่ดวงจันทร์ ถือเป็นการซ้อมครั้งแรกโดยยิงจรวดที่ยังไม่มีมนุษย์ (มีหุ่นนั่งไปแทนในที่นั่งมนุษย์) ก่อนส่งมนุษย์กลับไปดวงจันทร์อีกครั้งในภารกิจ Artemis III ราวปี 2025
หนึ่งในมุกที่เรามักจะนึกถึงเวลาเห็นภาพยนตร์เกี่ยวกับหายนะที่จะมีอุกกาบาตขนาดยักษ์ตกลงมาที่โลกคือการส่งอะไรสักอย่างพุ่งเข้าชนมันเพื่อให้มันเบี่ยงวิถีการเคลื่อนที่ไม่พุ่งตรงมาชนโลก ซึ่งที่ว่ามานี้คือไอเดียของโครงการ Double Asteroid Redirection Test (DART) เทคโนโลยีปกป้องโลกที่ NASA กำลังจะทดสอบจริงเดือนหน้า
ยาน DART มีน้ำหนัก 610 กิโลกรัม ติดตั้งระบบเซ็นเซอร์และซอฟต์แวร์เพื่อการนำทางสำหรับเคลื่อนที่พุ่งเข้าชนเป้าหมาย พร้อมกล้องถ่ายภาพเพื่อช่วยในการสังเกตการณ์และการนำทาง มันมีแผงโซลาร์เซลล์ที่เมื่อกางออกเต็มที่จะมีความยาว 8.5 เมตรทำหน้าที่สร้างพลังงานไฟฟ้าเลี้ยงระบบต่างๆ
NASA อนุมัติแผนการของภารกิจ Artemis I ที่จะส่งจรวดไปวนรอบดวงจันทร์ โดยเดินหน้าตามแผนการยิงจรวดวันที่ 29 สิงหาคม ตามกำหนดเดิม
ก่อนหน้านี้ NASA มีปัญหาเรื่องความพร้อมของจรวด Space Launch System (SLS) จนต้องเลื่อนภารกิจ Artemis I มาแล้วหลายรอบ แต่ตอนนี้คณะกรรมการตรวจสอบความพร้อม (Flight Readiness Review) อนุมัติเรียบร้อยแล้ว
NASA ประกาศรายชื่อ 13 ตำแหน่ง ที่มีโอกาสเป็นจุดจอดยาน Artemis III ซึ่งเป็นโครงการที่จะส่งนักบินอวกาศกลับไปสำรวจดวงจันทร์อีกครั้ง โดยครั้งนี้ประกาศว่าจะมีนักบินอวกาศหญิงและนักบินอวกาศผิวสีไปเหยียบดวงจันทร์ด้วย
ทั้ง 13 ตำแหน่ง อยู่บริเวณขั้วดวงจันทร์ใต้ (South Pole) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มนุษย์ไม่เคยไปสำรวจมาก่อน และคาดว่าจะใช้ศึกษาโอกาสในการตั้งสถานีระยะยาว (ดูรายละเอียดทั้ง 13 ตำแหน่งท้ายข่าว)
โครงการ Artemis III กำหนดส่งนักบินอวกาศไปดวงจันทร์ในปี 2025 จะใช้เวลาสำรวจบนจันทร์ 6.5 วัน ส่วน Artemis I ซึ่งเป็นจรวดลำแรกในโครงการ Artemis ที่จะไปดวงจันทร์ มีกำหนดยิงจรวดวันที่ 29 สิงหาคมนี้ ตามด้วย Artemis II ที่นำมนุษย์ไปโคจรรอบดวงจันทร์
NASA ประกาศกรอบเวลาใหม่สำหรับการยิงจรวด Space Launch System (SLS) พายานอวกาศ Orion ขึ้นไปวนรอบดวงจันทร์ หลังล่าช้ามาแล้วหลายรอบ (รอบล่าสุดจากปัญหาเชื้อเพลิงรั่วระหว่างซ้อมวางบนฐานยิงที่ Kennedy Space Center จนต้องกลับไปซ่อมมาใหม่)
กรอบเวลายิงจรวด (launch opportunity) ขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น ตำแหน่งของดวงจันทร์ มุมการรับแสงอาทิตย์ของแผงโซลาร์บนยาน สภาพอากาศ ฯลฯ โดย NASA ประกาศกรอบเวลายิงเบื้องต้น (potential launch opportunities) 3 ช่วงคือ
หลังจาก NASA เผยภาพถ่ายชุดแรกของกล้องโทรทรรศน์อวกาศ James Webb ยังมีภาพอีกชุดที่กล้อง James Webb ถ่ายให้กับสถาบันวิจัยกล้องโทรทรรศน์อวกาศ (Space Telescope Science Institute) โดยมาจากช่วงทดสอบอุปกรณ์ก่อนเริ่มปฏิบัติการจริงๆ เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม
ภาพถ่ายชุดนี้เป็นภาพถ่ายดาวพฤหัสและดาวเคราะห์น้อยอีกจำนวนหนึ่ง ด้วยกล้องอินฟราเรด NIRCam ทำให้เราเห็นทั้งจุดแดงยักษ์ (Great Red Spot) และดวงจันทร์บางดวงของดาวพฤหัส เช่น Europa, Thebe, Metis อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นภาพที่คมชัดและสว่างกว่าภาพถ่ายในอดีตมาก
NASA เปิดเผยภาพถ่ายอวกาศจากกล้อง James Webb Space Telescope ชุดแรกอีก 3 ภาพ (ข่าวภาพแรกที่เปิดเผยเมื่อวานนี้)
Cosmic Cliffs หน้าผารังสีคอสมิก เป็นการถ่ายภาพพื้นที่ NGC 3324 ที่อยู่ในเนบิวลา Carina Nebula ซึ่งกล้องในอดีตไม่เคยถ่ายได้เพราะติดฝุ่นคอสมิก แต่กล้อง Webb สามารถถ่ายได้เป็นครั้งแรกด้วยพลังของกล้อง Near-Infrared Camera (NIRCam) และ Mid-Infrared Instrument (MIRI) ภาพนี้ดูเหมือนกับภูเขาในอวกาศ - รายละเอียด
เมื่อคืนนี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เป็นคนเปิดตัวภาพถ่ายจากกล้องโทรทรรศ์อวกาศ James Webb Space Telescope ซึ่งเป็นภาพถ่ายอวกาศในแนวลึก (Deep Field) ภาพแรกของกล้อง และเป็นภาพถ่ายอวกาศที่ไกลที่สุดและคมชัดที่สุดเท่าที่เคยถ่ายกันมา
ภาพนี้เป็นการถ่ายคลัสเตอร์กาแล็กซี่ SMACS 0723 ที่เห็นกาแล็กซี่นับพันที่อยู่ไกลมาก (4.6 พันล้านปีแสง) ด้วยกล้องอินฟราเรด Near-Infrared Camera (NIRCam) ใช้เวลาถ่ายภาพจากคลื่นอินฟราเรดที่ความยาวคลื่นต่างกันเป็นเวลานาน 12.5 ชั่วโมง (ถ้าเป็นกล้อง Hubble จะใช้เวลาถ่ายนานหลายสัปดาห์)
NASA ระบุว่าจะเปิดตัวภาพถ่ายทั้งชุด (ไบเดนเปิดมาแค่ภาพเดียว) ในคืนนี้ตามเวลาประเทศไทย
สำนักงานอวกาศออสเตรเลีย (Australian Space Agency) ประกาศความสำเร็จในการส่งจรวดเชิงพาณิชย์ร่วมกับ NASA เป็นครั้งแรกเมื่อคืนนี้ เวลา 20:44น. ตามเวลาในไทย จากท่าอวกาศยานใน Arnhem และเป็นการส่งจรวดเชิงพาณิชย์ครั้งแรกของ NASA ที่ทำนอกสหรัฐอเมริกา
โครงการส่งจรวดครั้งนี้มี 3 ลำ ในเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม เพื่อศึกษาผลกระทบของแสงจากดวงดาวต่อพฤติกรรมของโลก โดยจรวดลำแรกจะส่งตัวตรวจสอบรังสีเอกซ์ ว่าผลต่อวิวัฒนาการกาแลกซีอย่างไร ส่วนจรวดอีกสองลำจะเป็นการสำรวจระบบดาวฤกษ์ Alpha Centauri
ท่าอวกาศยานใน Arnhem บริหารงานโดย Equatorial Launch Australia (ELA) มีจุดเด่นกว่าท่าอวกาศยานอื่นที่ทำให้ NASA เลือกใช้สำหรับภารกิจนี้ เพราะมีสภาพแวดล้อมที่แห้งแล้งคงที่ และห่างจากเส้นศูนย์สูตรเพียง 12 องศา
NASA เปิดเผยว่ากล้องโทรทรรศน์อวกาศ James Webb Space Telescope ที่ปัจจุบันโคจรรอบจุด L2 และอยู่ระหว่างเตรียมอุปกรณ์ตรวจวัด ถูกชนโดยอุกกาบาตขนาดเล็ก (micrometeoroid) ในช่วงวันที่ 23-25 พฤษภาคม 2022 ที่ผ่านมา
จุดที่โดนชนคือกระจกหลักของกล้อง แต่หลังตรวจสอบเบื้องต้นแล้วพบว่ากล้องยังทำงานได้ตามปกติ ซึ่ง NASA จะตรวจสอบในเชิงลึกต่อไป และ NASA ยอมรับว่าการชนรอบที่ผ่านมาก็ใหญ่กว่าที่เคยจำลองโมเดลกันไว้
NASA ประกาศกรอบเวลาใหม่ของการยิงจรวดตามภารกิจ Artemis I ในโครงการ Artemis ที่จะส่งมนุษย์ไปลงผิวดวงจันทร์อีกครั้ง
โครงการ Artemis แบ่งออกเป็น 3 ภารกิจคือ I ซ้อมส่งจรวดที่ไม่มีมนุษย์ไปวนรอบดวงจันทร์ (2022), II ซ้อมส่งจรวดที่มีมนุษย์ไปวนรอบดวงจันทร์ (2024) และ III พามนุษย์ลงจอดบนดวงจันทร์จริงๆ
ภารกิจ Artemis I มีกำหนดต้องขึ้นอวกาศในปี 2022 นี้ แต่ถูกเลื่อนมาแล้วหลายครั้งจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะปัจจัยทางเทคนิคของจรวดใหม่ Space Launch System (SLS) ที่ยังไม่พร้อมดี
สัปดาห์ที่แล้ว NASA ประกาศว่ากล้องโทรทรรศน์อวกาศ James Webb Space Telescope (JWST) เรียงกระจกเสร็จสมบูรณ์แล้ว หลังเรียงกระจกขั้นแรกเสร็จไปช่วงกลางเดือนมีนาคม
ปัจจุบัน JWST ได้ภาพถ่ายที่คมชัดตามต้องการแล้ว ขั้นต่อไปคือการทดสอบอุปกรณ์ตรวจวัดทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นการเตรียมตัวขั้นสุดท้ายของ JWST ใช้เวลาประมาณ 2 เดือน ก่อนเริ่มปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการช่วงกลางปีนี้
อุปกรณ์ตรวจวัดของ JWST มีทั้งหมด 5 ชนิด ได้แก่
กล้องโทรทรรศน์อวกาศ James Webb Space Telescope (JWST) จัดเรียงกระจกหกเหลี่ยมทั้ง 18 บานเข้ากับกล้องหลัก Near-Infrared Camera เสร็จเรียบร้อยตามแผน และทดลองถ่ายภาพอวกาศภาพแรกมาให้ดูกันแล้ว
ภาพแรกของ JWST เป็นการถ่ายภาพเพื่อทดสอบการเรียงกระจก เลยเลือกถ่ายดาวฤกษ์ชื่อ 2MASS J17554042+6551277 ให้อยู่ตรงกลางภาพพอดี เพื่อลองดูว่ากระจกเรียงได้พอดีกันเสมือนเป็นแผ่นเดียวหรือไม่ โดย NASA ระบุว่าระบบกล้องของ JWST ไวต่อแสงมาก ดังนั้นเราจึงเห็นภาพกาแล็กซี่และดาวดวงอื่นๆ ติดมาด้วย
ขั้นถัดไป NASA จะปรับแต่งกระจกเพิ่มเติมเพื่อให้ทำงานเข้ากับอุปกรณ์อื่นๆ ใช้เวลา 6 สัปดาห์ แล้วเข้าสู่ขั้นเตรียมอุปกรณ์ตรวจวัดทางวิทยาศาสตร์ต่อไป
NASA ประกาศต่อสัญญาโครงการ Crew-7, Crew-8, และ Crew-9 กับ SpaceX เพื่อขนส่งนักบินอวกาศไปยังสถานีอวกาศนานาชาติอย่างเป็นทางการ ทำให้มูลค่า สัญญา Commercial Crew Transportation Capability (CCtCap) กับ SpaceX ปัจจุบันรวมอยู่ที่ 3.49 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มจาก 2.6 พันล้านดอลลาร์ที่เซ็นในปี 2014
SpaceX ทำภารกิจทดสอบพร้อมลูกเรือ รวมถึง Crew-1 ถึง Crew-3 เพื่อขนส่งนักบินอวกาศไปยังสถานีอวกาศนานาชาติด้วยแคปซูล Crew Dragon สำเร็จไปในปี 2020 ก่อนได้รับการต่อสัญญา Crew-4 ถึง Crew-5 ในปี 2022 และ Crew-6 ในปี 2023 ส่วนการต่อสัญญา Crew-7 ถึง Crew-9 ในปัจจุบัน แปลว่า SpaceX จะได้ทำงานกับ NASA ไปถึง 31 มีนาคม 2028 เลยทีเดียว
เมื่อคืนนี้ กล้องโทรทรรศน์อวกาศ James Webb Space Telescope (JWST) เดินทางไปถึงจุดหมายคือจุด Lagrange Point 2 (L2) ที่ห่างจากโลก 1.5 ล้านกิโลเมตร โดยหลังจากนี้ JWST จะโคจรอยู่รอบจุด L2 ไปเรื่อยๆ
การทำงานของ JWST หลังจากนี้จะใช้เวลาอีกราว 5 เดือนเพื่อ calibrate มุมของกระจกให้แม่นยำ (ระดับเกือบนาโนเมตร) และทดสอบอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ต่างๆ แล้วค่อยเริ่มถ่ายภาพอวกาศมาให้เราดูกัน
Amazon และ Cisco ประกาศแผนการส่งบริการ Alexa และ Webex ของตัวเองขึ้นยานอวกาศ Orion ของ NASA ไปดวงจันทร์ในภารกิจ Artemis I ซึ่งคาดว่าจะมีกำหนดยิงช่วงกลางปี 2022 นี้
Artemis I ถือเป็นภารกิจแรกของโครงการ Artemis ส่งมนุษย์กลับไปดวงจันทร์อีกครั้ง โดย Artemis I เป็นภารกิจทดสอบที่ไม่มีมนุษย์ขึ้นอวกาศไปด้วย ยานจะบินรอบดวงจันทร์แล้วกลับโลกโดยไม่ลงจอด, จากนั้นจะตามมาด้วย Artemis II ที่มีมนุษย์ไปด้วยแต่บินรอบเหมือนกัน และ Artemis III ที่นำมนุษย์กลับไปเหยียบดวงจันทร์ (คาดว่าเป็นปี 2024/2025 ตามลำดับ)
หลังกล้องโทรทรรศน์อวกาศ James Webb Space Telescope ถูกยิงขึ้นอวกาศเมื่อวันคริสต์มาส ก็ใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ค่อยๆ คลี่ฉากกั้นแสงอาทิตย์ 5 ชั้น และกางกระจกทั้ง 3 ส่วนออกมาอย่างช้าๆ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ผู้สร้างกล้องกังวลว่าถ้ามีความผิดพลาดใดๆ ขึ้นมาแม้นิดเดียว จะส่งผลให้โครงการมูลค่ามหาศาลล้มเหลวไปเลย
เมื่อคืนนี้ James Webb Space Telescope เสร็จสิ้นการกางกระจกชิ้นสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างทำงานได้ดีอย่างที่คาดไว้ ตอนนี้กล้องอยู่ในสถานะที่เกือบพร้อมทำงานแล้ว ขั้นตอนที่เหลือคือให้กล้องเดินทางไปยังจุด Lagrange 2 ซึ่งใช้เวลาอีกประมาณ 14 วัน
ช่วงหัวค่ำวันนี้ กล้องโทรทรรศน์อวกาศ James Webb Space Telescope ถูกยิงขึ้นสู่อวกาศเรียบร้อย โดยจรวด Ariane 5 ของหน่วยงานอวกาศยุโรป (ESA) จากประเทศเฟรนช์เกียนา หลังจากตัวกล้องแยกตัวจากจรวด Ariane 5 ก็กางแผงโซลาร์ เพื่อรับพลังงานจากแสงอาทิตย์แล้ว
โครงการ James Webb Space Telescope (JWST) ถูกเริ่มคิดมาตั้งแต่ปี 1996 โดยตอนนั้นใช้ชื่อว่า Next Generation Space Telescope หรือ NGST (ได้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า James Webb ในปี 2002) เท่ากับว่าใช้เวลาถึง 25 ปี กว่าจะได้ยิงขึ้นสู่วงโคจรจริงๆ
NASA ประกาศช่วงเวลายิงจรวด Ariane 5 เพื่อส่งกล้องโทรทรรศน์ James Webb Space Telescope ขึ้นสู่อวกาศ ในวันที่ 25 ธันวาคมนี้ เวลาประเทศไทย 19.20 น. โดยจะถ่ายทอดผ่านเว็บไซต์ NASA รวมถึงช่องทางโซเชียลอื่นๆ เช่น YouTube, Twitter
James Webb Space Telescope (JWST) เป็นกล้องโทรทรรศน์อวกาศ ที่สร้างขึ้นเพื่อมาใช้แทนกล้อง Hubble ซึ่งใช้มาตั้งแต่ปี 1990 โดยกล้อง James Webb มีกระจกรับรังสีอินฟราเรดใหญ่กว่าเดิม 6 เท่า และเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ที่ทันสมัยกว่า Hubble มาก ช่วยให้รับแสง-รังสีที่มาไกลกว่า Hubble ได้อีกมาก ช่วยให้การค้นคว้าด้านอวกาศพัฒนาไปได้ไกลกว่าเดิม
NASA เซ็นสัญญากับบริษัทอเมริกัน 3 แห่งคือ Blue Origin, Nanoracks, Northrop Grumman ออกแบบสถานีอวกาศในอนาคต ที่จะใช้แทนสถานีอวกาศนานาชาติ
สถานีอวกาศนานาชาติ (International Space Station หรือ ISS) ถูกยิงขึ้นวงโคจรโลกมาตั้งแต่ปี 1998 และมีอายุการใช้งานไปจนถึงปี 2030 เป็นอย่างน้อย
NASA ระบุว่าตอนนี้ได้เวลาเตรียมสถานีอวกาศใหม่ๆ ในระดับวงโคจรต่ำ (low-Earth orbit) มาทดแทน ISS โดยแนวทางของ NASA คือกระตุ้นให้บริษัทเอกชนสร้างสถานีอวกาศเชิงพาณิชย์ขึ้นมารองรับลูกค้าทั้งรัฐบาลและเอกชน ผ่านการให้ทุนสนับสนุนในครั้งนี้ มูลค่ารวม 415.6 ล้านดอลลาร์
NASA ออกแถลงการอัพเดตเกี่ยวกับความคืบหน้าของการส่งกล้องโทรทัศน์อวกาศ James Webb ล่าสุด ว่าต้องเลื่อนกำหนดวันส่งจากเดิม 18 ธันวาคม ไปอย่างน้อย 4 วัน
หลังเกิดเหตุระหว่างทีมงานกำลังเตรียมนำกล้องยึดเข้ากับอุปกรณ์เชื่อมต่อที่ไว้เชื่อมกล้องกับกับจรวดขนส่ง แต่ตัวล็อกที่ยึดกล้องไว้กับตัวเชื่อมต่อ เกิดหลุดออกกระทันหัน ส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วตัวกล้อง
เมื่อช่วงเช้าวันจันทร์ตามเวลาสหรัฐฯ หรือคืนวันจันทร์บ้านเรา เกิดเหตุการณ์ที่นักบินอวกาศทั้ง 7 คนบนสถานีอวกาศนานาชาติถูกสั่งให้ย้ายไปประจำที่ในยานอวกาศทั้ง Soyuz และ Crew Dragon เพื่อเตรียมพร้อมอพยพ หลังสถานีอวกาศนานาชาติตรวจพบการชนกับกลุ่มขยะอวกาศจำนวนมากกระทันหัน
เคราะห์ดีที่การชนกับขยะอวกาศไม่รุนแรงจนเกิดเหตุอะไร และนักบินอวกาศก็ได้กลับไปนอน โดยได้คำแนะนำจากศูนย์บังคับการในฮิวสตันว่าให้ปิดฝาส่วนเชื่อมต่อของสถานีอวกาศไว้ให้มากที่สุดก่อนในช่วงนี้ เผื่อมีการชนอื่นเกิดตามมา