เมื่อไม่นานมานี้ แอปเปิลเพิ่งทำลายสถิติแซงหน้า Exxon Mobil กลายเป็นบริษัทมูลค่าสูงสุดในโลกไปแล้ว ล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา รอยเตอร์รายงานว่า
หลังแอปเปิลประกาศผลประกอบไตรมาสล่าสุดซึ่งเติบโตดีต่อเนื่อง และนักวิเคราะห์ต่างมองว่าแอปเปิลยังมีพื้นที่ให้เติบโตได้อีกมาก ตัวชี้วัดหนึ่งก็คือราคาหุ้นของแอปเปิลเอง ซึ่งล่าสุดได้ทำสถิติราคาสูงสุดใหม่อีกครั้งที่ $403.41 ไปเรียบร้อยแล้ว
ที่ราคาดังกล่าวทำให้มูลค่ากิจการตามราคาหุ้นในตลาดของแอปเปิลขณะนี้อยู่ที่ 3.74 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่มูลค่ากิจการของ Exxon Mobil บริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกปัจจุบันนั้นอยู่ที่ 4.16 แสนล้านดอลลาร์ ห่างกันอยู่ 4.16 หมื่นล้านดอลลาร์ ถ้าหากดูอัตราการเติบโตย้อนหลัง 5 ปี ก็จะเห็นว่าโอกาสที่แอปเปิลจะขึ้นเป็นบริษัทมูลค่าสูงที่สุดในโลกนั้นใกล้เข้ามาแล้ว
หลังการประกาศผลประกอบการไตรมาสล่าสุดของแอปเปิล ก็เกิดคำถามว่าแอปเปิลควรทำอย่างไรกับเงินสดและรายการเทียบเท่า ซึ่งประกอบด้วยตราสารทางการเงินต่างๆ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวมูลค่ารวมทั้งหมด 7.62 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 2.3 ล้านล้านบาทดี เพื่อให้เห็นภาพว่าเงินก้อนนี้เยอะแค่ไหน ก็เปรียบเทียบได้ว่าเงินสดที่แอปเปิลมีในมือตอนนี้ สูงกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ถึง 126 ประเทศในโลก (ประเทศไทยไม่อยู่ในนี้นะ)
ดูเหมือนหุ้นของแอปเปิลยังคงร้อนแรงต่อเนื่อง โดยเมื่อปีก่อนแซงไมโครซอฟท์จนเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีอันดับ 1 ส่วนเมื่อต้นปีมูลค่าก็ทะลุ 3 แสนล้านดอลลาร์ไปแล้ว ล่าสุด James Altucher นักลงทุนแห่ง Formula Capital ออกมาให้ความเห็นว่าบริษัทแอปเปิลสามารถมีมูลค่าตลาดสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ได้แน่
ผลวิจัยจากนักศึกษาปริญญาเอกมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมิวนิค (Technische Universität München) แสดงให้เห็นว่าทวิตเตอร์สามารถใช้ทำนายตลาดหุ้นได้ดีทีเดียว
นาย Timm Sprenger วิเคราะห์ทวีตจำนวน 250,000 ทวีตในระยะเวลาหกเดือน ก่อนที่จะพบว่า การตามข้อความในทวิตเตอร์ สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้ 15% และเห็นได้ชัดว่า สิ่งที่พูดกันในทวิตเตอร์นั้นไปในแนวทางเดียวกับนักลงทุนและนักวิเคราะห์อย่างชัดเจน
ผลจากการศึกษาอันนี้ เป็นที่มาของเว็บไซต์ TweetTrader.net ซึ่งวิเคราะห์ทัศนคติที่มีต่อหุ้นแต่ละตัวจากในทวิตเตอร์
ก่อนหน้านี้ นาย Sprenger ก็เคยวิจัยทำนายผลการเลือกตั้งในเยอรมนีเมื่อปีที่แล้วจากทวิตเตอร์ด้วย
มุมสะท้อนผ่านสายตานักลงทุนของดีลประวัติศาสตร์ระหว่างโนเกียกับไมโครซอฟท์ ก็คือราคาหุ้นของโนเกียที่ร่วงลงมาอย่างมากถึง -14% ในวันเดียว โดยมีราคาปิดอยู่ที่ 7.000 ยูโร ขณะที่หุ้นของไมโครซอฟท์นั้นปรับตัวลดลงน้อยกว่าที่ -0.91%
จึงเห็นได้ว่าความกังวลต่ออนาคตธุรกิจนั้นมีสูงมากสำหรับโนเกีย แต่ไม่ใช่กับไมโครซอฟท์ บรรดานักวิเคราะห์จากหลายสำนักต่างมองอนาคตโนเกียไปในแง่ลบกันทั้งสิ้น จึงขอรวบรวมบางส่วนมาให้อ่านกันครับ
เมื่อปีที่แล้ว แอปเปิลมีมูลค่าในตลาดแซงหน้าไมโครซอฟท์ โดยในตอนนั้นหุ้นของแอปเปิลมีราคาอยู่เพียงแค่ 249.99 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น
มาถึงตอนนี้ เจ็ดเดือนหลังจากที่แอปเปิลกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับที่สองของสหรัฐ (ตามหลัง Exxon Mobil กลุ่มบริษัทปิโตรเคมีที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ) หุ้นของแอปเปิลมีราคาอยู่ที่ 329.75 ดอลลาร์สหรัฐ และมีมูลค่าในตลาด (Market Capitalization) สูงที่สุดทะลุ 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว (ประมาณ 9 ล้านล้านบาท) หากจะให้เทียบง่าย ๆ มูลค่าในตลาดของแอปเปิลในตอนนี้มากกว่า GDP ของประเทศไทยเมื่อปี 2009 ประมาณ 14%
ใครจะไปรู้ว่าเพียงแค่เวลา 10 ปีบริษัทที่เคยถูกเรียกว่าเป็น Underdog ในอุตสาหกรรมไอทีจะก้าวกระโดดมาได้มากขนาดนี้
วันนี้ตามเวลาสหรัฐฯ มูลค่าหุ้น HTC ได้ตกลงไปเกือบ 7% เนื่องจากข่าวที่ว่าบริษัทอาจเลื่อนการวางขายสมาร์ทโฟนรัน Windows Phone 7 ออกไป อันเนื่องมาจากปัญหาความบกพร่องเล็กน้อยในระบบปฏิบัติการ
นักลงทุนได้คาดการณ์ว่า HTC จะขายสมาร์ทโฟนได้ 8.8 ล้านเครื่องในไตรมาส 4 ปีหน้า และสมาร์ทโฟนรัน Windows Phone 7 จะช่วยเพิ่มยอดขายและผลกำไรให้บริษัทได้ แต่หากข่าวนี้ป็นความจริงอาจทำให้ HTC ไม่สามารถทำยอดขายไปถึงเป้าหมายที่คาดกันเอาไว้ได้
HTC ได้ออกมายอมรับว่ามีปัญหาจริงแต่กำลังรีบแก้ไขเพื่อให้สามารถวางขายได้ตามกำหนด แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้มูลค่าหุ้นของบริษัทดีขึ้นเลย ยังคงมีการเทขายหุ้นของบริษัทตลอดการซื้อขายของวัน
เส้นทางของบริษัทไอทีหน้าใหม่ที่ประสบความสำเร็จก็คือการนำบริษัทเข้าตลาดหุ้น (ภาษาเทคนิคตลาดทุนเรียก IPO) ตัวอย่างบริษัทยุคหลังที่ผ่านช่วง IPO ได้แก่ยาฮูและกูเกิล
สำหรับบริษัทในยุคหลังที่น่าจับตามอง ย่อมหนีไม่พ้น Facebook และ Twitter ในฐานะที่ Facebook มาก่อนและมีผู้ใช้มากกว่ามาก จึงถูกถามเสมอว่าเมื่อไรจะทำ IPO เสียที ซึ่งนักวิเคราะห์คาดกันมาหลายปีแล้ว (และผิดทุกที) ตัวเลขล่าสุดอยู่ที่ปี 2011
ข่าวนี้ต่อจาก แอปเปิลชนะไมโครซอฟท์ในฐานะบริษัทเทคโนโลยีอันดับ 1 แล้ว
เรื่องก็คือ ราคาหุ้นของแอปเปิลยังพุ่งสูงต่อไป ด้วยปัจจัยหนุนเรื่อง iPhone 4 ทำให้ราคาหุ้นทุบสถิติ all-time high ของบริษัทไปอยู่ที่ 275 ดอลลาร์ต่อหุ้น อันนี้ไม่มีอะไรมากครับ พรุ่งนี้ถ้าขึ้นอีกสูงกว่านี้ก็เป็นข่าวใหม่ หรือถ้าลงก็เป็นเรื่องปกติ ถามคนเล่นหุ้นได้
ที่เป็นข่าวคือมีคนเอาตัวเลข 275 ไปคูณจำนวนหุ้น แล้วได้ตัวเลขออกมาว่าแอปเปิลมีราคาตามมูลค่าหุ้นทั้งหมดอยู่ที่ 250,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นรองแค่เพียงบริษัทเดียวเท่านั้นคือ Exxon Mobil บริษัทอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งมีมูลค่าตามตลาด 297,300 ล้านดอลลาร์ (ส่วนไมโครซอฟท์ตอนนี้ 230,400 ล้านดอลลาร์)