ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา ทาง Gamessoul ก็ได้ออกมาประกาศเปิด OBT เกม Rules of Fantasy World ให้เล่นกันแล้วอย่างเป็นทางการ ทั้งในระบบ iOS และ Android
เกมมือถือแนว ARPG 3D รูปแบบใหม่ ที่มาพร้อมกับระบบการต่อสู้แบบเรียลไทม์ สัตว์เลี้ยงน่ารักมากมาย แฟชั่นสุดหรูหลากหลายสไตล์ และยังมีโหมดการเล่นมากมายให้คุณได้สัมผัส
// มาพัฒนาฮีโร่เพื่อไปต่อสู้กับเหล่าปีศาจกันเถอะ
(function(d, s, id) { var js, fjs = d.getElementsByTagName(s)[0]; if (d.getElementById(id)) return; js = d.createElement(s); js.id = id; js.src = 'https://connect.facebook.net/ja_JP/sdk.js#xfbml=1&version=v3.2'; fjs.parentNode.insertBefore(js, fjs);}(document, 'script', 'facebook-jssdk'));
สวัสดีเพื่อนๆที่น่ารักทุกท่านคะ【คลิป】–สกิลของตัวละครในเกมมี3 อาชีพให้คุณเลือกได้ตามใจชอบ ได้แก่ วอร์ริเออร์ อาเชอร์ และเมจ พร้อมทั้งสกิลสุดอลังการ เพื่อนๆมาลองดูล่วงหน้าว่าสกิจของตัวละครแท่ขนาดไหนคะ
Pre-register:http://rofw.gamessoul.com/eventรีบมาลองทะเทียบล่วงหน้าได้นะจ้า
Rules of Fantasy Worldさんの投稿 2018年10月12日金曜日
ภาพในเกมเป็นแบบ 3D ไม่ว่าจะเป็นฉากในเมือง ป่า ทะเลทราย เมืองหิมะ ใต้พิภพและอื่นๆ อีกมากมาย ส่วนมุมมองในเกมจะเป็นแบบ 2.5D, 3D และ 3D+ คุณสามารถปรับเปลี่ยนมุมมองได้ตามใจชอบ เพื่อให้คุณได้สัมผัสกับมุมมองในเกมที่หลายหลายมากยิ่งขึ้น
มี 3 อาชีพให้คุณเลือกได้ตามใจชอบ ได้แก่ วอร์ริเออร์ อาเชอร์ และเมจ พร้อมทั้งสกิลสุดอลังการ
การเดินทางจะขาดคู่ไปได้ยังไง? ไม่ว่าจะเป็นยอดมนุษย์ ไอดอล หรือราชันย์ ต่างก็อยากร่วมทีมกับคุณ
สะสมชุดสุดอลังการที่ไม่ซ้ำใคร พร้อมให้คุณเป็นแฟชั่นนิสต้าสุดคูล
ไม่ว่าจะเป็นเควสเนื้อเรื่องหลัก ระบบดันเจี้ยน PK 1v1 และ 3v3 แบบเรียลไทม์ หรือจะเป็นโหมด PvE และ PvP ก็มีนะ นอกจากนี้ยังมีระบบกิลด์อีกด้วย รีบมาสร้างกิลด์กับคู่หู แล้วไปยึดครองดินแดนกันเถอะ
ตามหาคนรักของคุณ และร่วมผจญภัยสร้างความโรแมนติกไปพร้อมๆ กัน
ติดตามข่าวสารและกิจกรรมต่างๆ ได้ที่:
เนื้อที่เกม: 478.6 MB รองรับ iOS 9.0 ขึ้นไป (ใช้ได้กับ iPhone และ iPad)
ดาวน์โหลดเกมได้ฟรีที่: Rules Of Fantasy World on App Store
The post เปิดตัว Rules of Fantasy World เกม ARPG 3D สุดน่ารัก ผจญภัยในโลกแฟนตาซี appeared first on iPhoneMod.
ผู้ใช้ Apple Watch Series 4 หลายรายในต่างประเทศพบความผิดปกติบนหน้าจอ โดยแสงที่แสดงบนหน้าจอแสดงไม่สม่ำเสมอบน Apple Watch Series 4
ผู้ใช้บางรายพบปัญหาแสงไม่สม่ำเสมอบนหน้าจอ Apple Watch Series 4ตามรายงานของผู้ใช้ Apple Watch Series 4 ที่โพสต์ปัญหาและรูปภาพในเว็บไซต์ Reddit ชี้ให้เห็นว่าการแสดงผลบนหน้าจอ Apple Watch Series 4 ของพวกเขามีปัญหาแสงแสดงไม่สม่ำเสมอเวลอยู่ในที่มืด โดยตรงขอบและมุมของหน้าจอ Apple Watch มีความสว่างผิดปกติและสว่างมากกว่าการแสดงผลภายในหรือส่วนตรงกลาง
ปัญหานี้ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเกิดขึ้นกับ Apple Watch Series 4 ทุกโมเดล แต่ก็เกิดขึ้นกับผู้ใช้หลายราย บางรายก็เห็นได้ว่ามีการแสดงความสว่างผิดปกติเล็กน้อยตรงมุมขอบของหน้าจอ และบางรายก็พบว่ามีความผิดปกติเกือบทั้งขอบของหน้าจอ
จากการสังเกตของผู้ใช้ที่พบปัญหาคาดว่าการแสดงความสว่างของหน้าจอที่ผิดปกตินี้จะเกิดขึ้นกับหน้าจอหรือแอปที่มีการแสดงพื้นที่สีเข้มหรือสีเทาเป็นส่วนใหญ่ แต่ยังไม่ถึงกับเป็นสีดำ
สาเหตุของปัญหานี้ยังไม่มีข้อสรุปว่าเกิดจากอะไร แต่เนื่องด้วยหน้าจอของ Apple Watch เป็นหน้าจอ OLED ที่ไม่มีการแสดงแสงสีดำเหมือนกับ LCD ดังนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่เรื่องแสงรั่ว แต่อาจจะเชื่อมโยงกับเรื่องของการแสดงผลหน้าจอ OLED ของ Apple Watch Series 4 ไม่ได้ใช้กระบวนการ Pulse Width Modulation (PMW) ในการปรับความสว่าง จึงทำให้แสงที่แสดงไม่สม่ำเสมอ
แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้แนะนำอีกกลุ่มหนึ่งออกมาให้ความคิดเห็นว่าการแสดงแสงไม่สม่ำเสมอในพื้นที่สีเข้มหรือสีเทาเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดขึ้นได้กับหน้าจอ OLED หลายประเภท และปัญหานี้ก็ยังไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการใช้งานใดๆ บน Apple Watch Series 4 ก็รอติดตามกันต่อไปว่า Apple จะออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่
ขอบคุณ idropnews
The post ผู้ใช้บางรายพบปัญหาแสงไม่สม่ำเสมอบนหน้าจอ Apple Watch Series 4 appeared first on iPhoneMod.
ภูมิภาคอาเซียนถือเป็นหนึ่งในฐานการผลิตรถยนต์ที่สำคัญ แต่ด้วยนโยบายบีบไม่ให้แบรนด์ต่างๆ นำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศมาขายในประเทศตัวเอง รวมถึงการช่วยเหลือภาษีให้กับผู้ผลิตท้องถิ่น ก็อาจทำให้รถยนต์ไฟฟ้าเกิดยาก
การขึ้นไลน์ผลิตรถยนต์ไฟฟ้านั้นไม่ใช่เรื่องงายเลย จึงไม่แปลกที่จุดเริ่มต้นของการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าแบบต่างๆ (Hybrid, Plug-in Hybrid หรือ Battery Electric Vehicle) นั้นต้องเป็นการนำเข้ามาจากต่างประเทศ เช่นญี่ปุ่น, จีน หรือสหรัฐอเมริกา แต่ด้วยนโยบายที่ไม่เอื้อเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทำให้มันไม่จูงใจให้หลายแบรนด์นำเข้ามา
โดยเฉพาะในประเทศไทยที่ปัจจุบันมีการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับแบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์ที่มาตั้งไลน์ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบต่างๆ ในประเทศไทย แต่ต้องใช้ชิ้นส่วนที่เกี่ยวกับชุดแบตเตอรี่ และมอเตอร์ไฟฟ้าที่ประกอบในประเทศไทยเท่านั้นจึงจะได้สิทธิ์ดังกล่าว ก็ทำให้หลายแบรนด์คิดแล้วคิดอีก แต่บางเจ้าก็ตัดสินใจร่วมโครงการนี้แล้ว
อย่างไรก็ตามแม้จะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีในการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย แต่ด้วยประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการตั้งกำแพงการนำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศ เพื่อกดดันให้เข้ามาตั้งโรงงานผลิตที่ประเทศตัวเอง หรือสนับสนุนแบรนด์รถยนต์ท้องถิ่น ก็ทำให้การนำรถยนต์ไฟฟ้าไปทำตลาดก็ยากขึ้นอีก
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเวียดนาม-มาเลเซียสำหรับตัวอย่างที่ชัดเจนในกรณีมี 2 ประเทศคือ “เวียดนาม” เพราะทางรัฐบาลของประเทศนี้ได้ออกนโยบายเชิงกีดกันทางการค้าโดยไม่ได้ใช้มาตรการทางภาษี (Non-Tariff) ผ่านการบังคับให้รถยนต์จากต่างประเทศนอกจากต้องผ่านมาตรฐานจากประเทศที่ผลิตแล้ว ยังต้องมาถูกตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ประเทศเวียดนามด้วย
และจากเรื่องนี้ทำให้ Toyota ไม่สามารถนำเข้ารถกระบะที่ผลิตในประเทศไทย, รถ SUV ที่ผลิตในประเทศอินโดนิเซีย รวมถึงรถแบรนด์ Lexus ที่ผลิตในประเทศญี่ปุ่นได้ตามระยะเวลาที่กำหนด โดยรถยนต์บางส่วนต้องติดค้างอยู่ที่ขั้นตอนการตรวจสอบในประเทศหลายเดือนนับตั้งแต่เดือนก.ค.
ขณะเดียวกัน “มาเลเซีย” ก็เป็นอีกประเทศที่สนับสนุนแบรนด์รถยนต์ท้องถิ่นเช่น Proton ทั้งในแง่มาตรการภาษี รวมถึงงบประมาณวิจัย และพัฒนา เพื่อยกระดับประเทศให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ แถม Mahathir Mohamad นายกรัฐมนตรีของมาเลียเซีย ยังมองว่าการนำเขารถยนต์นั้นทำให้แบรนด์ท้องถิ่นเหล่านี้เติบโตลำบาก
อย่างไรก็ตามการผลิตรถยนต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นมีถึง 4 ล้านคันในปี 2560 ซึ่ง 80% ของจำนวนนี้ผลิตในประเทศไทย และประเทศอินโดนิเซีย แสดงให้เห็นว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จำเป็นต้องนำเข้ารถยนต์จากสองประเทศนี้ หรือไม่ก็ต้องสร้างแบรนด์รถยนต์ประจำเอง
ที่สำคัญตัวแบรนด์ที่ได้รับผลกระทบจากการกีดกันการนำเข้าที่สุดก็คงไม่พ้นแบรนด์รถยนต์จากญี่ปุ่น เพราะฐานผลิตหลักก็อยู่ในสองประเทศนี้ ส่วนในประเทศอื่นๆ ก็มีเพียงโรงงานที่มีกำลังผลิตไม่มาก เช่นในเวียดนาม Toyota ก็สามารถผลิตได้แค่รถยนต์ขนาดเล็กเท่านั้น
จึงเชื่อว่าการกีดกันในลักษณะเดียวกันนี้อาจจะเกิดกับการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของหลายๆ แบรนด์ก็เป็นได้ เพราะส่วนใหญ่แล้วก็ต้องอาศัยการนำเข้ารถยนต์จากฐานผลิตใหญ่ๆ เช่นในประเทศไทย กับอินโดนิเซีย ซึ่งเมื่อเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ การจะทำให้รถยนต์ไฟฟ้าใช้งานอย่างแพร่หลายก็อาจลำบาก
สรุปไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนทางภาษีในการสร้างโรงงานภายในประเทศ หรือการกีดกันทางการค้าโดยไม่ใช้มาตรการทางภาษี ก็กระทบต่อการนำเข้า-ส่งออกของอุตสาหกรรมรถยนต์ทั้งนั้น โดยเฉพาะแบรนด์รถยนต์ญี่ปุ่นที่ครองส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใตถึง 80% ที่จะให้ไปตั้งโรงงานในทุกประเทศก็คงลำบาก
ซึ่งการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าก็คงไม่ต่างกัน
อ้างอิง // Nikkei Asian Review
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
จาก LIVE: แกะกล่อง iPhone XS, XS Max และ XR ที่ทางเราได้นำเสนอไปเมื่อ 23 ต.ค. 2561 ให้ได้ชมกันไปแล้วนั้นหลายคนคงได้ชมไปแล้วส่วนใครที่พลาดไม่ได้รับชมก็ดูย้อนหลังได้นะครับ ส่วนในบทความนี้จะขอนำภาพแกะกล่องของ iPhone ทั้ง 3 รุ่นมาให้ชมกันครับ
แกะกล่อง iPhone XS, XS Max และ XR ชมสีทั้งหมดและอุปกรณ์ที่มีมาให้ [รูปเยอะมาก]
อุปกรณ์ในกล่องของ iPhone ทั้ง 3 รุ่นนั้นให้มาเหมือนกันหมดเลยได้แก่
สิ่งที่ขาดไปเมื่อเทียบกับ iPhone X, 8 และ 8 Plus คือ ไม่มีสาย Lightning to 3.5mm Connector ซึ่งถือว่าเป็นที่น่าเสียดายอยู่เหมือนกัน และรอบนี้ยังคงไร้วี่แววของอะแดปเตอร์แบบ USB-C เพื่อนจะชาร์จได้เร็วหน่อย เราก็ไปหวังเอาปีหน้าแล้วกัน (เศร้า) นะ
ว่าแล้วก็ไปชมกันว่าแต่ละรุ่นมีอะไรบ้าง
1. แกะกล่อง iPhone XSiPhone XS มีให้เลือก 3 สีคือ สีเงิน, สีสเปซเกรย์และสีทอง ซึ่งสีทองนั้นเป็นสีใหม่ล่าสุดของตระกูล iPhone X Series โดยสีที่ iMoD ได้นำมาแกะกล่องรอบนี้เป็นสีทอง (Gold) ชมภาพพร้อมกันครับ ส่วนสเปคของ iPhone XS อ่านได้ที่บทความนี้ รุ่นนี้ลักษณะภายนอกจะเหมือน iPhone XS Max เลย ยกเว้นส่วนที่แตกต่างก็คือขนาดของหน้าจอที่และของช่องไมโครโฟนที่ด้านล่าง ซึ่ง iPhone XS เจาะเอาไว้ 3 รู ส่วน iPhone XS Max เจาะเอาไว้ 4 รูครับ (ชมรูปด้านล่าง) ที่จะมีอุปกรณ์ในกล่องพร้อมภาพแต่ละมุมของเครื่องจริงครับ
iPhone XS MAX มีให้เลือก 3 สีเหมือนกับ iPhone XS คือ สีเงิน, สีสเปซเกรย์และสีทอง โดยสีที่ iMoD ได้นำมาแกะกล่องรอบนี้เป็นสีทอง (Gold) ชมภาพพร้อมกันครับ ส่วนสเปคของ iPhone XS Max อ่านได้ที่บทความนี้ ส่วนอีก 2 สีนั้นสามารถดูได้จากบทความนี้ครับ ชมภาพเครื่องจริง iPhone XS, XS Max, Apple Watch Series 4 จาก Apple Store
ในรุ่นนี้จะมีภาพเยอะหน่อยแสดงให้เห็นถึงหน้ากล่อง,อปุกรณ์ในกล่อง, ถาดซิม พร้อมตัวอย่างภาพถ่ายในแต่ละมุมของเครื่องจริงที่กระทบแสงจากดวงอาทิตย์ทำให้เห็นสีทองที่สวยงาม ดูแพง(สมกับราคา) เป็นอย่างยิ่งครับ ถ้าใครได้ลองใช้งานแล้วจะพบว่ารุ่นนี้ โมเดล S ที่ย่อมาจาก Speed ห้อยท้าย X มานั้น มันช่างเร็ว แรง เหลือหลาย รอชมรีวิวการใช้งานจริงเร็วๆ นี้ครับ
iPhone XR มีให้เลือก 6 สี คือ สีเหลือง, สีแดง (Product RED), สีฟ้า, สีส้มคอรัล, สีขาวและดำ โดยสีที่ iMoD ได้นำมาแกะกล่องรอบนี้เป็นสีดำ (Black) ชมภาพพร้อมกันครับ ส่วนสเปคของ iPhone XR อ่านได้ที่บทความนี้ ปล. ภาพของ iPhone XR สีที่เห็นแตกต่างกันเกิดจากมุมที่ถ่าย, ค่าของของการวัดแสง, ค่า Speed Shutter ที่อาจจะไม่เท่ากัน ก็จะทำให้มีภาพที่สีดูเหมือนจะสว่างไม่เท่ากัน คิดซะว่าดูภาพแต่ละสีในแต่ละมุมและความสว่างจากแสงที่ตกมากระทบแล้วกันนะครับ
ความแตกต่างของ iPhone XR จากรุ่นพี่ทั้ง 2 คือ iPhone XS, XS Max นั้น ภาพนอกที่เด่นชัดคือกล้องหลัง ซึ่ง iPhone XR จะมีกล้องหลังเพียง 1 ตัว ซึ่งเป็นกล่องเลนส์มุมกว้างตัวเดียวกับที่ใช้ใน iPhone XS, XS Max, ส่วนจอจะมีความละเอียดที่ต่ำกว่าโดยใช้เทคโนโลยี LCD และอีกจุดคือช่องใส่ซิมจะอยู่ด้านมุมล่างขวานั่นเองครับ
ได้เห็นกล่องและอุปกรณ์พร้อมสีของแต่ละรุ่นกันไปแล้วมาดูภาพเครื่องจริงเทียบกันแบบเร็วๆ ที่ทีมงาน iMoD นำมาฝากให้ได้ชมกัน เชื่อว่าบทความนี้จะทำให้หลายคนตัดสินใจหรือว่าเลือกสี รุ่น ในใจไว้ได้แล้ว และพร้อมจะไปเดินเลือกชมเลือกซื้อกันในวันที่ 26 ต.ค. 2561 นี้นะครับ
ชอบรุ่นไหนก็หมายตาเอาไว้ได้เลยนะครับผม
The post แกะกล่อง iPhone XS, XS Max และ XR ชมสีทั้งหมดและอุปกรณ์ที่มีมาให้ [รูปเยอะมาก] appeared first on iPhoneMod.
สุดยอดเกม RPG จำลองการดูแลฟาร์มปลูกผักยอดนิยมอย่าง Stardew Valley พร้อมให้เล่นบน iPhone และ iPad แล้ว หลังจากที่เปิดพรีออเดอร์ล่วงหน้า 2 สัปดาห์ก่อน
เปิดให้เล่นแล้ว เกม Stardew Valley สำหรับ iOSStardew Valley เป็นเกมดูแลฟาร์ม ทำสวน ปลูกผักที่มีลักษณะคล้ายกับเกม Harvest Moon และ Animal Crossing ที่ผู้เล่นจะต้องดูแลฟาร์ม สร้างความสัมพันธ์กับคนอื่น ทำกิจกรรมต่างๆ รวมถึงต่อสู้กับมอนส์เตอร์ในเหมืองแร่
Stardew Valley ในเวอร์ชันของ iOS ที่เล่นบน iPhone และ iPad เป็นเกมรูปแบบเต็มที่ไม่ได้มีการแบ่งเวอร์ชันเหมือนกับ PC และจำหน่ายในราคาเดียว 279 บาท ไม่มีการซื้อเพิ่มภายในแอปใดๆ ทั้งสิ้น ซื้อครั้งเดียวจบ และเล่นเวอร์ชันเต็มได้ตลอดกาล
การควบคุมเกมบน iPhone และ iPad จะใช้การแตะหน้าจอเพื่อเคลื่อนที่ตัวละครและแตะเมนูเครื่องมือเพื่อเปลี่ยนอุปกรณ์ที่ต้องการใช้ได้ง่ายๆ บนหน้าจอ และต่อสู้กับเหล่ามอสเตอร์ได้ง่ายๆ
นับได้ว่าเป็นการเปิดตัวครั้งยิ่งใหญ่ของวงการเกมปลูกผัก ที่นำเอาสุดยอดเกมอย่าง Stardew Valley ที่รองรับจากหลายแพลตฟอร์มย้ายมาเล่นบนสมาร์ตโฟน แม้แต่นัก Crack เกมทั้งหลายต้องยอมใจหันมาสนับสนุนซื้อเกมในเวอร์ชัน PC ผ่าน Stream กันมาแล้ว สำหรับใครที่ชอบแนวนี้ก็ปลูกผักกันให้สนุก จีบสาวกันให้ฟินได้แล้ววันนี้
Stardew Valley ราคา 279 บาท ขนาดไฟล์ 305.9 MB รองรับ iPhone, iPad และ iPad Touch ที่ติดตั้ง iOS 10 ขึ้นไป ดาวน์โหลดที่ Stardew Valley on App Store
The post เปิดให้เล่นแล้ว Stardew Valley เกมปลูกผักยอดฮิต สำหรับ iOS ราคา 279 บาท appeared first on iPhoneMod.
Apple เผยในข้อมูลทางเทคนิคว่า iPhone XR รองรับคอนเทนต์ Dolby Vision และ HDR10 ถึงแม้ไม่มีจอภาพ HDR ซึ่งเหมือนกับ iPhone 8 / 8 Plus แต่จะไม่ได้รับประสบการณ์ HDR แบบสูงสุด
iPhone XR รองรับคอนเทนต์ Dolby Vision ถึงแม้ไม่มีจอภาพ HDRiPhone XR รุ่นล่าสุดของ Apple นั้นใช้จอ Liquid Retina HD โดยข้อทูลทางเทคนิคเผยว่าตัวจอนั้นไม่ได้เป็นจอภาพ HDR เหมือน iPhone XS, iPhone XS Max แต่ iPhone XR ก็ยังรองรับคอนเทนต์ Dolby Vision และ HDR10 ได้อยู่
การรองรับคอนเทนต์ Dolby Vision และ HDR10 ของ iPhone XR นั้นจะเป็นลักษณะเดียวกันเหมือนกับ iPhone 8 / 8 Plus คือ สามารถเล่นคอนเทนต์ Dolby Vision และ HDR10 ได้แต่จะไม่ได้รับประสบการณ์ HDR แบบสูงสุดนั่นเอง
จริงๆ แล้วการแสดงคอนเทนต์ Dolby Vision และ HDR10 บนจอ HDR กับจอที่ไม่ใช่ HDR แตกต่างกันมากทั้งในแง่ความสว่างและสีที่สดกว่า โดยคอนเทนต์ประเภท Dolby Vision และ HDR10 ในปัจจุบันนั้นมีให้ชมกันมากมายไม่ว่าจะเป็นใน YouTube, Netflix เป็นต้น
ที่มา – idownloadblog
The post iPhone XR รองรับคอนเทนต์ Dolby Vision และ HDR10 ถึงแม้ไม่มีจอภาพ HDR appeared first on iPhoneMod.
ก่อนหน้านี้ธนาคารกรุงไทยเปิดให้สื่อลองแอพพลิเคชั่น Mobile Banking ไปแต่ระบบก็ล่มเข้าใช้งานไม่ได้ รอบนี้เปิดตัว “กรุงไทย NEXT” อย่างเป็นทางการ เขาเตรียมทางแก้ ไม่ให้ระบบล่มหรือยัง?
ผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย บอกว่า เราอัพเกรด mobile Banking ของธนาคารตั้งแต่ปี 2010 ที่ให้บริการในชื่อ KTB Net Bank ตอนนี้เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยโฉมใหม่เป็น “กรุงไทย NEXT” ซึ่งทำให้ใช้ง่ายขึ้น ปลอดภัยขึ้น ภายในปี 2562 คาดว่าจะมีผู้ใช้งาน 10 ล้านราย
จักรกฤษณ์ กลิ่นสมิทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายนวัตกรรมและวิจัยทางเทคโนโลยี ธนาคารกรุงไทย บอกว่า ที่ระบบล่มในวัน Soft launch มีลูกค้าเปลี่ยนจาก KTB Net Bank มาเป็น กรุงไทย NEXT เยอะมาก และพอเราตรวจสอบระบบเจอปัญหาจากซอฟท์แวร์บางตัว ซึ่งเราเปลี่ยนตัวใหม่ไป ดังนั้นมั่นใจได้ว่าปัญหาระบบล่มนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก
อย่างตอนนี้ กรุงไทย NEXT รองรับธุรกรรมได้ที่ 250,000 ธุรกรรมต่อวินาที (TPS) จาก ที่ KTB Net Bank รองรับธุรกรรมที่ประมาณ 1,000 TPS เท่านั้น ซึ่งปัจจุบันเราสามารถรองรับธุรกรรมลูกค้ากว่า 100,000 รายใน 1 นาที
“ทุกวันนี้ช่วงเวลาที่คนใช้ Mobile Banking เยอะที่สุด (Peak) อยู่ที่ 4,000-5,000 TPS เอง แต่พอเราเพิ่ม TPS ขึ้นไปอีก 5 เท่าก็น่าจะเพียงพอต่อการพัฒนาระบบดิจิตอลของ KTB”
จักรกฤษณ์ บอกว่า นี่ถือเป็นการปรับตัวในรอบ 10 ปี ของกรุงไทย ที่ทำระบบดิจิตอลทั้งหน้าบ้านหลังบ้านให้ดีขึ้น ซึ่งนอกจากฟีเจอร์ในแอพฯ ที่โดดเด่นอย่าง จ่ายค่าปรับจราจร เปิดให้ซื้อล็อตเตอร์รี่ ฯลฯ ผ่านมือถือได้ และหลังจากนี้จะมี Feature Killer หรือฟีเจอร์ที่ดีกว่าคนอื่น ออกมาอย่างต่อเนื่องเดือนละ 1 อย่าง
“ตอนนี้กรุงไทยเรามี ฟีเจอร์เด่นๆ หลายอย่าง เช่น จ่ายค่าปรับจราจร ซื้อล็อตเตอร์รี่ก็มีเราเจ้าเดียวในไทย หลังจากนี้แต่ละเดือนเราจะมีฟีเจอร์ใหม่ๆ อีกเพียบ เช่น ฟีเจอร์ใหม่ที่ต่อยอดจาก Travel Card หรือ การโอนเงินข้ามประเทศ (Cross Border Payment) ในเอเชีย ซึ่งเรากำลังคุยกับพาร์ทเนอร์แบงก์ในแต่ละประเทศ เดือนหน้าน่าจะออกมาให้ใช้กัน”
แต่เรื่องความปลอดภัย การใช้งาน Mobile Banking เรายังเน้นเป็นพิเศษ ตอนนี้เราอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบพิสูจน์ตัวตน เช่น ใช้ลายนิ้วมือ สแกนใบหน้า ฯลฯ ให้ใช้งานได้จริง
สรุปสาเหตุที่โมบายแบงก์กิ้ง “กรุงไทย NEXT” ล่มในวัน Soft launch ก็เพราะซอฟท์แวร์มีปัญหา ตอนนี้ก็แก้ไขเรียบร้อยแล้ว แถมยังพร้อมรองรับธุรกรรมเพิ่มขึ้น 5 เท่า (25,000 TPS) และเตรียมออกฟีเจอร์ใหม่ๆ รายเดือน แต่สุดท้ายแล้ว ระบบแบงก์จะล่มๆ ไม่ล่มก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย แต่ที่แน่ๆ ตัวระบบของแต่ละแบงก์เองต้องแข็งแกร่งด้วย ระบบกลางก็ต้องดีด้วย
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
หลายคนอาจนึกถึง Dyson ในฐานะผู้ผลิตเครื่องดูดฝุ่นที่มีนวัตกรรมสุดล้ำ หรือพัดลมที่ไม่มีใบพัด แต่ล่าสุดยักษ์นวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้ารายนี้กำลังลงสนามรถยนต์ไฟฟ้า ผ่านการตั้งโรงงานที่ประเทศสิงคโปร์แล้วด้วย
ในที่สุดแผนการที่ Dyson เคยประกาศเอาไว้ว่าจะทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเมื่อไม่นานมานี้ก็เป็นจริงเสียที เพราะมันเกิดขึ้นแล้วหลัง James Dyson ผู้ก่อตั้งแบรนด์นี้เห็นชอบให้ฝ่ายบริหารลงทุนตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ประเทศสิงคโปร์ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยคาดว่าตัวโรงงานจะสร้างเสร็จภายในปี 2563
และภายในหนึ่งปีหลังจากนั้นตัวรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกของแบรนด์ก็จะพร้อมทำตลาด ซึ่งการลงทุนครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของเม็ดเงินลงทุน 2,500 ล้านปอนด์ (ราว 1 แสนล้านบาท) ที่บริษัทใช้เพื่อวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ในปีงบประมาณล่าสุด ที่สำคัญตัวโรงงานนี้ Dyson ยังสนใจพัฒนาระบบแบตเตอรี่ และมอเตอร์ไฟฟ้าเองด้วย
ในทางกลับกันที่หลายคนมองเรื่องการทำธุรกิจในสิงคโปร์นั้นใช้ต้นทุนสูง โดยเฉพาะการเปิดโรงงาน แต่ Dyson กลับมองเรื่องนี้ว่า เป็นค่าใช้จ่ายที่คุ้ม เพราะที่สิงคโปร์มีผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจำนวนมาก และได้รับการสนับสนุนเกี่ยวกับการใช้ชิ้นส่วนรถยนต์โดยภาครัฐที่นั่นเป็นอย่างดี
ประกอบกับ Dyson เองแม้จะผลิตสินค้าต้นแบบที่เมืองต้นกำเนิดในสหราชอาณาจักร แต่ด้วยจำนวนพนักงานบริษัทที่กระจายไปทั่วโลก โดยเฉพาะในสิงคโปร์ที่มีกว่า 1,100 คน ก็เป็นอีกเหตุผลที่บริษัทตัดสินใจตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่นี่เช่นกัน
“ยอมรับว่าสิงคโปร์มีค่าใช้จ่ายในการทำธุรกิจที่สูง แต่ด้วยความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี และการสนับสนุนที่ดีทำให้มันทดแทนกันได้ ดังนั้นสิงคโปร์คือที่ที่ตอบโจทย์เราเพื่อผลิตอะไรที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีข้างในจำนวนมาก และมันคือที่ที่ดีในการผลิตรถยนต์เช่นกัน” Jim Rowan ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Dyson กล่าว
สำหรับรายได้ของ Dyson นั้นในปี 2560 อยู่ที่ 3,500 ล้านปอนด์ (ราว 1.5 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้านั้น 40% ส่วนกำไรจากการดำเงินงานอยู่ที่ 800 ล้านปอนด์ (ราว 34,000 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นราว 30% จากปีก่อนหน้านั้น เนื่องจากตลาดในจีน, อินเดีย, ญี่ปุ่น, เกาหลี และไต้หวันมีการเติบโตเป็นอย่างมาก
สรุปการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของ Dyson ถือเป็นความท้าทายอย่างมาก เพราะตอนนี้มีผู้เล่นหน้าใหม่หลายรายเข้ามาในตลาด โดยเฉพาะแบรนด์จีน ประกอบกับผู้ผลิตรถยนต์รายเดิมก็พัฒนารถยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นต้องดูว่า Dyson จะ Position ตัวเองว่าจะทำรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อตอบโจทย์ตลาดไหน และมีกลยุทธ์ดึงดูดลูกค้าอย่างไร
อ้างอิง // Channel NewsAsia
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
ยุคนี้การขยายความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ ดูเหมือนว่าเมื่อหันไปทางไหน ก็เจอแต่ยักษ์ใหญ่ที่ครอบครองกุญแจสำคัญไว้หมดแล้ว ล่าสุด Paytm ก็ไม่พ้นต้องเข้าไปคุยกับ Alibaba เพื่อจะเข้าซื้อบริษัทลูกมาเสริมแกร่งธุรกิจ
Paytm ผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดอีคอมเมิร์ซและชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของอินเดีย ปัจจุบันมีคนอินเดียใช้งานกว่า 220 ล้านคน Paytm ถือเป็นบริการชำระเงินออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย
ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ มีรายงานว่า Madhur Deora ผู้อำนวยการด้านการเงินหรือ CFO ของ Paytm ได้พูดคุยเพื่อจะเข้าซื้อกิจการของ UCWeb ในอินเดีย ซึ่งเป็นเว็บบราวเซอร์ที่มีบริษัทแม่คือ Alibaba มาเสริมแกร่งธุรกิจ
ทำความรู้จัก UCWeb ที่ Paytm อยากเข้าซื้อกันสักนิดUCWeb คือเว็บเบราว์เซอร์ที่กำลังมาแรงในอินเดีย ฟีเจอร์หลายอย่างเหมาะกับประเทศกำลังพัฒนา เพราะบราวเซอร์มีการบีบอัดข้อมูลขนาดเล็ก ทำให้ประหยัดอินเทอร์เน็ต และกินแรมน้อย (อ่านเพิ่มเติม UC Browser เบราว์เซอร์ในสังกัด Alibaba ที่มาแรง ครองตลาดอินเดีย-อินโดนีเซีย) ไม่แปลกที่ในอินเดียจะมีผู้ใช้งานสูงมาก โดยในปัจจุบันครองส่วนแบ่งตลาดถึง 51% มีผู้ใช้งานต่อเดือนถึง 130 ล้านคน โค่นล้มบราวเซอร์ระดับโลกอย่าง Google Chrome และขึ้นแท่นเป็นบราวเซอร์สำหรับมือถือเบอร์ 1 ของอินเดีย
นอกจากนั้น ถ้าไปเปิดเบื้องหลังของ Paytm ดู ก็จะรู้ว่า เบื้องหลังของ Paytm มี 2 บริษัทยักษ์ใหญ่หนุนหลัง นั่นก็คือ Alibaba และ SoftBank
อย่างไรก็ตาม หากดีลระหว่าง Paytm กับ UCWeb สำเร็จ (ซึ่งน่าจะสำเร็จ เพราะคุยกับคนกันเอง) นอกจากจะเสริมความแกร่งในทางธุรกิจแล้ว เพราะได้ผู้ใช้งานเพิ่มอย่างมหาศาล
แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องตั้งข้อสังเกตคือ ยุคนี้การจะขยายความแข็งแกร่งของธุรกิจที่ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่แค่ไหน ดูเหมือนจะหนีก็ไม่พ้นต้องวิ่งเข้าหายักษ์ใหญ่ อย่างในกรณีนี้ก็คือ SoftBank และ Alibaba นั่นเอง
สำหรับใครที่ไม่รู้จัก SoftBank ลองทำความรู้จักผ่าน Masayoshi Son ผู้ก่อตั้ง หรือทำความรู้จักผ่านอภิมหากองทุน Vision Fund ก็ได้ และอีกเรื่องคือ SoftBank ยังเป็นผู้ถือหุ้นที่ใหญ่ที่สุดใน Alibaba ของแจ๊ค หม่าอีกด้วย
ข้อมูล – Economictimes India
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
ใกล้เข้ามาทุกทีกับงานนเปิดตัว iPad Pro รุ่นใหม่ ที่แอปเปิลจะจัดงานในวันที่ 30 ตุลาคม เวลา 21.00 น. ที่จะถึงนี้ ตามเวลาในประเทศไทย ซึ่งจากข่าวลือระบุว่า iPad Pro รุ่นใหม่นี้ จะมาพร้อมดีไซน์ใหม่ คือ จะไม่มีปุ่มโฮม มาพร้อมกล้อง TrueDepth, รองรับ Face ID และดีไซน์เหมือนกับ iPhone XS
ล่าสุด Viktor Kadar นักศึกษาด้านการออกแบบหนึ่งในประเทศฮังการี่ ได้ออกมาแชร์รูปคอนเซ็ปของ iPad Pro รุ่นใหม่ ที่จะเปิดตัวในสัปดาห์หน้านี้ ซึ่งจากภาพมีดีไซน์ที่สวยงามมาก โดยตัวเครื่องมีทั้งหมด 4 สี ได้แก่ Space Grey, Gold, Silver และ Rose Gold
ที่มา – iClarfied
The post [ชมภาพ] คอนเซ็ป iPad Pro รุ่นใหม่ ไม่มีปุ่มโฮม มาพร้อม Face ID ดีไซน์เหมือน iPhone XS appeared first on Macthai.com.
Red Bull ได้ทำการเปลี่ยนโฉมป้ายโฆษณาตรงป้ายรถเมล์ในสิงคโปร์ เป็นตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ เพื่อโปรโมทสินค้าตัวใหม่ Red Bull Plus
การเปิดตัวสินค้าใหม่ในยุคนี้จะมีเพียงแค่จัดงานแถลงข่าว หรือมีโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างเดียวคงไม่เพียงพอ ต้องมีวิธีทำให้สินค้าเข้าถึงผู้บริโภคได้มากที่สุด สร้างการจดจำได้มากที่สุด
อย่าง Red Bull ในประเทศสิงคโปร์ได้ทำการโปรโมท Red Bull Plus เป็นสินค้าสำหรับสุขภาพที่ได้เพิ่งเปิดตัวใหม่ล่าสุด ได้เลือกการโปรโมทวิธีการที่แปลกใหม่ด้วยการเนรมิตป้ายรถเมล์เป็นตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ หรือ Vending Machines
ตู้ Vending Machines เครื่องนี้ได้ทำการติดตั้งโดยบริษัท Allswell Trading และดำเนินการโดย Clear Channel Singapore พร้อมกับป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ของกระป๋อง Red Bull Plus ช่วยทำให้ผู้ที่สัญจรผ่านไปมาสามารถหยิบตัวอย่างทดลองชิมได้
แต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องแตะบัตรโดยสาร เพราะตู้นี้เป็นการติดตั้ง และใช้งานด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะผ่านทางบัตร EZ-LINK เป็นบัตรที่ใช้สำหรับใช้จ่ายในการเดินทางต่างๆ ในประเทศสิงคโปร์
โดยสามารถมาหยิบสินค้าทดลองได้ถึงวันที่ 30 ตุลาคม 2018 แถมแคมเปญนี้ยังมีรางวัลให้สำหรับผู้บริโภคที่ช่วยโปรโมทแคมเปญนี้อีกด้วย กับโปรโมชั่น Pull Tab To Win มีรางวัลมูลค่า 280,000 เหรียญ
แคมเปญ Red Bull Plus แสดงให้เห็นว่าการสื่อสารของโฆษณาในยุคนี้มีการปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของสื่อนอกบ้าน หรือ OOH มากขึ้น มีการสร้างความมีส่วนร่วมของผู้บริโภค รวมถึงยังสร้างการจดจำให้แบรนด์ได้อีก สร้างประสบการณ์ร่วมกับผู้บริโภค สามารถจูงใจให้ผู้บริโภคไปซื้อสินค้าในร้านค้าที่ใกล้ที่สุดได้
อีกนัยสำคัญหนึ่งก็ทำให้ Red Bull ได้ดาต้าของกลุ่มที่มารับสินค้าทดลองจากบัตร EZ-LINK เช่นกัน ถือเป็นการลงทุนทำโฆษณาอีกแบบที่สร้างอิมแพ็คได้หลายอย่าง
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา