Bank of America ได้ออกบทวิเคราะห์ถึงวิกฤติเศรษฐกิจว่าอาจเกิดขึ้นได้ภายในเวลาไม่ถึง 2 ปี เนื่องจากปัจจัยต่างๆ เริ่มเข้าสู่วิกฤติเศรษฐกิจมากขึ้น และปัจจัยหลายๆ เรื่องยังมากกว่าสมัยวิกฤติครั้งที่แล้วอีกด้วย
Bank of America ได้ออกบทวิเคราะห์ถึงเรื่องวิกฤติเศรษฐกิจครั้งต่อไป โดยมีเงื่อนไขทางเศรษฐกิจและรวมไปถึงเงื่อนไขในการลงทุนต่างๆ เช่น ดัชนี S&P 500 แพงไปหรือไม่ เป็นต้น ปัจจุบันมีเงื่อนไขที่ตรงทั้งหมด 14 จาก 19 ข้อ ทำให้ Bank of America ได้เตือนว่าวิกฤติครั้งนี้อาจมาถึงไม่เกินภายใน 2 ปี
13/19 (68%) of BAML's #bearmarket signposts have been triggered triggered thus far. But note that most of these indicators reset when conditions are no longer true. pic.twitter.com/mV5WHoLFwG
— Taylor-Swift Yield Spread (@TayTayLLP) September 28, 2018
นอกจากนี้ Bank of America ยังได้ทำผลสำรวจที่สอบถามผู้จัดการกองทุนทั่วโลกกว่า 231 คน มีมุมมองที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่กับการลงทุนในช่วงนี้ ผู้จัดการกองทุนเริ่มเพิ่มปริมาณการถือเงินสดมากขึ้นถึง 5% สูงสุดในรอบ 18 เดือน และยังมีมุมมองว่าสงครามการค้าเป็นปัจจัยสำคัญกดดันตลาดหุ้นอีก 6 เดือนข้างหน้า
ยังรวมไปถึงมุมมองของผู้จัดการกองทุนที่มองว่าเศรษฐกิจโลกตอนนี้เป็นช่วงท้ายๆ ของการเจริญเติบโตแล้วด้วยถึง 85% มากกว่าก่อนเกิดวิกฤติการเงินด้วย
Investors most bearish on global growth since 2008, BAML fund manager survey finds.
38% of those polled see growth slowing in next 12 months, the worst outlook since Nov 08.
A record 85% says the global economy is in late cycle, 11% above prior highs in Dec 07. pic.twitter.com/edTM9LdiDe
— Jamie McGeever (@ReutersJamie) October 16, 2018
ที่มา – zerohedge, The Street
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
หลังจากที่มีประเด็น “BeautyGate” หรือปัญหาที่ถ่าย Selfie ด้วยกล้อง iPhone XS และ XS Max แล้วหน้าเนียนเกินไป ไม่ดูสมจริง จนทำให้คนออกมาวิพากย์วิจารณ์มากมาย ว่าแอปเปิลควรที่จะทำให้กล้องไอโฟนสมจริงที่สุด
ล่าสุดแอปเปิลได้ออกมาบอกว่า ตอนนี้ได้แก้ปัญหา BeautyGate ไม่ให้หน้าเรียบเนียนเกินความเป็นจริงแล้ว และเริ่มปล่อยให้ทดสอบกันแล้วบน iOS 12.1 Beta เวอร์ชันล่าสุดนี้
โดยแอปเปิลได้อธิบายสาเหตุของปัญหานี้ มาจากฟีเจอร์ Smart HDR ที่ทำการปรับความสว่างของส่วนมืดและส่วนสว่างให้มีรายละเอียดมากยิ่งขึ้น และได้ทำการปรับให้ Noise ที่เกิดขึ้นมาลดลง จนทำให้ใบหน้าและผิวของคนดูเรียบเนียนเกินความเป็นจริง
อย่างไรก็ตามปัญหา “BeautyGate” นี้ไม่ใช่ฟีเจอร์ ที่แอปเปิลจงใจที่จะทำขึ้นมา แต่ต้องยอมรับว่าก็ต้องมีคนอีกกลุ่มที่อยากให้แอปเปิลคงการปรับใบหน้าให้เรียบเนียนเหมือนเดิม เพราะไม่ต้องการให้ถ่ายออกมาแล้วหน้าดูสมจริงเกินไป
ที่มา – MacRumors
The post Apple เตรียมแก้ปัญหา “BeautyGate” ถ่าย Selfie แล้วหน้าเนียนเกินไป บน iOS 12.1 appeared first on Macthai.com.
iPhone XR ไม่มี 3D Touch แล้วใช้ Haptic Touch แทนซึ่งใช้แตะเพื่อเรียกเมนูย่อยเหมือน 3D Touch ไม่ได้ แต่มีรายงานว่า Apple จะปรับปรุงให้ใช้ได้ใน iOS Update ใหม่ในอนาคต
Haptic Touch ของ iPhone XRสำหรับฟีเจอร์ Haptic Touch ของ iPhone XR นั้น ผู้ใช้สามารถแตะที่ไอคอนไฟฉายค้างไว้เพื่อเปิดไฟฉาย, แตะที่ไอคอนกล้องค้างไว้เปิดกล้องในหน้า Lock Screen รวมไปถึงแตะค้างที่เมนูเปิดเมนูย่อยใน Control Center แต่ไม่สามารถแตะค้างเพื่อเรียกเมนูย่อยที่แอปหรือพรีวิวข้อมูลเหมือน 3D Touch ได้
The Verge ได้ทำการรีวิว iPhone XR และเผยว่า Apple จะปรับปรุง Haptic Touch ให้สามารถแตะเพื่อเรียกเมนูย่อยที่แอป, แตะเพื่อพรีวิวข้อมูลเหมือน 3D Touch ได้ด้วย โดยฟีเจอร์นี้จะมาพร้อม iOS Update เวอร์ชันใหม่ในอนาคต
สื่อต่างประเทศคาดการณ์กันว่าหาก Apple พัฒนา Haptic Touch ให้สามารถใช้งานแทน 3D Touch ได้แล้ว iPhone รุ่นใหม่ๆ อาจไม่มี 3D Touch อีกต่อไป ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน
ที่มา – idropnews
The post Apple อาจปรับปรุง Haptic Touch ของ iPhone XR ให้แตะเพื่อเรียกเมนูย่อยที่แอปได้ ใน iOS Update อนาคต appeared first on iPhoneMod.
(function(d, s, id) {
var js, fjs = d.getElementsByTagName(s)[0];
if (d.getElementById(id)) return;
js = d.createElement(s); js.id = id;
js.src = 'https://connect.facebook.net/th_TH/sdk.js#xfbml=1&version=v3.2';
fjs.parentNode.insertBefore(js, fjs);
}(document, 'script', 'facebook-jssdk'));
Facebook ได้ปล่อยอัปเดตแอป Messenger ที่เป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ พลิกโฉมหน้าตาการทำงานที่เรียบง่าย สะอาด น่าใช้กว่าเดิม พร้อมกับตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออก
ก่อนหน้านี้ Facebook ได้ปล่อยอัปเดต Messenger โฉมใหม่ในผู้ใช้บางรายเท่านั้น และวันนี้ก็ได้เริ่มทยอยปล่อยให้ผู้ใช้ทั่วโลกได้ใช้งานกับ Messgenger เวอร์ชัน 4 ที่เป็นเวอร์ชันเรียบง่ายแลน่าใช้กว่าเดิม ไปชมกันว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง
Facebook ปล่อยอัปเดตแอป Messenger โฉมใหม่พบกับ 3 แท็บด้านล่างที่เป็นเมนู แชท ผู้ค้น และสำรวจ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเมนูเหล่านี้ได้สะดวกมากขึ้น ในแท็บการแชทเราสามารถสร้างเรื่องราวโดนการแตะรูปกล้องด้านบน และเลือกได้ว่าใครจะสามารถเห็นเรื่องราวของเราได้
ในแท็บผู้ค้น ก็จะพบกับเพื่อนๆ ที่เรากำลังออนไลน์ด้านบน และเพื่อนที่เพิ่งใช้งานอยู่ด้านล่าง ส่วนแท็บสำรวจ ก็จะพบกับบัญชีธุรกิจมากมายที่น่าสนใจ รวมถึงเกมต่างๆ ที่นำเสนอให้เริ่มเล่นได้รวดเร็ว
ปรับแต่งการแชทตามแบบที่ชอบเวอร์ชันเดิมเราสามารถปรับแต่งกล่องข้อความให้เป็นสีตามที่เราชอบในแต่ละห้องแชทได้ และใน Messenger เวอร์ชันนี้ก็ได้เพิ่มสีใหม่ที่เป็นสีไล่ระดับแบบพิเศษ ที่ทำให้การแชทของคุณดูน่าสนใจและสวยงามมากขึ้น
ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็คงถูกใจใครหลายคนเลยทีเดียว เพราะเวลาที่เราส่งข้อความไปสีก็จะถูกไล่ระดับและเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่น่าเบื่อ
รักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนๆMessenger ยังคงให้ความสำคัญในเรื่องการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างเพื่อนๆ ครอบครัว หรือคู่สนทนา โดยเฉพาะการสนทนาแบบกลุ่มที่สามารถสร้างโพลล์ เพื่อให้คนในกลุ่มโหวตตามหัวข้อ เช่น การเลือกภาพยนต์ที่จะชวนกันไปดู การเลือกร้านอาหารที่นัด Meeting เป็นต้น
และผู้ใช้ยังคงแชร์ตำแหน่งที่ตั้ง สร้างแผน และโทรหรือคุยผ่านวิดีโอแบบกลุ่มได้เหมือนเดิม
Dark Mode กำลังจะมาการปรับโฉมใหม่ของ Messenger ยังคงมีแผนการปรับปรุงสิ่งที่ดีให้กับผู้ใช้อยู่เรื่อง อย่าง Dark Mode ฟีเจอร์พื้นหลังสีดำ ช่วยลดแสงสะท้อนในการดูหน้าจอและยังช่วยประหยัดแบตเตอรี่ใน iPhone ที่ใช้หน้าจอ OLED กำลังจะเปิดให้ใช้ในอีกไม่นานนี้ รอการกลับมาอัปเดตกันอีกครั้ง
Say to the new Messenger. Starting today, we’re rolling out a new, simplified design to make it easier to connect with the people you care about most.
Learn more: https://messengernews.fb.com/2018/10/23/say-hello-to-the-new-messenger-introducing-messenger-4/
#simplyMessenger
โพสต์โดย Messenger เมื่อ วันอังคารที่ 23 ตุลาคม 2018
และนี่ก็เป็นการปรับโฉมใหม่ของ Messenger ที่เริ่มทยอยปล่อยให้ผู้ใช้ทั่วโลกได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ที่เรียบง่ายกว่าเดิม หวังว่าทุกคนจะถูกใจกับ Messenger ใหม่นี้นะคะ สำหรับใครที่เคยลบการติดตั้งออกและอยากจะลองดาวน์โหลดมาใช้ใหม่ก็สามารถดาวน์โหลดได้ที่ Messenger on App Store
ขอบคุณ iclarified
The post Facebook ปล่อยอัปเดตแอป Messenger โฉมใหม่ สะอาดและเรียบง่ายกว่าเดิม appeared first on iPhoneMod.
หลังหลายรัฐในสหรัฐอเมริกา และล่าสุดคือแคนาดาได้อนุญาตให้ผู้บริโภคใช้กัญชาเพื่อนันทนาการได้ ก็ทำให้ตลาดนี้คึกคักเป็นอย่างมาก และมันอาจมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่านจำนวนผู้ใช้กว่า 50 ล้านคนเร็วๆ นี้
Two cartridges. One oil vaporizer. The Double Barrel, compatible with @kingpen. #EMBERMag
โพสต์ที่แชร์โดย MedMen (@shopmedmen) เมื่อ พ.ค. 4, 2018 เวลา 5:58pm PDT
ก่อนหน้านี้ที่ในสหรัฐอเมริกาไม่ได้มีจำนวนรัฐที่อนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อนันทนาการได้มากขนาดนี้ จำนวนตลาดผู้ใช้ก็คงมีแค่ราว 2 ล้านคน แต่นั่นคือจำนวนที่ไม่ได้รวมกลุ่มที่ลักลอบ และพอจำนวนรัฐที่อนุญาตเรื่องนี้เพิ่มขึ้น ประกอบกับประเทศแคนาดาก็อนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อนันทนาการเช่นกัน ทำให้ตลาดนี้เฟื่องฟูสุดๆ
Chris Burggraeve อดีตผู้บริหารของ Coca-Cola และ AB InBev เล่าให้ฟังว่า ตอนนี้กลุ่มผู้ค้ากัญชาแบบถูกกฎหมายรายเดิมเริ่มปรับตัวเองจากแค่ผู้ค้ากัญชา เป็นการขาย Lifestyle มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับเรื่องคุณภาพ, สร้างบรรจุภัณฑ์ที่ดูเท่ รวมถึงสร้างหน้าร้านที่ดูโปร่งเพื่อดึงดูดให้ผู้บริโภคเข้าไปใช้บริการ
“ความ Minimal จะเกิดขึ้นในโลกของกัญชาที่สหรัฐฯ และแคนาดาแน่นอน เพราะมันความเรียบหรู ดูสบายตา และง่ายต่อการทำธุรกิจในยุคนี้ สังเกตจาก Apple หรือแบรนด์อื่นๆ ก็เริ่มทำตลาดในรูปแบบ Minimal มากขึ้น เช่น Apple Store ที่มีดีไซน์โปร่งใส และจัดวางผลิตภัณฑ์ได้อย่างเป็นสัดส่วน”
ทั้งนี้ถ้าใครจินตนาการไม่ออกก็อยากให้ลองนึกภาพร้านกัญชาที่จัดวางผลิตภัณฑ์ และแต่งหน้าร้านเหมือน Apple Store ก็ได้ ซึ่งปัจจุบันมันก็มีอย่างนั้นแล้วจริงๆ เช่น MedMen กลุ่ม Startup กัญชาจากสหรัฐฯ ที่ทำตลาดกัญชาระดับ High-End และทำหน้าร้านให้ดูสวยงาม โปร่ง โล่ง สบาย
นอกจากนี้ยังมี Herbessntls ที่นำสารสกัดจากกัญชามาใส่ในเครื่องสำอางด้วยเหมือนกัน จึงไม่แปลกที่ภาพรวมอุตสาหกรรมเกี่ยวกับกัญชาจะเติบโจอย่างรวดเร็วหลังจากนี้ และมีมูลค่าเกินกว่าพันล้านดอลลาร์สหรัฐแน่ๆ ผ่านจำนวนผู้ใช้กว่า 50 ล้านคน
สรุปกัญชากลายเป็นที่น่าจับตามองของใครหลายคน เพราะมันคือโอกาสใหม่ของการทำธุรกิจที่สหรัฐอเมริกา และแคนาดา นอกจากนี้ยังเป็นกรณีศึกษาที่ดีของการทำธุรกิจในอนาคต เพราะโอกาสที่กัญชาจะถูกให้ใช้เพื่อนันทนาการในประเทศอื่นๆ ก็ยังมีอยู่ และหวังว่าไทยก็คงเป็นหนึ่งในนั้น
อ้างอิง // Business Insider
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
Apple อาจยังไม่ทิ้ง iPad mini โดยมีรายงานจากนักวิเคราะห์ว่า Apple อาจเปิดตัว iPad mini รุ่นปรับสเปคท้ายปี 2018 – ต้นปี 2019 พร้อม AirPower, Mac รุ่นอัปเกรด
iPad mini อาจกลับมาอีกครั้งMing-Chi Kuo ได้คาดการณ์สินค้าใหม่ที่ Apple อาจเปิดตัว / เปิดขายช่วงงาน Event วันที่ 30 ต.ค. 2018 รวมไปถึงท้ายปี 2018 – ต้นปี 2019 ไว้เพิ่มเติมดังนี้
นอกจาก iPad Pro 2018 ใหม่แล้ว Kuo เชื่อว่า Apple อาจเปิดตัว iPad mini ใหม่ที่เป็นรุ่นปรับสเปคด้วย โดย iPad mini ใหม่นี้จะเปลี่ยนไปใช้ Processor ตัวใหม่แต่ยังคงความเป็นรุ่นจอเล็กราคาประหยัดไว้อยู่ แต่จะไม่เปิดตัวพร้อมกับ iPad Pro ในงาน Event
Kuo คาดการณ์ว่า Apple จะเปิดตัว Mac รุ่นอัปเกรดสเปคด้วย ได้แก่ Mac mini, Mac Pro, iMac และ Apple จะเปิดตัว MacBook ใหม่ราคาประหยัดด้วยเช่นกัน
สำหรับ AirPower ที่เปิดตัวมาข้ามปีนั้น Kuo เชื่อว่า Apple อาจเปิดขายในช่วงท้ายปี 2018 – ต้นปี 2019 และหูฟัง AirPods ใหม่ที่รองรับชาร์จไร้สายและาั่ง Hey Siri ได้ก็จะเปิดขายในช่วงเดียวกัน
Apple ประกาศจัดงาน Event วันที่ 30 ต.ค. 2018 นี้ โดยไฮไลท์หลักคาดว่าจะเปิดตัว iPad Pro ใหม่ ส่วนสินค้าอื่นๆ อย่าง iPad min ใหม่, Mac รุ่นอัปสเปค, AirPower, AirPods ใหม่คาดว่าจะเปิดขายช่วงหลังจากนั้น ติดตามกันต่อไป
ที่มา – iclarified
The post (ลือ) Apple อาจเปิดตัว iPad mini รุ่นปรับสเปคท้ายปี 2018 – ต้นปี 2019 appeared first on iPhoneMod.
iPhone XS, XS Max และ XR จะถูกส่งถึงมือผู้ใช้ในประเทศไทยและวางขายหน้าร้านพร้อมกันทั่วประเทศในวันที่ 26 ต.ค. 2561 นี้หลายๆ คนหากต้องการหากเคสไว้ใช้งานวันนี้เรามี 2 รุ่นมาแนะนำจากแบรนด์ Gizmo ความโดดเด่นอยู่ที่การความใสใส่โชว์ความงามของเครื่องและยังมาพร้อมการกันกระแทกได้อีกด้วย ที่สำคัญราคาเริ่มต้นเพียง 350 บาทเท่านั้น
รีวิวเคส Gizmo Soft และ Gizmo Fusion เคสสำหรับ iPhone XS, XS Max และ XR 1. Gizmo Soft Caseเคส TPU แบบใสที่มีความบางเบาพร้อมป้องกันลายน้ำและรอยขีดข่วน ด้านหน้าจะยกจอให้สูงขึ้นไม่ทำให้จอติดพื้นส่วนน้ำหนักนั้นก็เบาเหลือหลาย สวมใส่กับ iPhone XS, XS Max แล้วแนบสนิทชิดกันแบบ Slim Fit แถมไม่ทำให้ตัวเครื่องเป็นรอยแบบเคสแข็ง PC ในส่วนของด้านหลังก็ยกสูงเหนือเลนส์กล้องขึ้นมาด้วย สำหรับใครที่ต้องการโชว์ความงามของตัวเครื่อง iPhone แนะนำเลยว่า Gizmo Soft Case รุ่นนี้จัดได้ว่าเป็นอีกหนึ่งชิ้นที่ต้องมีติดตัว
จุดเด่น
เคสยาง TPU นิ่มแบบใสที่ใส่แล้วทำให้เห็นความสวยงามของ iPhone XS, XS Max และโดยเฉพาะ iPhone XR ที่มีหลากสีนั้นทำเห็นเด่นชัดได้เป็นอย่างดี จุดบกพร่องของเคสใสเมื่อติดตั้งกับ iPhone รุ่นที่ฝาหลังเป็นกระจกนั้นก็คือ “รอยคราบน้ำ” แต่ทว่า Gizmo Soft Case รุ่นนี้มีเทคโนโลยีที่ออกแบบให้มีจุดเล็กๆ ทำให้เมื่อติดตั้งเคสเข้ากับตัวเครื่องแล้วจะไม่เกิดรอยคราบน้ำขึ้นแต่อย่างใดไม่ว่าจะที่ขอบหรือกระจกหลังของตัวเครื่อง
การตั้งติดและถอดออกที่ง่ายดายไม่ทำให้ความเครื่องเป็นรอยพร้อมทั้งความบางและน้ำหนักที่เบาใส่แล้วไม่ทำให้เครื่องหนาและด้วยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมาเพียง 10 กว่ากรัมซึ่งถือว่าเบาเบางๆ ทำให้จับแล้วรู้สึกว่าไม่หนักแต่อย่างใด เคสมีความหนืดจับแล้วไม่ลื่นถือว่ามีความหนึบพอควร
ส่วนจุดด้อยก็คงเป็นเรื่องของรอยที่อาจจะเกิดขึ้นได้เมื่อขูดกับของที่มีคม ส่วนการกันกระแทกนั้นก็ทำได้แค่ระดับเบื้องต้นไม่แนะนำให้นำไปทำ drop test สำหรับเคสนี้นะครับ
2. Gizmo Fusion Caseเคสรุ่นยอดนิยมที่เป็นสินค้าขายดีจาก Gizmo กับรุ่น FUSION โดยเป็นเคสใสกันกระแทกที่จุดเด่นอยู่ที่เป็นเคสที่ใสมาก โชว์ความสวยงามของด้านหลังตัวเครื่อง iPhone XS และ XS Max อย่างเห็นได้ชัด โดยตัวเคสผลิตจาก PC+TPU ยางใสแข็งที่มีคุณภาพ คลุมตัวเครื่องได้เป็นอย่างดี และป้องกันรอยขีดข่วนและกันกระแทกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จุดเด่น
สำหรับรุ่น Fusion นั้นความต่างจากรุ่น Soft คือดีไซน์ที่จะมีความเป็นเหลี่ยมที่มุมซึ่งหน้าที่หลักคือการรองรับและดูดซับแรงกระแทกเมื่อมีการตกกระทบกับพื้น หากดูๆ ไปแล้วเมื่อติดตั้งเข้ากับตัวเครื่องก็จะทำให้ดูมีความเท่และสามารถใช้สายคล้องคอติดเข้ากับเคสได้ด้วย (รอด้านข้าง) การใช้งานร่วมกับ iPhone XS, XS Max, XR นั้นติดตั้งและถอดใช้งานได้ง่าย ไม่ทำให้เครื่องเป็นรอย อีกหนึ่งความพิเศษของเคสคือ ด้านขอบและด้านหลังไม่เป็นคราบลายน้ำแถมที่มุมเคสก็ยกตัวขึ้นทำให้พื้นหลังแบบใสของเคสไม่ถูไปกับพื้นให้เป็นรอยครับ
ความทนทานและการกันกระแทก จุดเด่นของ Gizmo Fusion Case นั้นจะอยู่ที่ตรงมุมทั้ง 4 มุมของเคสจะมีขอบเป็นยาง TPU นูนขึ้นมาทั้ง 4 ด้าน ช่วงให้ตัวเครื่อง iPhone ไม่สัมผัสกับพื้นผิวโดยตรง จึงลดโอกาสไม่ให้หน้าจอหรือด้านหลังเคสเป็นรอยได้มากขึ้น ในส่วนของน้ำหนักของเคสรุ่นนี้อยู่ประมาณ 27 กรัม หนักกว่ารุ่น Soft แต่ว่าไม่ได้หนักเท่าเคสกันกระแทกสุดโหดอย่าง UAG ดังนั้นเคสนี้ จัดได้ว่าเป็นเคสกันกระแทกดับกลางๆ ซึ่งไม่แนะนำให้ไปทำ Drop Test เล่นเช่นกัน ข้อแนะนำ
Gizmo Soft Case รองรับ
Gizmo Fusion Case รองรับ
สั่งซื้อและสถานที่จัดจำหน่าย
*หากสั่งซื้อสินค้าออนไลน์
The post รีวิวเคส Gizmo Soft และ Gizmo Fusion เคสสำหรับ iPhone XS, XS Max และ XR appeared first on iPhoneMod.
สมคิด จิรานันตรัตน์ ประธาน กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) บอกว่า K PLUS shop ตัวล่าสุดที่ออกมา จะทำให้ร้านค้าสะดวกยิ่งขึ้น เพราะใช้บริหารร้านค้า รับ-จ่ายเงินออนไลน์ และเพิ่มช่องทางการกระจายสินค้า ตอนนี้มีลูกค้าใช้ K PLUS shop แล้ว 1.67 ล้านร้านค้า
เรียกว่ารับเงินง่ายขึ้น ผ่าน QR Code ที่ร้านค้าสามารถสร้าง QR Code ได้เองทั้งแบบระบุยอดเงินและไม่ระบุยอดเงิน รวมไปถึงการจ่ายเงินผ่าน Alipay / Wechat Pay ซึ่งคนจีนจะเห็นเป็นเงินหยวน ส่วนแม่ค้าไทยจะเห็นเป็นเงินบาทไม่ต้องมาคำนวณค่าเงินกันให้ยุ่งยาก
ส่วนฟีเจอร์ใหม่ ที่จะแก้ Pain Point ของพ่อค้าแม่ค้าคือ Voice Notification คือเมื่อเงินเข้าบัญชีปุ๊บ นอกจากการแจ้งเตือนเป็นภาพแล้ว จะมีเสียงแจ้งขึ้นมาด้วย เช่น ยอดเงินเข้าบัญชี 200 บาท
ช่วยแก้ปัญหาให้กับเจ้าของร้านที่ไม่มีเวลาดูหน้าจอโทรศัพท์ เสียงเตือนก็ช่วยให้รู้ว่ามีเงินเข้าแล้ว
นอกจากนี้ยังมีทีเด็ดอยู่ที่สามารถตรวจสอบรายการโอนเงินจากลูกค้าได้ง่ายๆด้วยการแสดงไอคอนของแต่ละธนาคารเรียกได้ว่าสบายใจหายห่วง
นอกจากนี้อีกหนึ่งฟีเจอร์โดนใจเหล่าแม่ค้าออนไลน์ที่ต้องขายของผ่าน Social Media อยู่บ่อยๆทั้ง LINE@ Facebook Instagram ต้องถูกใจในการสร้างบิล QR เรียกเก็บเงินทาง Social Media ด้วยฟีเจอร์ “บิลแมวเขียว” ที่ช่วยให้แม่ค้าหมดปัญหาการขายของออนไลน์ เพราะแค่แม่ค้าออนไลน์สร้างบิลแมวเขียวส่งผ่าน Social Media ลูกค้ากดชำระปั๊บ แม่ค้าได้รับเงินถูกต้อง และยังใส่รายการสินค้าได้ถึง 10 รายการ
โดยระบบยังช่วยคำนวณยอดรวมราคาสินค้าทั้งหมดให้อัตโนมัติ ช่วยให้เรียกเก็บเงินได้สะดวกไม่ผิดพลาด แม้ว่าบิลจะมีอายุ 24 ชั่วโมง แต่หากเกินเวลาชำระ แม่ค้าสามารถส่งซ้ำได้โดยไม่ต้องสร้างบิลใหม่ให้เสียเวลา ซึ่งฟีเจอร์นี้สร้างความสะดวกสบายให้กับแม่ค้าออนไลน์ได้มากทีเดียว
แน่นอนว่าการขายออนไลน์ เรื่องขนส่งเป็นอีกเรื่องที่แม่ค้าออนไลน์ทั้งหลายต้องให้ความสำคัญ K PLUS shop มีการเชื่อมต่อกับระบบของ Shippop ที่แสดงสถานะการจัดส่งสินค้าชัดเจนมีช่องใส่ส่วนลด ใส่โปรโมชั่น เลือกบริษัทขนส่ง และราคาที่ต้องการได้ผ่านพาร์ทเนอร์ที่แบงก์ดีลไว้แล้ว เช่น ไปรษณีย์ไทย ฯลฯ
ซึ่งสามารถดูสถานะการจัดส่งได้ด้วย บอกเลยว่าใช้แอปฯ เดียวเอาอยู่ทั้งลูกค้า สินค้า แถมยังช่วยประหยัดต้นทุนธุรกิจอีกด้วย
อีก pain point กวนใจเจ้าของร้าน คือเมื่อไม่อยู่เฝ้าร้านเอง มือถือไม่ได้อยู่ที่ร้าน มีแต่พนักงานอยู่ ก็ย่อมเกิดความกังวลว่าเงินค่าสินค้าที่ลูกค้าซื้อจะไม่โอนเข้าบัญชีร้านไหม พนักงานที่ดูแลแทนจะโกงเงินไหม
ปัญหานี้จะหมดไปเพราะ K PLUS shop สามารถเพิ่มบัญชีพนักงานของร้านค้า รับแจ้งเตือนเงินเข้าได้สูงสุด 10 คน เงินเข้าเมื่อไหร่ พนักงานเห็น เจ้าของร้านรู้ หมดกังวลเรื่องการทุจริตของพนักงาน ทำให้เจ้าของร้านมีเวลาในการจัดการธุรกิจด้านอื่นๆเพิ่มเติมได้อีก
นอกจากนี้ ตัวแอปฯ จะช่วยเก็บสถิติ เช่น ช่วงเวลาไหนยอดขายดี ลูกค้าซื้ออะไรมากที่สุด ฐานลูกค้าประจำเป็นใคร กลุ่มใหม่มีสัดส่วนเท่าไร ฯลฯ เพื่อให้เจ้าของธุรกิจนำมาวิเคราะห์แผนธุรกิจและช่วยให้ทำการตลาดได้ง่ายขึ้น
เจ้าของร้านสามารถอ่านรายงานยอดขายได้ตลอดเวลา สามารถสรุปข้อมูลได้ทั้งแบบรายชั่วโมง รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน ซึ่งข้อมูลสถิติจะแสดงเป็นกราฟ ให้ดูง่าย และจัดส่งเข้าอีเมล์ให้เจ้าของร้านดูได้เท่านั้น ลูกจ้างไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลนี้ได้
นอกจากนี้ ที่เรากำลังพัฒนาเทคโนโลยี KADE จะวิเคราะห์ข้อมูล ต่างๆ และช่วยให้พ่อค้าแม่ค้า สามารถส่งโปรโมชั่นให้ลูกค้าคนที่ใช่ ผ่านฐานลูกค้า K PLUS กว่า 9.4 ล้านคนได้เลย ซึ่งเรามี K PLUS Market ที่เป็นอี-มาร์เก็ตเพลงบนแอปพลิเคชัน K PLUS ช่วยร้านค้าเพิ่มโอกาสขายได้อีกทางหนึ่ง
ปัจจุบัน K PLUS มีผู้ใช้งาน 9.4 ล้านคน มีธุรกรรมเดือนละ 700,000 ครั้ง คิดเป็นเม็ดเงินกว่า 900 ล้านบาทต่อเดือน ต่อไปก็จะเติบโตขึ้นอีก เรียกว่าเป็นอีกช่องทางที่เราจะช่วยจับคู่ คนซื้อ กับคนขายให้มาเจอกันง่ายขึ้น ฝั่งคนซื้อก็ได้ของที่ดีที่สุด ฝั่งคนขายก็หาลูกค้าเจอ ขยายตลาดได้อีกทาง
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
ก่อนหน้านี้ผู้ใช้ iPhone XS หลายรายเจอปัญหา BeautyGate ถ่าย Selfie แล้วหน้าเนียนเกินไป โดย The Verge เผยว่า Apple เตรียมแก้ปัญหาในอัปเดตของ iOS 12.1
Apple เตรียมแก้ปัญหาถ่าย Selfie แล้วหน้าเนียนเกินไปของ iPhone XS ใน iOS 12.1BeautyGate เป็นปัญหาที่ผู้ใช้ iPhone XS, iPhone XS Max ถ่ายภาพ Selfie แล้วหน้าเนียนเกินไปเหมือนกับเปิดโหมด Beauty ไว้ซึ่งดูแล้วไม่สมจริง
The Verge ได้ทำการรีวิว iPhone XR และเผยข้อมูลว่า Apple ได้เผยกับผู้รีวิวว่าอัปเดตแก้ปัญหาถ่ายภาพ Selfie แล้วผิวหน้าเนียนเกินไปจะถูกแก้ไขใน iOS 12.1
(สรุปข้อมูลเบื้องต้น) The Verge ให้ข้อมูลว่าปัญหา BeautyGate ของ iPhone XS, iPhone XS Max และ iPhone XR นั้นมาจากฟีเจอร์ Smart HDR ที่ในบางครั้งได้เลือกภาพจาก Frame ที่มี Speed Shutter นานและการที่กล้องหน้าไม่มี OIS ทำให้ภาพที่ได้ดูเบลอและผิวหน้าเรียบเนียนกว่าปกตินั่นเอง
The Verge เผยอีกว่ายังไม่ได้ทดสอบกับ iOS 12.1 beta ตัวล่าสุดและคาดว่าแนวทางการแก้ปัญหานั้น Apple จะปรับ Smart HDR ให้เลือกรูปที่มีพื้นผิวมากขึ้นในการถ่ายภาพ Selfie ซึ่งผู้ใช้ iPhone รุ่นใหม่ต้องรออัปเดต iOS 12.1 ที่คาดว่าจะปล่อยให้อัปเดตในเร็วๆ นี้
ที่มา – The Verge
The post (ไม่ยืนยัน) Apple เตรียมแก้ปัญหาถ่าย Selfie แล้วหน้าเนียนเกินไปของ iPhone XS ใน iOS 12.1 appeared first on iPhoneMod.
ตัวเลขการส่งออกไทยในเดือนกันยายนไทยที่ผ่านมา -5.2% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว อาจเป็นความเสี่ยงในการเติบโตของเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ดีภาครัฐมั่นใจว่าเป้าส่งออกของไทยปีนี้จะยังดี และหาแนวทางแก้ปัญหาด้วย
พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า เผยตัวเลขการส่งออกไทยในเดือนกันยายนที่ผ่านมาว่าตัวเลขส่งออกของไทย -5.2% ติดลบครั้งแรกในรอบ 19 เดือน นอกจากนี้การนำเข้าสินค้าเข้ามาในประเทศไทยก็ลดลงเช่นเดียวกัน ยกเว้นเชื้อเพลิงที่ยังคงเพิ่มขึ้น และยังคงเชื่อว่าส่งออกไทยในปีนี้จะทำได้ตามเป้าอีกด้วย
สำหรับสินค้าส่งออกของไทยที่ลดลงได้แก่ เครื่องอีเล็คทรอนิกส์ -4% ทองคำที่ยังไม่ได้แปรรูป -79% อุปกรณ์กึ่งตัวนำสำหรับทำแผงโซล่าร์ -38% เครื่องซักผ้า -45% แผงวงจรไฟฟ้า -11% อุปกรณ์ประกอบตู้เย็น -9%
บรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้กล่าวว่าพยายามผลักดันการส่งออกไทยโดยเฉพาะสินค้าที่มีศักยภาพสูง เช่น กลุ่มอาหารแปรรูป ให้ขยายตัวมากขึ้น โดยจะเน้นส่งออกไปที่สหรัฐ รวมไปถึงตะวันออกกลางด้วย ทดแทนสินค้าที่ได้รับผลจากสงครามทางการค้า
นอกจากนี้บรรจงจิตต์ ยังได้เสริมถึงการที่ไทยจะเน้นการส่งออกสินค้าในกลุ่มไลฟ์สไตล์มากขึ้น ภายใต้แนวทาง Local To Global โดยการใช้ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นที่มีคุณภาพสูง สำหรับสินค้ากลุ่มนี้คิดเป็นสัดส่วน 5% ของการส่งออกไทย มีมูลค่าการส่งออกถึง 11,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ที่มา – หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์, หนังสือพิมพ์มติชน, SCB EIC
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
ใครที่ชื่นชอบเกมมือถือแนว Turn-based แฟนตาซีอลังการ มีฮีโร่ให้เลือกเยอะ นำมาจัดทีมวางแผนต่อสู้ พร้อมศึกชิงปราสาท เกม Final Heroes อาจตอบโจทย์คุณได้อย่างแน่นอนครับ
Final Heroesเกมมือถือ RPG แนววางแผนจัดทีมต่อสู้ ลงดันเจี้ยน และต่อสู้ PvP บนอารีน่าสนามประลองสุดมัน ที่ผสมผสานกลิ่นอายของยุคกลางและอัศวินฮีโร่ในสไตล์แฟนตาซีเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว มาพร้อมระบบสร้างเมือง ป้องกันปราสาท และอัปเกรด เพื่อช่วงชิงการเป็นเจ้าแห่งสงคราม
โดยในเกม Final Heroes ผู้เล่นจะได้สัมผัสกับเกมในสไตล์ต่อสู้วางแผนแนว Turn-based ที่นอกจากจะผลัดกันโจมตีและใช้สกิลเจ๋งๆ แล้ว ยังมีการผสมผสานค่าพลังพิเศษที่เมื่อคุณจัดทีมฮีโร่ให้อยู่ในกลุ่มสนับสนุนซึ่งกันและกันแล้ว มันจะบวกค่าพลังเสริมที่สนับสนุนทั้งกองกำลังทหาร เพิ่มพลังโจมตี พลังป้องกัน หรือเพิ่มค่าพลังต่างๆ ได้อีกด้วย
ซึ่งภายในเกมคุณสามารถจัดทีมฮีโร่ได้สูงสุดถึง 5 ตัวละคร จาก 40 ฮีโร่ที่มีเอกลักษณ์ สกิล และค่าพลังที่แตกต่างกันออกไป โดยคุณจะต้องเลือกตำแหน่งและทักษะความสามารถให้เหมาะสม สนับสนุนกันในการต่อสู้แต่ละครั้ง
เนื้อที่เกม: 135.1 MB รองรับ iOS 7.0 ขึ้นไป (ใช้ได้กับ iPhone และ iPad)
ดาวน์โหลดเกมได้ฟรีที่: Final Heroes on App Store
The post Final Heroes เกมมือถือ RPG สร้างเมืองและวางแผนจัดทีมฮีโร่ต่อสู้สุดแฟนตาซี appeared first on iPhoneMod.
ตลาดฟิตเนสในประเทศไทยปีนี้ดูมีทีท่าว่าจะร้อนระอุอีกครั้ง หลังมีผู้เล่นชุดจุดเด่นเรื่องเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมงตบเท้ากันเข้ามา เชื่อว่าจะเป็นตัวเปลี่ยนเกมชั้นดี
กระแสเรื่องการดูแลสุขภาพยังคงสร้างแรงกระเพื้อมในหลายธุรกิจอยู่ ธุรกิจก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ได้รับการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยที่หลายปีที่ผ่านมาได้มีผู้เล่นรายใหม่ตบเท้าเข้ามามากมาย รวมถึงผู้เล่นโลคอลก็มีการเปิดฟิตเนสในชุมชนกันแพร่หลาย
ในปีนี้ตลาดฟิตเนสก็กลับมาร้อนระอุอีกครั้ง แต่ไม่ธรรมดาตรงนี้เกมได้มีการเปลี่ยนไปยังรูปแบบของ “24 ชั่วโมง” เพื่อรับกับไลฟ์สไตล์ของคนเมืองที่มีเวลาน้อย ไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลาการให้บริการ
ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมานี้โดยเฉพาะตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาก็ได้เห็นผู้เล่นฟิตเนสจากต่างแดนทยอยตบเท้าเข้ามา เพิ่มเติมคือโมเดล 24 ชั่วโมง อย่าง Jetts 24 Hour Fitness, Fitness 24 Seven และ Anytime Fitness รวมถึงยังมีฟิตเนสรายย่อยที่ให้บริการแบบ 24 ชั่วโมงอยู่แล้วอย่าง Fitwhey Gym และ Fitness7
Jetts 24 Hour Fitness เป็นผู้เล่นฟิตเนสรายใหญ่จากออสเตรเลียได้เปิดฉากบุกตลาดไทยตั้งแต่ต้นปี และเป็นการบุกตลาดที่ดุดันมากเพราะได้ขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง แต่หลายคนคงเคยเห็น Jetts 24 Hour Fitness มาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว
เพราะก่อนหน้านี้ได้เข้ามาทำตลาดในไทยได้ 2 ปี มี 2 สาขา นวมินทร์ ซิตี้ อเวนิว (เกษตร-นวมินทร์) และเดอะซีน (ทาวน์อินทาวน์) แต่เป็นรูปแบบของแฟรนไชส์ ซึ่งเมื่อทางบริษัทแม่ได้เห็นว่ามีการเติบโตด้วยดีจึงทำการซื้อแฟรนไชส์คืนแล้วเข้ามาบริหารเองเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2560
จากนั้นในเดือนมีนาคมได้เปิดสาขารวดเดียว 4 สาขาใหม่ในกรุงเทพฯ ปักหลักโลเคชั่นแนวรถไฟฟ้า หวังทราฟฟิกผู้ต้องการออกกำลังกายแบบสะดวก ได้แก่ สาขาสเตเดียม วัน (จุฬาฯ) BTS สนามกีฬาฯ, เดอะสตรีท (รัชดา) MRT ศูนย์วัฒนธรรม, เดอะฟิล (อ่อนนุช) BTS อ่อนนุช และ สีลม คอนเนค (ช่องนนทรี) BTS ช่องนนทรี และเดือนกันยายนที่ผ่านมาได้เปิดอีก 3 สาขา ทำให้ปัจจุบันมีสาขารวม 10 สาขา และในสิ้นปีจะมี 12 สาขา
Jetts 24 Hour Fitness เป็นฟิตเนสในเครือของ Fitness and Lifestyle Group ที่มีแบรนด์ฟิตเนสอื่นๆ ในเครืออย่าง Fitness First, GoodLife Fitness และ Anytime Fitnessทำ
ตัวแบรนด์ Jetts 24 Hour Fitness ได้ทำตลาดมา 10 ปีแล้ว เริ่มต้นด้วยโมเดล 24 ชั่วโมงมาตั้งแต่แรก ปัจจุบันมี 280 สาขาทั่วโลกในประเทศ ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, เนเธอร์แลนด์, อังกฤษ และไทย
24 ชั่วโมงเข้ามาเปลี่ยนเกมตลาดในไทยไมค์ แลมบ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เจ็ทส์ ฟิตเนส 24 ชั่วโมง ภูมิภาคเอเชีย บอกว่า
“มองว่าตลาดฟิตเนส 24 ชั่วโมงเข้ามาเปลี่ยนเกมตลาดฟิตเนสในประเทศไทย เพราะไลฟ์สไตล์ของคนเปลี่ยน กรุงเทพฯ เป็นเมืองแอคทีฟที่ไม่เคยหลับ คนรุ่นใหม่เข้ามาใช้บริการมากขึ้น ไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา ที่สำคัญคือบางคนทำงานเป็นกะทำให้เข้ามาใช้บริการได้ตลอด รวมถึงเด็กๆ วัยรุ่นก็ไม่ค่อยนอนกัน ทำให้ตลาดเติบโตได้”
ช่วงเวลาที่คนเข้ามาใช้บริการมากที่สุดจะอยู่ในช่วง 5 โมง – 2 ทุ่ม คิดเป็น 40-50% ของจำนวนสมาชิก แต่ช่วงเวลาดึๆ ก็มีคนเข้ามาใช้บรการเช่นกัน
โดยที่ช่วงเวลา 4 ทุ่ม – ตี 1 มีคนใช้บริการในสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 10% ส่วนช่วงเวลาตี 1 – ตี 4 จะค่อนข้างเงียบ และช่วงตี 5 ก็เริ่มมีคนมาใช้บริการ
จะเห็นได้ว่าการเปิด 24 ชั่วโมงเป็นการรองรับกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย และเพิ่มการแข่งขันทางธุรกิจได้ ถ้าถามว่าการเปิดตลอด 24 ชั่วโมงนี้จะทำให้ค่าบริหารจัดการเพิ่มขึ้นด้วยหรือไม่
ไมค์ได้บอกว่า การเปิด 24 ชั่วโมง จะมีลูกค้าเยอะในช่วงพีคไทม์ แต่เปิดเวลาที่มากขึ้นก็สามารถรองรับลูกค้าได้มากขึ้นเช่นกัน ทำให้มีรายได้ที่เพิ่มขึ้น แต่ก็ได้มีการมองหาเรื่องความคุ้มค่าอื่นๆ เช่น เรื่องการประหยัดพลังงาน ทำให้ได้กำไรเพิ่มขึ้น สามารถรันธุรกิจได้
ช่องว่างในตลาดยังมีอีกมากJetts 24 Hour Fitness ได้เข้ามาทำตลาดที่ไทยเป็นแห่งแรกในภูมิภาคเอเชีย เพราะมองเห็นการเติบโตของตลาดฟิตเนส ถึงแม้จะมีการแข่งขันสูง แต่ว่ายังมีโอกาส และช่องว่างในตลาดอยู่มาก เพราะการเข้าถึงฟิตเนสของคนกรุงเทพฯ ยังน้อยมากไม่ถึง 5% เมื่อเทียบกับเมื่อใหญ่ๆ อย่าง นิวยอร์ก ลอนดอน ซิดนีย์มีอัตราเข้าถึงฟิตเนสถึง 10-15% จึงเป็นโอกาสในการขยายฐานลูกค้า และเข้าถึงลูกค้าได้อีกมาก
การมาของ Jetts 24 Hour Fitness ได้วางจุดยืนอยู่ในระดับพรีเมี่ยมแมส มองเห็นช่องว่างของตลาดระดับกลางที่ยังไม่มีผู้เล่นมากนัก เพราะฟิตเนสในไทยส่วนใหญ่จะอยู่ตลาดบนที่มีราคาค่าสมาชิกเฉลี่ย 2,000 บาท/เดือน ขึ้นไป หรือเป็นระดับล่างที่ราคาอยู่ที่ 1,000 บาท/เดือนไปเลย
จึงเจาะตลาดตรงกลางที่มีราคาค่าสมาชิก 1,500 บาท/เดือน พ่วงด้วยการเปิด 24 ชั่วโมง และไม่มีสัญญาผูกมัด ไมค์มองว่าจะเป็นจุดแข็งที่สร้างความแตกต่างในตลาดได้
“การกำหนดราคา 1,500 บาท/เดือน เป็นราคาที่หลายคนเข้าถึงได้ คนทุกระดับจ่ายได้โดยไม่เสียดายเงิน และมีอุปกรณ์ชั้นนำ ลูกค้าคุ้มค่า ไม่มีสัญญา ไม่มีเงื่อนไขผูกมัด เป็นสิ่งสำคัญในตลาดฟิตเนส”
หาโลเคชั่นให้โดนใจ เป็นความท้าทายที่สุดเมื่อเปิดเป็นโมเดล 24 ชั่วโมง และเพิ่งเข้ามาทำตลาดได้ไม่นาน แน่นอนว่ายังเหลือพื้นที่ให้ Jetts 24 Hour Fitness จับจองในการทำตลาดไม่เยอะมาก ย่งในห้างสรรพสินค้าที่โดนผู้เล่นรายใหญ่อย่าง Fitness First และ Virgin Active ผูกขาดไปแล้วด้วย
การหาโลเคชั่นในการขยายสาขาจึงเป็นอีกหนึ่งความท้าทาย เพราะต้องหาโลเคชั่นที่ต้องรันธุรกิจ 24 ชั่วโมงได้ด้วย Jetts 24 Hour Fitness จึงเลือกเจาะคอมมูนิตี้มอลล์ อาคารสำนักงานต่างๆ คอนโดมีเนียม ไม่จำเป้นต้องไปกับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ใช้พื้นที่เฉลี่ย 600-1,000 ตารางเมตร
ส่วนอีกหนึ่งความท้าทายของ Jetts 24 Hour Fitness นั้น หวังที่จะครองส่วนแบ่งตลาด 50% ในตลาดฟิตเนส 24 ชั่วโมงต่อไปเรื่อยๆ เพราะถือว่าเป็นผู้บุกเบิกรายแรกๆ ของตลาด มีการขยายสาขาต่อเนื่อง ปีหน้าตั้งเป้าจะมี 20 สาขา และเริ่มขยายไปนอกต่างจังหวัด ตั้งเป้าครบ 100 สาขาภายใน 5 ปี
สรุปตลาดฟิตเนสเริ่มมีสีสันขึ้นมาอีกคัร้งหลังจากที่มีการแข่งขันโดยผู้เล่นรายใหญ่ และผู้เล่นโลคอลไปเลย การที่มีโมเดลใหม่อย่าง 24 ชั่วโมงเข้ามา ยิ่งเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคมากขึ้น ทำให้รายใหญ่ก็ต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับการแข่งขันตรงนี้เช่นกัน
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
หลังจากที่ iPhone Xs ได้เปิดขายเมื่อวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา ทีมงาน MacThai ก็ได้เครื่องมาทดสอบทั้ง iPhone Xs และ iPhone Xs Max ซึ่งเราได้เขียนรีวิวอย่างละเอียด ทั้งเรื่องของความสามารถและการถ่ายภาพด้วยกล้องใหม่ตัวนี้
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีหลายคนที่ลังเลและอยากรู้เรื่องของการใช้งานในชีวิตจริง ซึ่งวันนี้เราเลยอยากจะแชร์จากประสบการณ์ที่ใช้งาน iPhone Xs Max มานานกว่าเดือน ให้ได้ลองชมกัน
-> สั่งซื้อ iPhone Xs, Xs Max และ iPhone Xr ผ่าน Apple Online Store
อ่านเพิ่ม – รีวิว iPhone Xs, Xs Max สุดหรู พร้อมฟีเจอร์อัดเต็ม
แม้ผมจะเคยซื้อไอโฟนมาตั้งแต่รุ่นแรก จนถึงรุ่นล่าสุด แต่ก็ไม่เคยต้องควักเงินในราคาครึ่งแสนขนาดนี้เพื่อมาซื้อไอโฟนเครื่องเดียว แน่นอนด้วยความแพงระดับนี้ ความคาดหวังก็ย่อมสูงตามไปด้วย
ในแง่ความหรูหรา ก็ต้องบอกเลยว่า iPhone Xs Max นั้นอัดแน่นไปด้วยสิ่งที่ใครหลายคนต้องการ ไม่ว่าจะเป็น
เชื่อว่าหลายคนที่เลือกซื้อไอโฟน ก็มักจะเลือกรุ่นท็อปที่สุดก่อน เพราะเราก็ไม่ได้เปลี่ยนมือถือกันบ่อยๆ จ่ายทั้งทีก็เอาให้เต็มที่ เพราะงั้นการเปรียบเทียบ iPhone Xs Max ในแง่ความหรู ดูพรีเมียม ก็ต้องบอกเลยว่านี่คือดีที่สุดในตอนนี้แล้ว
แต่จะคุ้มเงินครึ่งแสนไหม ? อันนี้ก็ต้องถามใจคุณเอง เพราะถ้าจะเอาคุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ ผมว่า iPhone Xr น่าจะตอบโจทย์กว่าไหม
iPhone ที่จอใหญ่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่ใช่ว่าดีเสมอไปสิ่งที่เราคาดหวังกับ iPhone Xs Max แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องของขนาดจอที่ใหญ่ ซึ่งก็ต้องบอกเลยว่าของเค้าใหญ่จริงๆ จอ iPhone Xs Max ใหญ่ที่สุดตั้งแต่เคยมีไอโฟนมา
คุณจะรักการดู Netflix, YouTube, ภาพ และคลิปในเครื่องนี้มาก รวมถึงการเล่นเกมที่เต็มตา จอสวย เสียงรอบทิศทางสุดๆ
แต่ด้วยความใหญ่ของเครื่อง ก็ทำให้การถือจับทำได้ลำบาก แม้ขนาดเครื่องจริงๆ แล้วจะเท่ากับ iPhone 8 Plus, 7 Plus ก็ตาม (ขนาดเครื่องเท่ากัน แต่จอใหญ่กว่าเพราะเต็มสุดขอบ)
ผมไม่สามารถใช้งานมือเดียวบน iPhone Xs Max ได้เลย โดยเฉพาะการลากนิ้วจากขอบบนของเครื่องลงมา เพื่อดู Notification หรือ Control Center ทำได้ยากมากจริงๆ เพราะนิ้วเราไปไม่ถึงจุดนั้น นอกจากใช้งาน 2 มือ
อีกเรื่องคือตัวขอบของเครื่องที่เป็นสแตนเลสสตีล แม้จะหรูหราสวยงาม แต่ก็เป็นรอยนิ้วมือได้ง่าย แถมพอใส่ในกระเป๋ากางเกงทุกวัน ผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ก็มีรอยขีดๆ ให้เห็นบ้างแล้ว
สิ่งที่เป็นจุดอ่อนมาโดนตลอดของไอโฟน ในความเห็นของผมมี 2 เรื่องคือ แบตหมดไว กับกล้องถ่ายภาพกลางคืนไม่สวย ซึ่งแม้แอปเปิลจะพยายามพัฒนาเรื่องนี้มาโดยตลอด แต่ถ้าเทียบกับคู่แข่งแล้วก็ยังตามในบางเรื่อง
แต่กับ iPhone Xs Max ผมว่า 2 เรื่องนี้สู้ได้ไม่แพ้ใครเลยแหล่ะ
จากการใช้งานทุกวันตลอด 1 เดือน ผมพบว่าแบต iPhone Xs Max อึดมากจริงๆ ผมเล่นเกม, เล่น Social Media, โทรศัพท์, ใช้งานตลอดทั้งวัน กลับบ้านแบตยังเหลือ 15-20%
แบตสำรองที่เคยพกต้องหยิบมาชาร์จ iPhone X บ่อยๆ ในปีที่แล้ว ตอนนี้แทบไม่ได้ใช้เลย ตามข่าวคือแบต iPhone Xs Max อึดชนะ Galaxy Note 9 เสียด้วยซ้ำ
ในส่วนของกล้องถ่ายภาพก็ต้องขออวยตรงๆ อีกว่าเลนส์ของไอโฟนรุ่นนี้ทำมาได้ดีขึ้นมากในการถ่ายกลางคืนจริงๆ คือถ้าเทียบภาพในช่วงกลางวัน ผมไม่ได้รู้สึกต่างจาก iPhone X เท่าไหร่
แต่พอถ่ายกลางคืน หรือที่แสงน้อย เราสามารถหยิบ iPhone Xs Max ขึ้นมาถ่ายได้ไม่อายใครเลย (แนะนำชมคลิป)
แต่ถึงอย่างนั้น กับชิป A12 Bionic ที่แอปเปิลคุยว่าเร็วกว่าเดิมมากนั้น เราแทบจะไม่รู้สึกว่าเร็วขึ้นสักเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะถ้าคุณใช้ iPhone X หรือ iPhone 8 ก็แทบจะหาแอปที่ทำให้เครื่องช้าไม่ได้เลย
เพราะงั้นเราก็คงต้องรอว่าจะมีแอปที่ทำมาเพื่อความไวระดับ A12 หรือไม่ ? แต่ถ้าถามในตอนนี้ ยังไม่พบสักเท่าไหร่
ถ้าถามว่าจริงๆ แล้ว iPhone Xs Max เหมาะกับใคร ? อันนี้จริงๆ ผมเชื่อว่าถ้าใครจะควักเงินครึ่งแสนเพื่อไอโฟนหนึ่งเครื่อง อารมณ์น่าจะมาก่อนเหตุผลอยู่พอสมควร (และความวู่วามในจิตใจ 555)
ใช่ครับ มันสวยจริง ดีจริง และใช้งานได้ประทับใจจริง
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่พร้อมจะจ่ายขนาดนั้น แม้จะมีโปรผ่อน 0% 10 เดือน ออกมาให้เลือกก็ตาม ผ่อนเดือนละ 4,000-5,000 บาท ก็เหนื่อยอยู่นะ
อีกเรื่องคือถ้าคุณชอบการใช้งานไอโฟนด้วยมือข้างเดียว โดยเฉพาะคนที่ใช้ iPhone X อยู่ ก็อยากให้ลองไปจับใช้ iPhone Xs Max ของจริงดูก่อน เพราะการใช้งานมือเดียวของคุณจะหายไปเยอะเลย
แต่ถึงอย่างนั้น พอเวลาผ่านไป 1 เดือน ผมก็พบว่าตัวเองไม่สามารถกลับมาใช้มือถือที่จอเล็กได้อีกแล้วเหมือนกัน คือด้วยความที่จอมันใหญ่มากๆๆๆๆ พอเราไปจับรุ่นอื่นๆ ที่จอเล็กกว่า จะรู้สึกขัดใจไปหมดในการใช้งาน
คำแนะนำสุดท้ายแบบสั้นๆ คือ
“เจ็บแต่จบ” อาจจะเหมาะกับ iPhone Xs Max ในความเห็นทีมงาน
เรียบเรียงโดย
ทีมงาน MacThai
The post แชร์ประสบการณ์ 1 เดือนกับ iPhone Xs Max ข้อดี ข้อเสีย เหมาะหรือไม่เหมาะกับใครบ้าง ? appeared first on Macthai.com.
สังคมไร้เงินสดยังคงเป็นเทรนด์ที่เติบโตไปทั่วโลก เพราะช่วยให้สะดวกสบายทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ในรัสเซียเองด้วย ทั้งภาครัฐและเอกชนก็ยังคงพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อเร่งการเติบโตในส่วนนี้ให้มากยิ่งขึ้น
วันนี้ Brand Inside จะพาไปสำรวจตลาด cashless ในรัสเซีย โดยนำบทความจาก Computer Weekly มาให้ความเห็นเพิ่มเติมกัน
Sberbank ผู้ให้บริการเงินกู้รายใหญ่ของรัฐบาลรัสเซียแสดงผลการสำรวจเรื่องสังคมไร้เงินสดในรัสเซีย ซึ่งตอนนี้ถือว่าบูมมาก และดูมีทีท่าว่าเทรนด์นี้จะยังคงเติบโตต่อไป โดยคนที่ทำงานสายธนาคารต่างก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เพราะมีเทคโนโลยีใหม่ที่ตอบโจทย์ cashless ได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ
จากผลสำรวจของ Sberbank เผยว่า ในปี 2017 ส่วนแบ่งของการจ่ายเงินแบบไม่ใช้เงินสดในรัสเซียทั้งหมดโดยรวมอยู่ที่ 39% จากปี 2008 ที่ยังอยู่เพียง 4% และพอมาถึงในปี 2018 มีส่วนแบ่งถึง 45% ซึ่งนับว่ารัสเซียมีการเติบโตของ cashless ค่อนข้างน่าประทับใจ
Sberbank ระบุว่า ตอนนี้มีเครื่อง POS กว่า 2.3 ล้านเครื่องที่รองรับบัตรเครดิตที่ร้านค้าปลีกกว่า 1.6 ล้านแห่ง ซึ่งหากเทียบกับช่วงก่อนปี 2010 พบว่าระบบจ่ายเงินแบบ cashless มักจะถูกจำกัดไว้ที่เมืองใหญ่ในประเทศ ในขณะที่ตอนนี้แทบไม่มีความต่างกันเลยไม่ว่าจะเป็นเมืองใหญ่หรือเมืองเล็ก
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
หรือว่าจะถึงตอนอวสานของเชนร้านกาแฟในเกาหลีใต้ ปีที่ผ่านมาพบว่า มีร้านกาแฟท้องถิ่นปิดตัวไปไม่ต่ำกว่า 10% ทั้งประเทศ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยุคนี้ใครๆ ก็สนใจมาเล่นในตลาดกาแฟ อย่างร้านอาหารกับร้านสะดวกซื้อก็ลงมาเล่นกันสนุกสนาน
ตามรายงานของ Korea Herald ระบุว่า ตลาดร้านกาแฟแฟรนไชส์ในเกาหลีใต้ได้เข้าสู่จุดอิ่มตัว และได้ทยอยปิดตัวสาขากันไปไม่น้อย คิดเป็นตัวเลขไม่ต่ำกว่า 1,000 แห่ง โดยตัวเลขร้านกาแฟแฟรนไชส์ในเกาหลีใต้มีทั้งหมดกว่า 11,198 แห่ง
Lee Kyung-hee ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันวางแผนกลยุทธ์ธุรกิจในเกาหลีใต้ บอกว่า สถานการณ์ของตลาดกาแฟในเกาหลีใต้เรียกได้ว่าเป็น “สงครามกาแฟ” (coffee war) เพราะนอกจากเชนร้านกาแฟที่เปิดสาขากันอย่างนับไม่ถ้วน ในด้านของ “บรรดาร้านอาหารและร้านสะดวกซื้อ ต่างก็เอาเมนูเครื่องดื่มกาแฟเข้ามาขายในร้าน ไม่เว้นแม้แต่ในออฟฟิศยุคนี้ ก็ต้องมีเครื่องชงกาแฟไว้ให้พนักงานกันแล้ว สงครามกาแฟในเกาหลีใต้รุนแรงมากจริงๆ”
ภาพของการขายกาแฟในร้านสะดวกซื้อ อาจเทียบได้กับบ้านเรา อย่างในเซเว่น อีเลฟเว่นที่ขายกาแฟสดในราคาที่สามารถแข่งขันกับร้านกาแฟท้องถิ่นได้ ส่วนในเกาหลีใต้จากข้อมูลเปิดเผยว่า กาแฟในร้านสะดวกซื้อมีราคาไม่เกิน 1,000 วอนหรือไม่ถึงถึง 1 ดอลลาร์ด้วยซ้ำ ด้วยราคาที่ต่ำขนาดนี้จึงไม่แปลกที่จะทำให้ร้านกาแฟท้องถิ่นอยู่ยาก
รายแรกคือ Cafe Droptop เชนร้านกาแฟท้องถิ่นในเกาหลีใต้ที่ก่อตั้งมา 7 ปีแล้ว
ถ้าดูจากจำนวนสาขาของ Cafe Droptop ทั่วประเทศมีทั้งหมด 240 สาขา ถือว่าแข็งแกร่งในระดับหนึ่ง (ถ้าไม่นับแบรนด์ต่างชาติอย่าง Starbucks ที่มีมากกว่า 1,000 สาขา) แต่ทั้งนี้ด้วยการแข่งขันจากรอบทิศทางในช่วงรอบปีที่ผ่านมา ทำให้เชนร้านกาแฟท้องถิ่นรายนี้ต้องปลดพนักงานออกไปกว่า 1 ใน 5 เพื่อลดต้นทุนของบริษัทให้สามารถแข่งขันในตลาดได้ต่อไป
ส่วนอีกรายคือ Caffe Bene เชนร้านกาแฟรายนี้ออกอาการหนักหนาสาหัส เพราะเพิ่งยื่นต่อศาลเพื่อขอคุ้มครองการล้มละลายไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
ที่มา – Inside Retail
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
จากข่าวประเทศเวเนซุเอล่าเงินเฟ้อพุ่งสูงกว่าล้านเปอร์เซ็นต์ ทำให้ค่าอาหารและของใช้ก็แพงขึ้นไปด้วย ทำให้คนในประเทศเขาหันไปใช้เงินสกุลอื่นๆ เพื่อลดความfผันผวน แล้วไทยเราที่เงินเฟ้ออยู่ที่ 1% จะเจอเรื่องอะไรแบบนั้นไหม?
Brandinside มีโอกาสคุยกับ จิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย บอกว่าเงินเฟ้อคือ ตัววัดราคาสินค้าโดยเฉลี่ย ซึ่งรวมทั้งอาหาร ที่อยู่อาศัย ยา ปัจจัยสี่ ราคามือถือ ฯลฯ จะเห็นว่าเงินเฟ้อเกี่ยวข้องกับชีวิตเราโดยตรง (ส่วนหนึ่งเงินเฟ้อจะทำให้มูลค่าเงินลดลง เช่น มีเงิน 1 ล้านบาทในวันนี้ ถ้าเงินเฟ้อปีละ 3% ในอีก 20 ปีข้างหน้าเงินจะเหลือมูลค่าแค่ 5 แสนบาท)
อย่างปัญหาคือถ้าเงินเฟ้อสูง คนจะไล่ซื้อของตุนไว้ก่อน เพราะกลัวของแพง ส่งผลต่อเศรษฐกิจชะลอตัว ดังนั้นธนาคารกลางก็ขึ้นดอกเบี้ยเพื่อดึงให้คนอยากออมเงิน ลดการเก็งกำไร
ขณะเดียวกันถ้าราคาสินค้าต่ำมาก ราคาไม่ขึ้น ธนาคารกลาง หรือแบงก์ชาติของแต่ละประเทศต้องลดดอกเบี้ยลง เพื่อให้คนคิดว่าฝากเงินแล้วได้น้อย ไปลงทุนอย่างอื่นดีกว่า ให้มีเงินไปหมุนเวียนเศรษฐกิจ
ตัวเลขเงินเฟ้อจะสะท้อนสภาวะของตลาด ซึ่งธนาคารกลางแต่ละประเทศ หรือ แบงก์ชาติ จะเป็นคนกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งเกิดมาเพื่อป้องกันเงินเฟ้อที่ต่ำหรือสูงเกินไป หลักๆ คือต้องการสร้างสมดุลในระบบเศรษฐกิจ
อย่างตอนนี้ไทยเราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำที่ 1% แต่ถ้าดูประเทศอื่นๆ อย่างตุรกีที่มีปัญหาทั้งเศรษฐกิจในประเทศ ค่าเงิน นอกจากนี้ยังนำเข้าสินค้าพลังงานเยอะ ปัจจุบันเงินเฟ้อพุ่งไปแตะ 20% แล้วก็แสดงว่าราคาสินค้าทั่วไปเพิ่มขึ้น 20%
หรือด้านสหรัฐฯ เงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 2% เพราะเศรษฐกิจเขาดูดี ทำให้เราเห็นออกข่าวดีๆ เพื่อทำให้คนในประเทศกล้าใช้เงินมากขึ้น ขณะเดียวกันด้านผู้ประกอบการ ถ้าเจอกับภาวะเงินเฟ้อต่ำก็จะได้รับผลกระทบที่ไม่สามาราถตั้งราคาสินค้าแพงได้ เพราะในตลาดกำลังซื้ออยู่ในระดับต่ำ ไม่มีใครขึ้นราคาสินค้าได้
เงินเฟ้อควรจะเหมาะสม คิดง่ายๆว่าเงินเดือนเราควรขึ้นปีละกี่เปอร์เซนต์ ความคิดเห็นส่วนตัวผมมองว่าไทยเรา เงินเฟ้อควรจะอยู่ที่ 2-3% ถือว่าโอเคแล้ว
แต่ไทยเราทั้งที่อัตราเงินเฟ้อต่ำ แต่ค่าอาหาร ฯลฯ ยังเพิ่มขึ้นมีความเป็นได้ 3 ทาง คือ 1. มีคนที่รายได้เยอะขึ้น 2. ต้นทุนสูงขึ้น 3. เขาอยากได้กำไรมากขึ้น บางครั้งเราต้องประเมินว่ารอบตัวเราเขารวยขึ้นแล้วทำไมมีแต่เราที่เราจนอยู่คนเดียว?
อย่างไรก็ตามภาวะเงินเฟ้อถือว่าดีกว่าภาวะเงินฝืด เพราะถ้าอัตราเงินเฟ้อติดลบ จะควบคุมได้ยาก รัฐจะสร้างปัจจัยให้เงินเฟ้อกลับขึ้นมาก็ยาก อย่างประเทศญี่ปุ่นเจอปัญหาเงินฝืดมา 10 ปีกว่า (ส่วนหนึ่งเพราะสังคมสูงวัย คนเลยไม่ใช้เงิน) ทำให้เศรษฐกิจเขาไม่ดี จะเห็นว่าอัตราเงินเดือนเขาเท่าเดิมตลอดเดิม
สรุปเงินเฟ้อสำหรับภาครัฐ เขาต้องดูแลเพื่อควบคุมระบบเศรษฐกิจ ในส่วนผู้ประกอบการก็เป็นการดูความสามารถในการทำการค้า เช่น จะขึ้นราคาสินค้าได้ไหม? ส่วนประชาชนอย่างเราถ้าเงินเฟ้อไม่สูงเกินไปและไม่ต่ำเกินไปก็ทำให้เราเห็นทิศทางว่าเงินเดือนจะขึ้น! เศรษฐกิจดี ถึงข้าวของราคาสูงขึ้น แต่เราก็มีเงินจ่าย ทว่าอย่าลืมว่าเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นทุกปีเงินที่เราเก็บไว้ก็ต้องแบ่งไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อ และให้พอใช้ในอนาคตด้วย
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
Phil Schiller ผู้บริหาร Apple ได้ให้สัมภาษณ์และเผยว่าทำไม iPhone XR ต้องใช้ “R” และทำไมใช้จอแสดงผลเพียง 720p มาชมสรุปกัน
ทำไม iPhone XR ต้องใช้ “R”Phil Schiller เผยว่าการที่ Apple ใช้ชื่อย่อตามหลังชื่อรุ่น iPhone นั้นไม่ได้เป็นตัวย่อมาจากคำใดๆ เป็นเพียงการใส่ชื่อรุ่นให้น่าสนใจเท่านั้น เช่น iPhone 4s ที่หลายคนบอกว่าเป็น “Siri” iPhone ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ได้ย่อมาจากคำนั้น
Phil Schiller อธิบายว่าส่วนตัวเขาชอบรถสปอร์ตมาก iPhone XS, iPhone XR ก็เหมือนกัน ตัวอักษร “S”, “R” นั้นเหมือนชื่อรุ่นของรถสปอร์ตที่บอกว่ารถรุ่นนี้มีความพิเศษซึ่งก็เหมือนกับ iPhone XS, iPhone XR นั่นเอง
ทำไม iPhone XR ใช้จอแสดงผลเพียง 720pส่วนเรื่องความละเอียดจอของ iPhone XR ที่มีความละเอียด 1792×828 แสดงผลเพียง 720p ซึ่งเป็นที่พูดถึงกันมากเพราะจอแสดงผลไม่ละเอียดเท่า iPhone X, iPhone 8
Phil Schiller อธิบายว่า เรื่องความละเอียดจอนั้นเราใช้สายตามาตัดสินไม่ได้ ซึ่ง iPhone XR นั้นมีความละเอียดต่อจุดสูงถึง 330ppi ซึ่งสายตาของมนุษย์ทั่วไปแยกแยะไม่ออก
Phil Schiller เผยเพิ่มเติมอีกว่า iPhone XR นั้นไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อเจาะกลุ่มตลาดใดตลาดหนึ่ง แต่เป็นเรื่องการนำเทคโนโลยีของ iPhone X มาให้ลูกค้ากลุ่มใหญ่ได้สัมผัสประสบการณ์ได้มากขึ้น
ที่มา – 9to5mac
The post Phil Schiller เผยทำไม iPhone XR ต้องใช้ “R” และทำไมใช้จอแสดงผลเพียง 720p appeared first on iPhoneMod.
โหมดห้ามรบกวนใน iOS 12 ได้มีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่มากมายที่ช่วยอำนวยความจะดวกและเหมาะสมกับการใช้งาน เช่น โหมดห้ามรบกวนขณะนอนหลับ ห้ามรบกวน 1 ชั่วโมง หรือห้ามรบกวนจนกระทั่งตอนเย็น เป็นต้น และอีกหนึ่งคุณสมบัติที่ทีมจะแนะนำวันนี้คือการตั้งค่าโหมดห้ามรบกวนตามกิจกรรมที่สร้างไว้ในปฏิทินใน iOS 12
โหมดห้ามรบกวนตามกิจกรรมที่สร้างไว้ในปฏิทินใน iOS 12 จะทำงานร่วมกับการสร้างกิจกรรมในปฏิทินที่มีการกำหนดเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุด โหมดห้ามรบกวนก็จะแสดงให้เลือกตามเวลาที่กำหนดกิจกรรม
วิธีตั้งค่าโหมดห้ามรบกวนตามกิจกรรมที่สร้างไว้ในปฏิทินใน iOS 12ก่อนอื่นเราต้องสร้างกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นในแอปปฏิทิน (Calendar) ก่อน
ไปที่แอปปฏิทิน (Calendar) > แตะไอคอนบวก (+) เพื่อเพิ่มเหตุการณ์หรือกิจกรรม > สร้างกิจกรรมด้วยการตั้งชื่อ และกำหนดเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุด > แตะเสร็จสิ้น (Done)
เมื่อเราสร้างกิจกรรมในปฏิทินเรียบร้อยแล้ว เมื่อถึงเวลาที่กำหนด เช่น เราสร้างกิจกรรมว่ามีประชุม 9.30 น. เมื่อถึงเวลา 9.30 น. ก็สามารถเปิด Control Center ขึ้นมา > แตะที่ไอคอนโหมดห้ามรบกวน > เราก็จะเห็นตัวเลือกการเปิดโหมดห้ามรบกวนตามเวลาที่เราตั้งค่ากิจกรรมไว้ ก็สามารถแตะเพื่อเปิดได้เลย
เมื่อสิ้นสุดเวลาของกิจกรรมจริงๆ โหมดห้ามรบกวนก็จะปิดให้อัตโนมัติ
การเพิ่มตัวเลือกกิจกรรมในปฏิทินที่ผนวกเข้ากับโหมดห้ามรบกวนใน iOS 12 มีประโยชน์มากๆ สำหรับคนที่ต้องมีนัดสำคัญหรือต้องประชุม ซึ่งอาจจะต้องหลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์ ดังนั้นเวลาที่ต้องเปิดโหมดห้ามรบกวนในเวลาจำเป็น ก็สามารถทำได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องเข้าไปในส่วนการตั้งค่า
The post วิธีตั้งค่าโหมดห้ามรบกวนตามกิจกรรมที่สร้างไว้ในปฏิทินใน iOS 12 appeared first on iPhoneMod.
Apple ได้ ปิดประตู Downgrade กลับไป iOS 12 แล้ว โดยผู้ใช้จะไม่สามารถ Downgrade, Signing หรือ Restore กลับไปยัง iOS เวอร์ชันดังกล่าวได้
ปิดประตู Downgrade กลับไป iOS 12Apple ทำการปิดประตู Downgrade กลับไป iOS 12 การปิดประตู Downgrade จะทำให้ผู้ใช้ ไม่สามารถ Downgrade, Signing, Restore หรือติดตั้ง Firmware iOS 12 ได้ โดยผู้ใช้จะสามารถใช้ iOS 12.0.1 เป็นเวอร์ชันล่าสุดในตอนนี้ (23 ต.ค. 2561)
นั่นหมายความว่าผู้ใช้ iPhone, iPad จะไม่สามารถ Downgrade กลับไปหรือติดตั้ง iOS 12 ได้อีก โดยถือว่าเป็นเรื่องปกติที่ Apple จะผลักดันให้ผู้ใช้ใช้งาน iOS เวอร์ชันใหม่ซึ่งในตอนนี้คือ iOS 12.0.1 นั่นเอง
สำหรับ iOS 12.0.1 นั้นมาพร้อมการอัปเดตแก้ไขปัญหาของ iPhone XS เป็นหลัก และใน iOS 12 ก็มีปัญหาการใช้งานหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น ChargeGate, การรับสัญญาณ LTE และอื่นๆ ดังนั้นเราขอแนะนำให้ผู้ใช้อัปเดตเป็น iOS เวอร์ชันล่าสุดจะดีที่สุด
The post Apple ปิดประตู Downgrade กลับไป iOS 12 แล้ว appeared first on iPhoneMod.
หลังจากที่เปิดให้สั่งซื้อ iPhone XR ล่วงหน้าไปแล้วนักวิเคราะห์เผยว่าผู้ซื้อให้ความสนใจและมีความต้องการมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ และสูงกว่าตอน iPhone 8 เปิดขาย
ความต้องการ iPhone XR สูงกว่า iPhone 8 / 8 Plus ในช่วงเปิดขายแรกๆ (นักวิเคราะห์)Ming-Chi Kuo เผยว่าความต้องการ iPhone XR จากผู้ซื้อเมื่อวัดในช่วงสั่งของล่วงหน้าพบว่ามีความต้องการสูงมาก สูงกว่าช่วง iPhone 8, 8 Plus ในช่วงเปิดขายแรกๆ
Kuo เผยว่า iPhone XR นั้นยังมีความต้องการน้อยกว่า iPhone XS ในช่วงแรกๆ และความต้องการ iPhone XR จะสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป
Kuo เผยว่าจำนวนสั่งซื้อที่ Apple.com นั้นบอกอะไรไม่ได้ทั้งหมด เพราะผู้ซื้อหลายกลุ่มก็ซื้อ iP่hone ผ่านช่องทางอื่นๆ เช่น ค่ายมือถือด้วย ซึ่งการอัปเกรดเป็นรุ่นใหม่ที่มาพร้อมโปรโมชันจากค่ายมือถือนั้นทำได้ง่ายกว่านั่นเอง
จากข้อมูลดังกล่าว Kuo เชื่อว่า iPhone XR จะสามารถสร้างยอดขายได้ดีกว่า iPhone 8 รุ่นปีที่แล้ว และจะยอดจำหน่ายจะอยู่ที่ราวๆ 38 ล้านเครื่องในไตรมาส 4 ปี 2018 ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ 10%
Apple ได้เปิดให้สั่งซื้อ iPhone XR ล่วงหน้าในไทยแล้ว โดยเครื่องสีดำและสีแดง PRODUCT(RED) ได้รับความนิยมมากในไทยและ Apple จะเปิดขาย iPhone XS, iPhone XS Max และ iPhone XR ในไทยอย่างเป็นทางการวันที่ 26 ต.ค. 61 นี้
ที่มา – macrumors
The post ความต้องการ iPhone XR สูงกว่า iPhone 8 / 8 Plus ในช่วงเปิดขายแรกๆ (นักวิเคราะห์) appeared first on iPhoneMod.