หลังจากที่แอปเปิลประกาศเริ่มวางจำหน่าย iPhone XR อย่างเป็นทางการพร้อมกันทั่วโลกในวันศุกร์ที่ 26 ต.ค. ที่จะถึงนี้ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย โดยเปิดให้สั่งจองไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมา
ล่าสุดแอปเปิลได้ปล่อยโฆษณา iPhone XR ชุดใหม่ จำหน่าย 2 ตัวด้วยกัน โดยมีความยาวประมาณ 15 วินาที โดยทั้งสองคลิปนี้ จะโชว์ฟีเจอร์เด็ด ๆ อย่าง Depth Control หรือการปรับความเบลอของพื้นหลังเมื่อทำการถ่าย Portrait mode, รองรับการสแกนใบหน้า Face ID, กันน้ำระดับ IP68 และประสิทธิภาพที่เหนือชั้นของชิป Apple A12 Bionic
สำหรับราคา iPhone XR เริ่มต้นที่ 29,900 บาท ซึ่งมีความจุให้เลือกตั้งแต่ 64, 128 และ 256GB และมีสีให้เลือกทั้งหมดถึง 6 สี ได้แก่ ดำ ขาว แดง ส้ม เหลือ ฟ้า ถ้าใครสนใจสามารถสั่งจองผ่านเว็บ Apple online (TH) ได้แล้ววันนี้
ที่มา – iClarified
The post Apple ปล่อยโฆษณา iPhone XR โชว์การถ่ายหน้าชัดหลังเบลอได้, Face ID, กันน้ำและ ชิป A12 Bionic appeared first on Macthai.com.
สำหรับใครที่เทใจมาทาง iPhone XS Max แต่ก็ยังลังเลว่าจะซื้อดีหรือไม่ ลองชมเหตุผลที่จะช่วยสนับสนุนการตัดสินใจว่า iPhoen XS Max มีจุดเด่นอะไรที่จะทำให้คุณชื่นชอบและอยากใช้
8 เหตุผลที่จะทำให้คุณชื่นชอบและอยากใช้ iPhone XS Max 1. หน้าจอใหญ่ แต่ขนาดเครื่องใกล้เคียงรุ่น Plusนับว่าเป็นครั้งแรกของ Apple ที่ได้เปิดตัว iPhone ที่มีขนาดหน้าจอใหญ่ 6.5 นิ้ว ที่ดูเหมือนว่าขนาดแทบจะใกล้เคียงกับแท็บเล็ตอย่าง iPad mini แต่เมื่อสัมผัสตัวเครื่องแล้ว ขนาดยังคงไม่ห่างกับ iPhone รุ่น Plus อย่าง iPhone 8 Plus หรือ iPhone 7 Plus มากนัก
เนื่องด้วยการดีไซน์หน้าจอที่เต็มขอบจึงทำให้การแสดงผลบนหน้าจอ 6.5 นิ้วมีความใหญ่เต็มตา แต่ตัวเครื่องก็ไม่ได้ใหญ่มากนัก ยังคงเป็นสมาร์ตโฟนที่สามารถพกพาได้สะดวก
2. วัสดุพรีเมี่ยมนอกจากความสวยงามที่เราเห็นกันภายนอกแล้ว วัสดุที่ห่อหุ้มตัวเครื่อง iPhone XS Max ด้านข้างเป็นขอบสแตนเลสสตีลเกรดเดียวกับที่ใช้ทำเครื่องมือศัลยกรรม และผ่านกระบวนการลงสีแบบ PVD เคลือบผิวด้วยไอสารที่ล้ำสมัยให้ความเงางาม
ส่วนกระจกทั้งด้านหน้าและด้านหลังก็มีความแข็งแกร่ง ด้วยเทคโนโลยีจาก Gorilla Glass ให้ความแข็งแรงที่สุด สะท้อนความเงางามบนตัวเครื่อง iPhone XS Max ในทุกๆ สี
3. การแสดงผลบนหน้าจอ Super Retina OLEDจอภาพ Super Retina OLED บน iPhone XS Max เป็นการแสดงผลบนหน้าจอผืนใหญ่ 6.5 นิ้ว ที่มีขอบเขตสีที่กว้าง ถ่ายทอดสีสันได้แม่นยำที่สุด การแสดงผลคมชัด มีการปรับความสว่างและคอนทราสต์ที่โดดเด่น ดูในทิศทางไหนก็สวย ไม่ว่าจะเล่นเกมหรือดูหนัง ก็สัมผัสความคมชัดแบบเต็มอารมณ์
และด้วยความใหญ่ จึงทำให้ส่วนรอยบากนั้นดูเล็กลงและไม่ขัดตาเหมือนกับ iPhone XS หรือ iPhone X ให้ความรู้สึกลืมรอยบากไปได้เลย
ชิพ Bionic A12 ตัวใหม่ล่าสุดที่ติดตั้งใน iPhone XS, iPhone XS Max และ iPhone XR มีขนาดเพียง 7 นาโนเมตร แต่การทำงานทรงพลังที่มีการประมวลผลของ CPU ถึง 6 คอร์ โดยแยก 2 คอร์เป็นการประมวลหนักที่มีความเร็วเพิ่มขึ้นถึง 15% จากชิพ A11 และอีก 4 คอร์จัดการกับงานทั่วไปพร้อมกับลดการใช้พลังงานถึง 50%
นอกจากนี้ยังแยกการประมวลผลของ GPU เพื่อใช้ในการประมวลผลด้านกราฟฟิคอีก 4 คอร์ เร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 50% และในส่วนของการประมวลผล AR ก็มี Neural Engine รุ่นที่ 2 ที่ฉลาดและเร็วสุดขั้วอีกด้วย การใช้งาน iPhone XS Max ไม่มีสะดุดแน่นอน
5. กล้องใหม่ ไฉไลกว่าเดิมใน iPhone XS และ iPhone XS Max ได้ติดตั้งกล้องที่มีเซ็นเซอร์และเลนส์ที่ดีขึ้น รวมไปถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด ด้วยตัวซอฟต์แวร์ที่จะช่วยให้การถ่ายภาพสวยงาม อย่าง Smart HDR ที่มี AI ช่วยปรับรายละเอียดของภาพทั้งไฮไลท์และเงาให้ภาพดูสวยงามมากขึ้น และยังมีการปรับปรุงการถ่ายภาพในที่แสดงน้อยอีกด้วย
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างของซอฟต์แวร์การถ่ายภาพก็คือ Advanc Bokeh และ Dept Control ที่ช่วยทำให้พื้นหลังของภาพละลายได้อย่างสวยงามในภาพหน้าชัดหลังเบลอ ซึ่งตัว Dept Control มีอยู่ใน iPhone ใหม่ทั้ง 3 รุ่น ได้แก่ iPhone XS, iPhone XS Max และ iPhone XR ที่ให้ผู้ใช้สามารถปรับโบเก้พื้นหลังของภาพได้ตามต้องการ
กล้องหน้า TrueDepth ก็แม่นยำมากขึ้น ให้ภาพหน้าชัดหลังเบลออย่างลงตัว และมีระบบ Dept Control คุมระยะชัดลึกด้วยเช่น
ถึงแม้ว่า iPhone XS Max จะมีตัวเครื่องและการแสดงผลบนหน้าจอที่ใหญ่ แต่ก็สามารถใช้งานได้นานเพิ่มขึ้นถึง 1.5 ชั่วโมงเมื่อเทียบกับ iPhone 8 Plus บวกแบตเตอรี่ขนาด 3,174 mAh ที่เป็นแบตที่มีความจุเยอะที่สุดในบรรดา iPhone
รวมถึงการจัดการประสิทธิภาพการใช้พลังงานของ iOS ที่ทำให้ iPhone สามารถใช้งานได้นานถึงแม้แบตเตอรี่จะไม่ได้มีความจุเยอะมากเท่ากับสมาร์ตโฟนรุ่นอื่นๆ
7. กันน้ำมาตรฐาน IP68iPhone XS Max มาพร้อมกับมาตรฐานการกันน้ำ IP68 ตามมาตรฐาน IEC 60529 ที่อยู่ในน้ำได้ลึกไม่เกิน 2 เมตรเป็นระยะเวลาสูงสุด 30 นาที สามารถนำไปใช้ดำน้ำตื้นได้ระยะเวลาที่กำหนด และยังสามารถทนต่อเบียร์ ชา กาแฟ หรือน้ำอัดลมได้อีกด้วย ชมทดสอบ iPhone XS Max มาตรฐาน IP68 โดนน้ำในสถานการณ์ต่างๆ เป็นอย่างไรบ้าง
ระบบ iOS เป็นที่รู้กันดีว่ามี UI ที่ใช้งานง่ายและเป็นมิตรกับผู้ใช้ ไม่ต้องเรียนรู้เยอะ และ iPhone XS Max ก็มาพร้อมกับ iOS 12 ที่เป็น iOS ล่าสุดที่มีการปรับประสิทธิภาพการทำงานให้ดีขึ้น และเมื่อทำงานร่วมกับชิพ Bionic A12, RAM 4GB, Touch Sample Rate 120 Hz และ Neural engines ก็ยิ่งทำการใช้งานลื่นไหลทั้งเร็วและใช้งานง่าย ประทับใจคนใช้ไปอีกนาน
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่จะทำให้คุณชื่นชอบ iPhone XS Max โดยหลักๆ แล้วก็คือความใหญ่ของหน้าจอและแบตเตอรี่ที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ iPhone XS ส่วนเหตุผลอื่นๆ นั้นก็มาพร้อมกับ iPhone XS อยู่แล้ว แต่อาจจะช่วยเปรียบเทียบได้สำหรับคนที่ตัดสินใจว่าจะซื้อ iPhone X, iPhone 8 Plus หรือ iPhone XS Max ก็ลองนำไปพิจารณากันดูนะคะ
สำหรับ iPhone XS, iPhone XS Max และ iPhone XR ก็ได้เปิดจองตั้งแต่วันที่ 19 ต.ค. 61 ที่ผ่านมาสามารถดูโปรโมชันของแต่ละค่ายได้ที่รวมโปรโมชันสั่งจอง iPhone XS, iPhone XS Max, iPhone XR จากทุกค่าย หรือดูช่องทางการสั่งซื้อได้ที่ รวมช่องทางสั่งซื้อล่วงหน้า iPhone XS, iPhone XS Max และ iPhone XR ทุกค่าย
ขอบคุณ idropnews
The post 8 เหตุผลที่จะทำให้คุณชื่นชอบและอยากใช้ iPhone XS Max appeared first on iPhoneMod.
Apple Watch Series 4 ที่แอปเปิลเปิดตัวมาตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมาและจะวางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 พฤศจิกายนนี้ แอปเปิลก็เริ่มมีอุปกรณ์เสริมสำหรับ Apple Watch รุ่นใหม่มากมาย เข้ามาขายบน Apple online (TH) บ้างแล้ว
ล่าสุดแอปเปิลได้เริ่มจำหน่าย สายชาร์จแบบแม่เหล็กเป็น USB-C สำหรับ Apple Watch (0.3 m) แล้ว เพื่อตอบโจทย์สำหรับผู้ใช้ Mac และคนที่ต้องการชาร์จ Apple Watch ผ่านพอร์ต USB-C แล้ว โดยราคาในประเทศไทยอยู่ที่ 1,190 บาท
สำหรับสายชาร์จนี้ถือว่าเป็นสายที่มีความยาวที่สั้นที่สุดที่แอปเปิลขาย ซึ่งปกติแล้วสายชาร์จที่เป็นหัว USB ธรรมดาจะมีถึง 3 ความยาว คือ 0.3, 1 และ 2 เมตร แต่สำหรับสายชาร์จที่เป็นพอร์ต USB-C จะมีเพียงแค่ขนาดเดียวคือ 0.3 เมตร
ถ้าใครสนใจตอนนี้สามารถเข้าไปสั่งซื้อได้แล้วที่ Apple online (TH) จัดส่งฟรี
รายงานโดย
ทีมงาน MacThai
The post Apple เริ่มจำหน่ายสายชาร์จ USB-C สำหรับ Apple Watch ราคาอยู่ที่ 1,190 บาท appeared first on Macthai.com.
สาย Milanese Loop เป็นสินค้าที่ผู้ซื้อในไทยสามารถสั่งซื้อที่ Apple Store Online ไทยได้เลยก่อนที่จะวางขาย Apple Watch Series 4 ในไทยวันที่ 2 พ.ย. 61 นี้
สาย Milanese Loop ใช้คู่กับ Apple Watch Series 4Apple ได้เปิดขายสาย Milanese Loop สำหรับ Apple Watch ในราคา 5,400 บาทที่ Apple Store Online ไทย ซึ่งสายสีทองใช้คู่กับ Apple Watch Series 4 แล้วดูเข้ากันมาก (รีวิวจากต่างประเทศ)
สำหรับสาย Milanese Loop สามารถใช้คู่กับ Apple Watch Series 4 ที่ Apple จะเปิดขายในไทยวันที่ 2 พ.ย. 61 นี้ ใครที่วางแผนจะซื้อ Apple Watch ใหม่ก็ซื้อสายรุ่นใหม่สวยๆ ไปรอกันได้เลย
ดูรายละเอียดและสั่งซื้อ สาย Milanese Loop ที่ Apple Store Online ประเทศไทย จัดส่งสินค้าประมาณ 1 สัปดาห์
The post Apple เปิดขายสาย Milanese Loop ราคา 5,400 บาทใช้คู่กับ Apple Watch Series 4 appeared first on iPhoneMod.
ใน watchOS 5 ได้เพิ่มตัวเลือกการแจ้งเตือนสำหรับการนำทางบนแผนที่ Apple Maps ตามประเภทการเดินทาง เพื่อให้ผู้ใช้ได้เลือกการแจ้งเตือนตามความเหมาะสม
การแจ้งเตือนในการนำทางบน Apple Watch เป็นการแจ้งเตือนแบบสั่น เมื่อต้องเลี้ยวตามแผนที่ จากเดิม watchOS 4 เราจะตั้งค่าการแจ้งเตือนการนำทางแบบรวมทั้งหมดรูปแบบเดียว
แต่ตัวเลือกการแจ้งเตือนในการนำการนำทางบน Apple Maps ใน watchOS 5 ได้แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ การขับรถ, การขับรถด้วย CarPlay และการเดิน สามารถตั้งค่าได้ดังนี้
วิธีตั้งค่าการแจ้งเตือนในการนำทางบน Apple Maps ใน watchOS 5ไปที่แอป Watch บน iPhone > แผนที่ (Maps) > เลือกเปิด-ปิดการแจ้งเตือนในการนำทาง ตามประเภทการเดินทางที่ต้องการ
ผู้ใช้ที่อัปเดตเป็น watchOS 5 แล้วก็สามารถตั้งค่าให้เหมาะสมกับการใช้งานได้ เช่น การขับรถด้วย CarPlay อาจจะไม่จำเป็นต้องเปิดการแจ้งเตือน เนื่องจากเราเชื่อมต่อ iPhone กับ Apple CarPlay ไว้แล้ว สามารถฟังเสียงและดูหน้าจอบนรถยนต์ได้เลย ใครที่ใช้ Apple Maps บน Apple Watch ช่วยในการนำทางบ่อยๆ ก็ลองปรับตั้งค่ากันดูนะคะ
The post วิธีตั้งค่าการแจ้งเตือนในการนำทางบน Apple Maps ใน watchOS 5 appeared first on iPhoneMod.
สื่อต่างประเทศบางรายที่ได้พรีวิว iPhone XR ได้เผยตัวอย่างภาพ Portrait จากกล้องหลังตัวเดียว พบว่า iPhone XR สามารถถ่ายภาพ Portrait ออกมาได้สวยงาม
ภาพ Portrait ที่ถ่ายด้วยกล้องหลังตัวเดียวของ iPhone XRSara Dietschy YouTuber เผยสรุปเบื้องต้นว่า “หากใครไม่ได้สนใจเรื่องกล้องหลัง Telephoto และจอ OLED ถือได้ว่า iPhone XR ไม่ค่อยแตกต่างจาก iPhone XS เลย”
ปกติแล้ว iPhone XS หรือ iPhone ที่ใช้กล้องหลังสองตัวในการถ่ายภาพ Portrait นั้น เลนส์ Telephoto จะจับภาพวัตถุด้านหน้า ส่วนเลนส์ Wide จะจับภาพและเบลอด้านหลัง การที่ iPhone XR ใช้เลนส์ Telephoto แล้วถ่ายหน้าชัดหลังเบลอได้ดีขนาดนี้ก็ถือว่าน่าสนใจมาก
นอกจากนั้น iPhone XR ยังมีฟีเจอร์ Depth Control ให้ผู้ใช้สามารถปรับระดับความเบลอของฉากหลังได้เหมือนกับ iPhone XS
Apple ได้เปิดให้สั่งซื้อ iPhone XR ล่วงหน้าในไทยแล้ว โดยตัวเครื่องสีดำ, สีแดง PRODUCT(RED) ได้รับความนิยมมากในไทยและ Apple, ตัวแทนจำหน่ายและค่ายมือถือในไทยจะเปิดขาย iPhone XR อย่างเป็นทางการในไทยวันที่ 26 ต.ค. 61 นี้
ชมวิดีโอThe post ชมภาพ Portrait ที่ถ่ายด้วยกล้องหลังตัวเดียวของ iPhone XR โดยสื่อต่างประเทศ appeared first on iPhoneMod.
จีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตของการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าเป็นอย่างมาก ประกอบกับที่นี่ยังเป็นตลาดสำคัญของกลุ่ม Volkswagen จึงไม่แปลกที่เบอร์หนึ่งผู้ผลิตรถยนต์โลกจะเปิดโรงงานใหม่เพื่อบุกตลาดนี้เต็มที่
การขยายโรงงานของ Volkswagen นั้นทำขึ้นมาเพื่อรองรับตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศจีนที่เติบโต รวมถึงการสร้างรถยนต์ไฟฟ้าภายใต้แพลตฟอร์ม MEB ของบริษัทที่จะกลายเป็นอนาคตในการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าด้วย แต่เพื่อทำให้มันเต็มรูปแบบ ตัวโรงงานนี้จึงมีกำลังผลิตต่อปีสูงถึง 3 แสนคัน/ปี บนพื้นที่ 6.1 แสนตร.ม.
Herbert Diess ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Volkswagen Group เล่าให้ฟังว่า การลงทุนครั้งนี้ถือเป็นการเดินทางครั้งใหม่ของบริษัท เนื่องจากทำให้ Volkswagen สามารถบุกตลาดจีนที่มีการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี โดยโรงงานที่จีนจะเริ่มผลิตรถยนต์ได้ในปี 2563
“ตัวแพลตฟอร์ม MEB เราไม่ได้เอามาผลิตที่โรงงานจีนเป็นที่แรก เพราะในปี 2562 รถยนต์ไฟฟ้าที่สร้างขึ้นภายใต้แพลตฟอร์ม MEB จะผลิตในโรงงานที่เยอรมันก่อน แต่มันเป็นการผลิตในโรงงานปกติ ต่างกับโรงงานที่จีนที่สร้างขึ้นมาเพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ ผ่านการติดตั้งระบบ และวัสดุต่างๆ เพิ่มเข้ามา”
ส่วนรถยนต์รุ่นแรกที่จะผลิตในโรงงานนี้คือรถยนต์ไฟฟ้าแพลตฟอร์ม MEB แบบ SUV ภายใต้แบรนด์ Volkswagen ส่วนเทคโนโลยีที่แตกต่างจะมีทั้งการใช้ระบบ AI, AR และ VR ในการผลิตรถยนต์ และมีการติดตั้งหุ่นยนต์กว่า 1,400 ตัว เพื่อช่วยให้กาประกอบชิ้นส่วนรถยนต์ รวมถึงแบตเตอรี่ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
อ้างอิง // Electrek
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
ทุกวันนี้การใช้งาน e-wallet ในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มสูงขึ้นมาก แต่จริงๆ แล้วปัญหาของเรื่องนี้อาจเป็นผู้ให้บริการ e-wallet ที่เยอะเกินไปหรือไม่ เพราะปัจจุบัน สิงคโปร์มีผู้ให้บริการ e-wallet ถึง 27 ราย ส่วนมาเลเซียมีมากถึง 40 ราย
Zack Yang ผู้ร่วมก่อตั้ง Fomo Pay ในสิงคโปร์ระบุว่า ในขณะนี้ตลาดพร้อมรับผู้เล่นหน้าใหม่เสมอ แต่เขาก็เชื่อว่า e-wallet นั้นเองกลับสร้างปัญหาให้ผู้ซื้อสินค้าที่ไม่ทราบวิธีการใช้งาน
ปัญหาคือ มันเยอะไปYang กล่าวในงาน China Conference 2018 ของสำนักข่าว South China Morning Post ระบุว่า “เงินสดคือศัตรูร่วม” ซึ่งการจะแก้ปัญหานี้ ผู้ใช้จะต้องสามารถไปใช้บริการที่ร้านค้าไหนก็ได้ และไม่ต้องกังวลว่าจะใช้ wallet เจ้าไหน
ปัจจุบัน Fomo Pay เปิดให้ผู้จำหน่ายสินค้ารับเงินจาก e-wallet หลายเจ้า ไม่ว่าจะเป็น GrabPay, WeChat Pay, Alipay ลูกค้าเพียงแค่สแกนคิวอาร์โค้ดเท่านั้น
ฝั่งร้านค้า Chia Chou Cheong ซีอีโอของ 11street บริษัทอีคอมเมิร์ซของมาเลเซียระบุว่า การจ่ายเงินด้วยมือถือจะได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วถ้ามีคนใช้มันมากขึ้น นั่นคือจะต้องทำให้บริการสู่ยุคดิจิทัลให้มากขึ้นด้วย
Chia กล่าวว่า “นี่คือหนทางใหม่ในการซื้อขายสินค้าอย่างแน่นอน” โดยปัจจุบัน 11street รองรับระบบจ่ายเงินทุกรูปแบบ และเปิดกว้างในการร่วมกับผู้ให้บริการ e-wallet รายต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นการให้บริการกลุ่มคน unbank (กลุ่มคนที่ไม่เข้าถึงบริการธนาคาร) ได้มากขึ้น
Chia เห็นว่าการขาดซึ่งความตระหนักนั้นเป็นอุปสรรคใหญ่สำหรับ e-wallet โดยระบุว่า “เราไม่สามารถบังคับให้ผู้คนใช้มันได้” ซึ่ง Chia คิดว่าการกระตุ้นลูกค้าด้วยส่วนลดและคูปองจะช่วยให้เห็นประโยชน์ของบริการเหล่านี้
หากมองไปที่จีนและเกาหลีใต้แล้ว e-wallet เป็นที่นิยมอย่างมาก แต่ถ้ามองมายังฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริการเหล่านี้กลับไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร เนื่องจากธนาคารและสถาบันการเงินเข้าเล่นในตลาดนี้ค่อนข้างช้า อาจเนื่องจากปัญหาต่าง ๆ ที่ธนาคารถูกควบคุมดูแลมากกว่า
Yang ระบุว่า “ธนาคารอยากทำเหมือนกัน แต่นวัตกรรมต้องใช้เวลา ดังนั้นตอนนี้ความท้าทายคือหาพาร์ทเนอร์ที่จะไปด้วยกันได้”
Mark Tan หัวหน้าฝ่ายการตลาดและการขายของ TNG Digital ผู้ให้บริการ mobile wallet ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของ Touch n’ Go จากมาเลเซีย และ Ant Financial ของ Alibaba ระบุว่า ตอนที่ใช้เงินสดในจีน “ผมรู้สึกเหมือนเอเลี่ยน” เพราะทุกวันนี้ไม่มีใครถือเงินสดไป ๆ มา ๆ และจ่ายด้วย e-wallet กันมานานแล้ว
TNG Digital จะศึกษาโมเดลของจีนเพื่อนำมาปรับใช้กับมาเลเซีย ปัจจุบันระบบ e-wallet ของ TNG Digital ใช้กับระบบขนส่งมวลชน และตอนนี้ทางบริษัทกำลังหา use case เพิ่มเติม อย่างเช่นจ่ายเงินค่าจอดรถ
Tan ระบุว่า “เรามีผู้ให้บริการ e-wallet ที่มีใบอนุญาตกว่า 40 รายในมาเลเซียตอนนี้ และต่างคนต่างก็ผลาญเงินเพื่อดึงคนมาใช้บริการให้ได้” ซึ่ง Tan ยังคงเชื่อมั่นใจศักยภาพของการจ่ายเงินดิจิทัล โดยเฉพาะลูกค้าที่ไม่มีบัญชีธนาคาร และกลุ่ม B40 ของมาเลเซีย (คือกลุ่มที่มีรายได้ต่อครัวเรือน 940 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือต่ำกว่า) เพราะพวกเขาจะนำเงินเข้า e-wallet ได้ง่าย เพียงไปร้านสะดวกซื้อหรือสถานีบริการน้ำมัน จากนั้นก็ใช้ e-wallet กับบริการออนไลน์ได้เลย โมเดลนี้เรียกว่า prepay-and-use ซึ่งตอนนี้ทาง TNG Digital กำลังจะขยายส่วนนี้ด้วย
Chia บอกว่า ในฝั่งของ 11street นั้น “เรายินดีต้อนรับ e-wallet ทุกเจ้าเพราะว่าทุกคนมากับเงินเพื่อกระตุ้นและทำการตลาดเพื่อโปรโมตให้ลูกค้า แต่เราก็ค่อนข้างเลือกอย่างระมัดระวัง สิ่งสำคัญที่สุดคือประสบการณ์ผู้ใช้ขณะใช้งาน” และ Chia ให้ความเห็นว่า มีเพียงผู้ให้บริการที่คนใช้ติดเท่านั้นที่จะอยู่รอด และการจะควบกิจการและรวมบริการเข้าด้วยกันนั้นท้ายที่สุดก็จะต้องเกิดขึ้นกับธุรกิจระบบจ่ายเงินอย่างเลี่ยงไม่ได้
Stephan Neumeier ผู้จัดการทั่วไปของ Kaspersky Lab เอเชียแปซิฟิกระบุว่า “ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ตลาดนี้เป็นแบบ self-regulate และผู้บริโภคก็จะตัดสินใจว่าจะใช้อะไร ใครที่ไม่ได้เป็นที่ต้องการของตลาดก็จะต้องตายจากไป”
Neumeier ระบุว่าเขากังวลเรื่องความปลอดภัยเมื่อทำธุรกรรมออนไลน์ ซึ่งเขาระบุว่าทุกวันนี้น่ากลัวมาก ผู้ใช้ยังคงทำเหมือนกับวิธีเดิม ๆ ผู้ใช้ควรจะเรียนรู้เพื่อระวังตัว ต้องระมัดระวังให้มากขึ้นและตระหนักในสิ่งที่ทำบนโลกออนไลน์เมื่อมีใครเข้าถึงข้อมูลและเงิน
“มันเป็นเรื่องสำคัญที่เราสร้างความตระหนัก ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยต้องใส่เข้าไปในเทคโนโลยีเหล่านี้” Neumeier กล่าว
ความสะดวกในการใช้งาน ถือเป็นปัจจัยหลักในการเลือกใช้งาน e-wallet และสุดท้ายแล้วก็อาจมีผู้เหลืออยู่รอดเพียงไม่กี่ราย ทำให้ตอนนี้ทุกค่ายต่างทุ่มทำการตลาดอย่างหนักเพื่อทำให้บริการของตนเองติดตลาดให้ได้
มองย้อนกลับมาที่ไทย ตอนนี้ผู้ให้บริการ e-walllet อาจไม่ได้มีจำนวนมากเหมือนกับฝั่งสิงคโปร์และมาเลเซีย แต่สภาพตลาดก็ยังคงเหมือน ๆ กันคือยังแข่งขันกันค่อนข้างรุนแรง ซึ่งจุดต่างของไทยอย่างหนึ่งก็คือจะมีฝั่งธนาคารเข้ามาร่วมมากกว่า
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
JPMorgan Chase & Co ธนาคารสินทรัพย์อันดับหนึ่งในสหรัฐฯ ประกาศเตรียมสร้างศูนย์ฟินเทคของบริษัทใน Silicon Valley เพื่อเน้นการพัฒนาด้านระบบจ่ายเงินดิจิทัลโดยเฉพาะ
ศูนย์ฟินเทคของ JPMorgan Chase ใน Palo Alto แคลิฟอร์เนียจะมีพนักงานนับพันคน กำหนดเปิดใช้งานภายในปี 2020 ซึ่งพนักงานที่ทำงานอยู่ที่นี่หลัก ๆ จะทำงานให้หน่วย Chase Merchant Services เป็นหน่วยที่ทำการประมวลผลการจ่ายเงินผ่านบัตรรายใหญ่ที่สุดอันดับสองของสหรัฐฯ ที่อยู่ภายใต้ JPMorgan Chase
เมื่อปีที่แล้ว Chase Merchant Services เพิ่งจะซื้อ WePay บริษัทใน Silicon Valley ที่เชี่ยวชาญในเรื่องการเชื่อมต่อซอฟต์แวร์ด้านระบบจ่ายเงินเข้ากับเครือข่ายของธนาคาร ซึ่งตอนนี้ WePay มีพนักงานทั้งหมด 275 คน และเมื่อสำนักงานใหม่สร้างเสร็จ พนักงานทั้งหมดของ WePay จะเข้ามาทำงานที่นี่ และ JPMorgan มีแผนจ้างพนักงานเพิ่มอีกนับร้อยคนด้วย
JPMorgan คาดว่าจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพระบบจ่ายเงิน เพื่อให้บริการผู้บริโภคและภาคธุรกิจได้มากขึ้น ซึ่งจะนำมาสู่การที่ลูกค้าเหล่านี้จะใช้ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของธนาคารอย่างเช่นเงินฝากและเงินกู้มากขึ้นด้วย
ที่มา – Reuters
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
ระบาดกันอีกแล้วในไทยกับการพิมพ์คำว่า “GRATULA” ใน Facebook ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นคำว่า Congratulation ในภาษาฮังการี ไม่เกี่ยวกับการเช็คความปลอดภัยแต่อย่างใด
พิมพ์ GRATULA ไม่ใช่เป็นการเช็คความปลอดภัยบน Facebookก่อนหน้านี้มีการแชร์ในโลกโซเชียลอย่างหนักว่า การพิมพ์ GRATULA แล้วแสดงเป็นตัวดำจะเป็นการยืนยันความปลอดภัยของบัญชีการใช้งาน Facebook ว่าไม่ปลอดภัย ให้เปลี่ยนรหัสผ่าน ซึ่งความจริงแล้ว ไม่ใช่อย่างที่แชร์กัน
จริงๆ แล้ว GRATULA เป็นภาษาฮังการีแปลเป็นไทยว่า “ยินดีด้วย” ที่เมื่อเราพิมพ์แล้วจะมี Effect ขึ้นมาเหมือนเวลาเราพิมพ์คำว่า “congratulations”, “xoxo” เป็นต้น ซึ่งเหมือนกับ BFF ที่เราเคยรายงานกันก่อนหน้านี้
ข้อมูลเพิ่มเติม – Effect ข้อความบน Facebook
The post อย่าเข้าใจผิด! พิมพ์ GRATULA ไม่ใช่เป็นการเช็คความปลอดภัยบน Facebook appeared first on iPhoneMod.
เทศกาลผีๆ ประจำปีอย่าง Halloween กลายเป็นส่วนสำคัญในเศรษฐกิจของสหรัฐ อย่างปี 2018 ที่ผ่านมา คนในประเทศสหรัฐอเมริกาเขาใช้จ่ายในเทศกาลนี้ถึง 9,100 ล้านเหรียญสหรัฐ แล้วปีนี้ เขาจะช็อปดุกันขนาดไหน?
James Harrison CEO ของ Party City (บริษัทขายปลีกสินค้าปาร์ตี้รายใหญ่ของสหรัฐ) บอกว่า ปีนี้ทุกคนยังตื่นเต้นกับเทศกาล Halloween โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มโตแบบแข็งแกร่งขึ้น และประชากรสหรัฐ 179 ล้านคนเตรียมตัวฉลองกับเทศกาลนี้อย่างเต็มที่ เลยคาดว่าปีนี้การใช้จ่ายลูกค้าจะสูงถึง 9,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (297,000 ล้านบาท)
จากปีก่อน ข้อมูลจาก the National Retail Federation ระบุว่ายอดการใช้จ่ายช่วง Halloween ของชาวอเมริกาอยู่ที่ 9,100 ล้านเหรียญสหรัฐ (300,300 ล้านบาท) และแน่นอนว่าปี 2018 นี้ค่าใช้จ่ายต่อหัวน่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย มาอยู่ที่ 86.70 เหรียญสหรัฐ (2,861 บาท) จากปีก่อนอยู่ที่ 86.13 เหรียญสหรัฐต่อหัว (2,842 บาท)
ปี 2017 ที่ผ่านมา ยอดใช้จ่ายของชาวอเมริกาในช่วง Halloween แบ่งเป็น
นอกจากนี้ยังมีการเซอร์เวย์ เจอเรื่องที่เซอร์ไพรส์ การใช้จ่ายที่เติบโตมาที่สุดคือ เครื่องแต่งกายของสัตว์เลี้ยง และเกือบ 20% ของคนที่ตอบแบบสำรวจนี้บอกว่าปีนี้เขาวางแผนไว้แล้วว่าจะแต่งตัวให้น้องๆ (สัตว์เลี้ยง) ในวัน Halloween ปีนี้แบบไหน
เทศกาลนอกจากแสดงถึงความสุข ความสนุกสนาน ยังเป็นช่วงเวลาทองของนักการตลาดที่จะคิดแคมเปญ โปรดักส์ใหม่ๆ มากระตุ้นยอดขาย ที่สำคัญเรายังเห็นเทรนด์การเลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้น ทำให้ข้าวของเครื่องใช้ และการรักษาพยาบาลน้องๆ (สัตว์เลี้ยง) มีหลากหลายรูปแบบมากขึ้น ไทยเราน่าจะไม่ต่างจากประเทศอื่นมานัก
ที่มา Foxbusiness
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
หลังจากที่ Brand Inside ได้สรุปประเด็นคร่าวๆ ของการหายตัวไปของนักข่าวชาวซาอุฯ แล้ว ซึ่งเรื่องนี้สร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจของซาอุฯ เอง ทำให้ทางการต้องเปิดการสอบสวนเรื่องนี้ ล่าสุดมีความเคลื่อนไหวต่อเนื่องจากซาอุฯ บ้างแล้ว
จิ๊กซอว์ของการหายตัวไปของ จามาล คาชูจกิ เริ่มเปิดเผยมากขึ้น รวมไปถึง SoftBank ที่มีข่าวในตอนแรกว่าอาจมีการเปิดตัว SoftBank Vision Fund กองใหม่ แต่ความเคลื่อนไหวนี้อาจต้องหยุดชะงักเนื่องจากความไม่แน่นอนจากเรื่องนี้ยังพากระทบไปถึงการที่บริษัทกำลังจะ IPO โดยนำ SoftBank Mobile Japan อีกด้วย
นอกจากนี้ความเคลื่อนไหวล่าสุดในสัปดาห์ที่ผ่านมาของเรื่องนี้เหมือนว่าจะเพิ่มความสงสัยต่อผู้นำระดับโลก นักธุรกิจ ฯลฯ ถึงประเด็นการตายอย่างมีเงื่อนงำของจามาล คาชูจกิมากขึ้น รวมไปถึงเรื่องนี้อาจสะเทือนถึงการขึ้นครองราชย์ต่อจากกษัตริย์ซัลมานด้วย
หลังจากเรื่องของการหายตัวไปของจามาล คาชูจกิ เป็นประเด็นที่สนใจของสื่อต่างประเทศ รวมไปถึงนักธุรกิจชื่อดังของโลก นอกจากนี้ยังมีแรงกดดันไม่ว่าจะเป็นจากประธานาธิบดีทรัมป์ ของสหรัฐฯ รวมไปถึงผู้นำหลายประเทศโดยเฉพาะในยุโรปที่เร่งให้ทางการซาอุฯ ต้องรีบเปิดการสอบสวนในเรื่องนี้
ซึ่งถ้าหากทางการซาอุฯ ยังคงดึงเกมต่อไปเรื่อยๆ โดยทำเป็นไม่รู้เรื่อง อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ประเทศ เนื่องจากซาอุฯ พยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในซาอุฯ เพิ่มมากขึ้น โดยสัญญาณเตือนนั้นมาจากที่เหล่านักธุรกิจยกเลิกการมางานสัมมนา Future Investment Initiative ยิ่งกดดันให้ท้ายที่สุดแล้วซาอุฯ ต้องเปิดการสอบสวนเรื่องนี้
หลังจากฝ่ายตุรกีได้ออกมากล่าวว่าการหายตัวของจามาล คาชูจกิ ท้ายที่สุดแล้วเขาได้เสียชีวิตแล้วจากความพยายามฆ่าของหน่วยความมั่นคงของรัฐบาลซาอุฯ ซึ่งอ้างอิงจากเทปเสียงที่หน่วยงานความมั่นคงของตุรกีได้รับมา
ล่าสุดทางการซาอุฯ ได้ประกาศว่าจามาล คาชูจกิ ได้เสียชีวิตเนื่องจากมีการต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ของซาอุฯ โดยทางการซาอุฯ เองได้กล่าวว่ามีผู้ร่วมขบวนการนี้ถึง 18 คน ส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ความมั่นคง และคาดว่าอาจทำเกินกว่าเหตุ
นอกจากนี้ยังมีความกังวลจากประชาชนของซาอุฯ เองถึงเรื่องนี้ เช่น ประเทศตัวเองขาดความน่าเชื่อถือลงจากเรื่องนี้ ประชาชนบางคนยังมองถึงว่าถ้าหากจามาล คาชูจกิ ได้ต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ซาอุฯ อย่างที่กล่าวไว้จริงๆ เวลาที่ใช้ค้นหาร่างก็ไม่น่าจะนานถึงขนาดนี้ นอกจากนี้ประชาชนบางคนยังเชื่อว่าประเทศตุรกีรวมไปถึงกลุ่มฮิชบอลเลาะห์อยู่เบื้องหลังนี้อีกด้วย
ความกังวลในเรื่องนี้ทำให้ผู้นำในยุโรปไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีเยอรมัน หรือรัฐมนตรีต่างประเทศของฝรั่งเศส ต่างแสดงความกังวลในเรื่องนี้ ซึ่งหลายๆ ประเด็นในการหายตัวไปของนักข่าวรายนี้ยังถือเป็นข้อน่าสงสัย ไม่เว้นแม้แต่วุฒิสภาของสหรัฐอย่าง Marco Rubio ก็แสดงความกังวลในเรื่องนี้
#SaudiArabia’s changing stories on #KhashoggiMurder is getting old. The latest one about a fist fight gone bad is bizarre. We must move forward with #GlobalMagnitsky investigation we requested,find out what really happened & sanction those responsible https://t.co/mwcVbL6hcO
— Marco Rubio (@marcorubio) October 20, 2018
ส่งผลกระทบจังๆ กับ SoftBank Mobile ที่จะ IPOอาทิตย์ที่ผ่านมาหุ้นของ SoftBank ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยวันจันทร์ที่ผ่านมาราคาหุ้น SoftBank ได้ตกลงไปถึง 7% ภายในวันเดียวอีกด้วย ส่งผลให้อาทิตย์ที่ผ่านมาหุ้นของบริษัทลดลงไปถึงประมาณ 5%
ผลกระทบดังกล่าวอาจส่งผลกับบริษัทในอนาคตที่จะถึงนี้ โดย SoftBank วางแผนที่จะนำ SoftBank Mobile Japan เข้า IPO ในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ล่าสุด SoftBank ได้วาณิชธนกิจอย่าง Goldman Sachs และ Nomura ดูแลในเรื่องนี้ และคาดว่าจะเข้าตลาดในเดือนธันวาคม
ความกังวลเรื่องนี้ส่งผลให้นักลงทุนมองว่า SoftBank รีบร้อนที่จะ IPO เนื่องจาก SoftBank Mobile Japan เป็นบริษัทสร้างกระแสเงินสดให้กับ SoftBank และไม่ควรรีบร้อนที่จะนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ด้วยซ้ำ แถมยังมีข่าวเรื่องของ จามาล คาชูจกิ อีกยิ่งไม่ควรรีบ IPO ด้วยซ้ำ
Marcelo Claure ซึ่งเป็น Chief Operating Officer ของ SoftBank ได้กล่าวในงานสัมมนาของบริษัทชิป ARM ที่ SoftBank ได้ซื้อกิจการมูลค่ากว่า 32,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยงานจัดขึ้นในเมือง San Jose สหรัฐอเมริกาว่า พวกเราติดตามเรื่องนี้อย่างร้อนรนใจมาก หลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้นมา ซึ่งเราก็เหมือนคนอื่นๆ ที่ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดเช่นกัน
อย่างไรก็ดี Marcelo Claure กล่าวว่าเรื่องของ SoftBank Vision Fund กองทุนใหม่ ว่า SoftBank ไม่ได้หนักใจในเรื่องนี้ เนื่องจากไม่ได้มีกำหนดตายตัวว่าจะเปิดตัวกองทุนตอนไหน โดยก่อนหน้านี้เจ้าชายเจ้าชายโมฮัมหมัด บิน ซัลมานได้กล่าวว่าพร้อมที่จะลงทุนมากถึง 45,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
นอกจากนี้คำถามเรื่องใหม่ของ SoftBank คือถ้าหากไม่เอาเม็ดเงินของซาอุฯ กว่า 45,000 ล้านเหรียญ Masayoshi Son จะสามารถที่จะระดมทุนได้แทนซาอุดิอาระเบียได้หรือไม่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะมีการกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเจ้าชายโมฮัมหมัด บิน ซัลมาน ว่าตัวเจ้าชายนั้นไม่ใช่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังนี้แต่ แต่อย่างไรก็ดีเรื่องนี้อาจทำให้กษัตริย์ซัลมานอาจต้องลงมาจัดการในเรื่องนี้
นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่ากรณีที่แย่ที่สุดเจ้าชายโมฮัมหมัดอาจถึงขั้นโดนถอดออกจากการเป็นมกุฏราชกุมาร แต่อย่างไรก็ดีถ้าหากดูความเป็นไปได้ถึงเรื่องนี้แล้วอาจเป็นไปได้ยากมากที่จะหาตัวแทนของเจ้าชายโมฮัมหมัด บิน ซัลมาน
ท้ายที่สุดในเรื่องนี้แล้วขึ้นอยู่กับว่าซาอุดิอาระเบียจะจัดการเรื่องนี้ให้ลงเอยได้เช่นไร รวมไปถึงการจัดการในเรื่องนี้จะสร้างความกระจ่างให้กับประเทศได้เช่นไร ในขณะที่เรื่องนี้ยังคลุมเครืออยู่
เพราะว่าเรื่องนี้ท้ายที่สุดอาจเดิมพันด้วยเศรษฐกิจซาอุฯ และความเชื่อใจ
ที่มา – Nikkei Asian Review, New York Times, Reuters, Telegraph, Bloomberg [1], [2], [3]
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
ความเปลี่ยนแปลงล่าสุดใน Fonts-TLWG คือเรื่อง reproducibility คือการ build ที่ให้ผลลัพธ์เป็น binary file ที่เป็นข้อมูลเดิมทุกบิตทุกครั้งที่ build โดยไม่ขึ้นกับสภาวะที่ใช้ในการ build
สำหรับฟอนต์จากโครงการ Fonts-TLWG มีปัญหา reproducibility ตามที่รายงานโดย Debian คือ modification timestamp ที่เกิดจาก Fontforge script ที่ใช้ build โดยมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลของฟอนต์ระหว่างทาง ทำให้ timestamp ของการเปลี่ยนแปลงถูกปรับเป็นเวลาขณะ script ทำงานนั้น และทำให้ข้อมูลฟอนต์ผลลัพธ์แปรเปลี่ยนไปตามเวลาที่ build
Modification กลางอากาศscript ที่ใช้ generate ฟอนต์ชนิดต่าง ๆ จะมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลฟอนต์กลางอากาศขณะ build ดังนี้
PUA (Unicode Private Use Area) glyphs สำหรับสระบน-ล่างและวรรณยุกต์ที่เลื่อนหลบหางพยัญชนะ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการ render ข้อความในสภาวะที่ไม่มีเทคโนโลยี OpenType เช่น บน Windows XP และการใช้ virtual font ใน TeX engine เก่า (เช่น pdfTeX) ซึ่งเราได้ตัดสินใจยกเลิกการรองรับ TTF แบบเก่าไปนานแล้ว แต่ยังไม่สามารถตัดการรองรับ TeX engine เก่าได้ จึงยังคง PUA glyphs ไว้ใน source ของฟอนต์ แต่ใช้วิธีลบกลางอากาศขณะ gen OTF และ TTF เอา
แต่การลบ glyph กลางอากาศนี่เองที่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ modification timestamp ของฟอนต์เปลี่ยน และทำให้ได้ไฟล์ฟอนต์ที่ไม่ reproducible
วิธีแก้ปัญหาก็เป็นไปได้สองทาง:
ทางเลือก 2 ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ ผมคิดว่าควรชะลอไปก่อน และเลือกทางเลือก 1 ไว้ก่อน และได้ commit ไปตามนี้
TrueType Instructionsเพื่อเพิ่ม hint ให้กับฟอนต์ TrueType ในขณะที่ source ของเราอยู่ในรูป cubic spline ตัว script จึงใช้วิธีแปลง spline ให้เป็น quadratic ก่อน แล้ว apply AutoInstr กลางอากาศก่อน generate TTF
ซึ่งการแปลงและสั่ง AutoInstr ทำให้ modification timestamp ของฟอนต์เปลี่ยน ทำให้ได้ไฟล์ฟอนต์ที่ไม่ reproducible อีกเช่นกัน
ผมค้นคิดวิธีที่จะแก้ปัญหานี้ไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็ได้ไอเดียการทำ mixed layers โดยมีหลักการคือ:
เมื่อได้หลักการเช่นนี้แล้ว ก็ได้แตก branch mixed-layer-ttf เพื่อดำเนินการ โดยตั้งชื่อ quadratic layer ให้เหมือนกันทุกฟอนต์ว่า Quad เพื่อจะได้ใช้ชื่อนี้ใน script ให้ทำงานได้ทุกฟอนต์ และเปลี่ยนมาใช้ Python script สำหรับ TTF แทน native script เดิม
ด้วยหลักการเช่นนี้ source สำหรับ TTF ก็จะเตรียมพร้อมอยู่ใน source สำหรับ generate ได้โดยไม่ต้องแก้ไขกลางอากาศอีก
ทำเสร็จหมดแล้ว ก็ merge เข้า master เสีย เป็นอันเสร็จพิธี
ส่วน LaTeX fonts ไม่มีประเด็นอะไรต้องแก้ ผลคือ ขณะนี้ fonts-tlwg สามารถ build แบบ reproducible ได้ทั้งหมดแล้ว
อนาคตประเด็นที่น่าจะทำในอนาคต:
ถ้าย้อนอ่านบทสัมภาษณ์ของผู้มีอำนาจใน Facebook ในช่วงรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ ไม่ว่าจะ Mark Zuckerberg หรือผู้บริหารระดับสูงหลายคน ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “วิดีโอคืออนาคต” เพราะโลกกำลังก้าวข้ามจากการอ่านตัวหนังสือไปสู่การดูวิดีโอ
เชื่อไหมว่าบริษัทผลิตคอนเทนต์หลายแห่ง โดยเฉพาะสื่อสำนักข่าวในต่างประเทศ ปลดนักเขียน (content writer) ออกจากบริษัทจำนวนมาก เพราะต้องการให้เหลือทีมที่โฟกัสเพื่อทำคอนเทนต์วิดีโอเป็นหลัก แต่ถึงตอนนี้ต้องบอกว่า เหตุการณ์อาจไม่เป็นเช่นที่คิด เพราะยอดวิววิดีโอบน Facebook ดูเหมือนจะเชื่อถือไม่ได้ และวิดีโออาจไม่ใช่อนาคตอย่างที่ Facebook ทำนายไว้
อย่างไรก็ตาม ลองมาวิเคราะห์กันดูว่าเรื่องนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร แล้วเราในฐานะผู้ที่อยู่ในระบบนิเวศของ Facebook ควรจะปรับตัวกันอย่างไร?
เรื่องยอดวิวของ Facebook มีปัญหาเริ่มต้นมาจากเหล่านักโฆษณาที่รวมตัวกันฟ้องร้อง Facebook ต่อศาลในแคลิฟอร์เนีย ด้วยข้อหาที่ว่า Facebook ล้มเหลวในการวัดยอดวิวบนแพลตฟอร์มของตัวเอง ไม่ว่าจะยอดวิวที่เฟ้อและไม่สะท้อนความเป็นจริง ส่งผลต่อความไม่เป็นธรรมในการทำธุรกิจของนักโฆษณาและผู้ที่เกี่ยวข้อง
แต่ที่เป็นประเด็นคือ ดูเหมือนว่า Facebook รับรู้ความผิดพลาดของตัวเองดีอยู่แล้ว แต่เลือกที่จะไม่แก้ปัญหา โดยปล่อยให้ความผิดพลาดดำเนินต่อเนื่องไปเป็นปีๆ และไม่มีทีท่าว่าจะแก้ไข จนกระทั่งเรื่องแดงออกมา พร้อมทั้งมีข้อมูลยืนยันชัดเจน
สำหรับประเด็นนี้ Facebook ปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง ส่วนด้านของโฆษกพยายามแก้ข่าวด้วยการระบุว่า “เรารายงานลูกค้าของเราทันทีเมื่อพบความผิดพลาด พร้อมทั้งอัพเดทศูนย์ช่วยเหลือและแก้ปัญหา (Help Center) เพื่ออธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย”
ยอดวิววิดีโอบน Facebook ผิดพลาดอย่างไรบ้าง?The Wall Street Journal เป็นสื่อแรกที่นำเสนอเรื่องนี้ โดยอ้างอิงข้อมูลจากนักโฆษณาที่เปิดเผยว่า ยอดวิววิดีโอบน Facebook ไม่ถูกต้อง เพราะสูงกว่าความเป็นจริงประมาณ 60 – 80% และที่หนักกว่านั้นคือ มีนักโฆษณาที่ยื่นฟ้องบางรายระบุว่า ยอดวิวบน Facebook เฟ้อกว่าความเป็นจริงถึง 900%
นอกจากนั้น ยังมีข้อมูลด้วยว่า ความผิดพลาดของระยะเวลาในการดูวิดีโอบน Facebook มีอัตราการเฟ้อที่สูงมาก ยกตัวอย่างเช่น จากค่าเฉลี่ยที่ดูวิดีโอเพียง 2 วินาที แต่ Facebook คำนวณเป็น 17.5 วินาที (สูงกว่าความเป็นจริง 775%) หรืออีกครั้งหนึ่งมีค่าเฉลี่ยการดูวิดีโอเพียง 2.4 วินาที แต่ Facebook คำนวณเป็น 17.3 วินาที (สูงกว่าความเป็นจริง 621%)
อย่างไรก็ตาม เรื่องของคดียังต้องติดตามกันต่อไป แต่คำถามสำคัญคือ ต่อจากนี้เราควรจะไว้ใจลงทุนกับวิดีโอบน Facebook มากน้อยแค่ไหน?
อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่า สื่อหลายสำนักในต่างประเทศได้ปลดพนักงานที่เป็นนักเขียน แล้วหันไปโฟกัสกับการทำวิดีโอไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่น Vice Media สื่อที่โดดเด่นด้านวิดีโอรายหนึ่งในตลาดเพิ่งปลดพนักงานออกไป 2% จาก 3,000 คน หรือประมาณ 60 คน เพื่อเอาเงินไปลงกับการทำวิดีโออย่างหนัก นอกจากนั้นสื่ออย่าง Mic และ Fox Sports ก็ประกาศชัดว่าได้โยกย้ายทรัพยากรและรูปแบบธุรกิจออกจากการเขียนไปสู่แพลตฟอร์มวิดีโอ
ไม่แปลกที่สื่อหลายสำนักจะพร้อมใจบุกวิดีโอกันอย่างหนักหน่วง เพราะ Facebook สร้างความมั่นใจไว้หลายครั้งว่าวิดีโอกำลังมา ดูได้จาก Zuckerberg ที่เคยบอกไว้หลายต่อหลายครั้งแล้วว่าวิดีโอคืออนาคต “และเรากำลังเข้าสู่ยุคทองของวิดีโอ”
ส่วนอีกหนึ่งคนที่สำคัญคือ Nicola Mendelsohn รองประธานของ Facebook ฝั่งยุโรปที่เคยบอกไว้เช่นกันว่า “เราเห็นมาหลายปีแล้วว่า สื่อแบบตัวอักษรกำลังตกต่ำลง และเราก็เห็นว่าสื่อที่กำลังมาแรงอย่างมากคือ รูปภาพและวิดีโอ ดังนั้นถ้าให้ผมพนันตอนนี้ ผมก็บอกได้เลยว่า มันต้องเป็นวิดีโอ วิดีโอ และวิดีโอ”
Mendelsohn บอกด้วยว่า “วิธีการเล่าเรื่องที่ดีที่สุดในโลก โดยเฉพาะยุคที่มีข้อมูลท่วมท้นแบบนี้ คือการเล่าเรื่องผ่านวิดีโอ เนื่องจากวิดีโอคือวิธีการย่อยข้อมูลและนำเสนอได้ไวที่สุด”
มีงานวิจัยของ Pew Reserch Center ที่ไปศึกษาการเสพสื่อของคนอเมริกันในปี 2016 พบว่า ในสหรัฐอเมริกาคนที่เสพข่าวผ่านวิดีโอมากที่สุดคือกลุ่มคนที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ในขณะที่กลุ่มคนรุ่นใหม่อายุ 18-29 ปีเป็นกลุ่มที่นิยมเสพข่าวจากการอ่านมากที่สุด
คำพูดของผู้บริหารที่ไม่ว่าจะเก่งกล้ามาจากไหน ก็อาจเทียบไม่ได้กับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นผ่านสถิติและข้อเท็จจริง เพราะจากข้อมูลข้างต้น เราอาจตั้งคำถามต่อได้ว่า “หรือว่าวิดีโอจะไม่ใช่อนาคต” ตามอย่างที่ Facebook เคยบอกไว้ เพราะคนที่เสพข่าวผ่านรูปแบบวิดีโอมากที่สุดในไม่ใช่คนรุ่นใหม่ แต่กลับกลายเป็นคนรุ่นก่อน และที่มากกว่านั้น คนที่อ่านข่าวผ่านตัวอักษรมากที่สุดคือคนรุ่นใหม่ๆ ที่มีอายุอยู่ในช่วง 18-29 และ 30-49 ปีตามลำดับ
หลังจากนี้ เราควรไว้ใจ Facebook ได้แค่ไหน?
เริ่มต้นปี 2018 Facebook สั่งปรับอัลกอริธึ่ม News Feed เพื่อลด Reach จากเพจต่างๆ ลง และถ้าใครยังจำกันได้ เมื่อช่วงต้นๆ ของปี 2018 เช่นเดียวกัน มีข่าวใหญ่ที่สืบเนื่องจากข่าวข้อมูลบัญชีผู้ใช้งานของ Facebook หลุด นำไปสู่การสอบสวนผ่านสภาในระดับชาติ
เหตุการณ์เหล่านี้ เชื่อว่าทุกคนน่าจะเห็นตรงกันว่า Facebook ได้สูญเสียความน่าเชื่อถือไปมาก ทั้งจากผู้บริโภคและผู้ผลิตคอนเทนต์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะสื่อสำนักข่าว คนทำเพจ หรือแบรนด์ต่างๆ
แต่ถ้าพูดถึงเฉพาะเรื่องวิดีโอ ต้องบอกว่าสูตรของ Facebook คือ “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล” หรือบางทียังไม่เสร็จศึกก็เผลอฆ่าขุนพลและเบี้ยตัวเล็กตัวน้อยไปเสียแล้ว ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงที่ Facebook ดัน Facebook Live มากๆ ก็ใช้เงินจ้างสื่อสำนักข่าวและคนทำคอนเทนต์รายใหญ่ๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปมีคนเริ่มใช้งานอย่างกว้างขวางแล้ว Facebook ก็เลิกจ้าง (ตรงนี้ยังพอเข้าใจได้)
แต่ที่ร้ายคือ Facebook สั่งปรับอัลกอริธึ่มมาในเวลาเดียวกัน ทำให้ Reach จากเพจต่างๆ ลดลง ส่งผลต่อสื่อหลายสำนักที่ทุ่มทุนกับวิดีโอไปอย่างหนักหน่วง มีตั้งแต่ขาดทุน ไปจนถึงเลิกจ้างทีมวิดีโอเลยก็มี ดูอย่าง Vox ที่ตั้งทีมวิดีโอจริงจัง เพราะเชื่อคำของ Facebook แต่เมื่อลงไปทำจริงๆ รายได้ไม่ได้ดีอย่างที่คิด จนทำให้ต้องปลดพนักงานครั้งใหญ่ อ่านรายละเอียดได้ที่ พิษสงจาก Facebook ปรับ News Feed ทำสื่อออนไลน์รายใหญ่เตรียมปลดพนักงาน 50 ตำแหน่ง
โดยสรุปตามความเห็นของผู้เขียนบทความแล้ว เชื่อว่าถ้าใครได้อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ น่าจะได้คำตอบสำหรับคำถามที่ว่า เราควรจะไว้ใจ Facebook ได้แค่ไหน? เพราะถึงที่สุดแล้ว นี่คือบ้านของเขา(Facebook) เราเพียงเช่าเขาอยู่ เขาจะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดย่อมเป็นสิ่งที่เราคาดเดาได้ยาก ดังคำที่หลายคนเคยพูดไว้และยังคงเป็นความจริงอยู่ นั่นก็คือ “อย่าฝากทุกลมหายใจไว้ที่ Facebook”
วันนี้เขารักวิดีโอ พรุ่งนี้เขารักบทความ แต่อีกวันเขาอาจจะรักรูปภาพ เราไม่มีทางรู้ได้แน่ ฉะนั้น คนทำคอนเทนต์จึงต้องหาลู่ทางอื่นไว้อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะเว็บไซต์หรือหน้าบ้านของตัวเอง
บทความแนะนำอ่านเพิ่มเติม
ข้อมูล – Wired, Niemanlab, Fastcompany, The Wall Street Journal, Pew Research
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
การเลื่อนตำแหน่งการพิมพ์หรือเคอเซอร์บนคียร์บอร์ด iPhone รุ่นที่ไม่มี 3D Touch เป็นเรื่องที่ยากลำบากมากๆ เวลาที่เราต้องการจะแทรกข้อความไปในประโยค แต่ใน iOS 12 ได้มีการปรับปรุงใหม่ให้ iPhone รุ่นที่ไม่มี 3D Touch เลื่อนตำแหน่งการพิมพ์ได้แล้วด้วยวิธีง่ายๆ
เดิมทีเวลาที่เราจะเลื่อนตำแหน่งการพิมพ์บน iPhone รุ่นที่ไม่มี 3D Touch ใน iOS 11 นั้น ต้องใช้วิธีจิ้มให้ตรงตำแหน่งข้อความที่ต้องการแทรก ซึ่งไม่สะดวกสำหรับ iPhone หน้าจอเล็กๆ ที่ผู้ใช้จะต้องพยายามจิ้มให้ตรง iOS 12 จึงได้เพิ่มคุณสมบัติใหม่ ที่จะช่วยให้การเลื่อนตำแหน่งการพิมพ์บน iPhone ทำได้ง่ายขึ้น
iPhone รุ่นที่ไม่มี 3D Touch และรองรับการอัปเดตเป็น iOS 12 ได้แก่ iPhone 5S, iPhone SE, iPhone 6, iPhone 6 Plus และ iPhone XR
วิธีเลื่อนตำแหน่งการพิมพ์ใน iOS 12 สำหรับ iPhone ที่ไม่มี 3D Touchบนคีย์บอร์ด iPhone แตะค้างที่ปุ่ม Space Bar จากนั้นก็เลื่อนเคอเซอร์ไปยังตำแหน่งการพิมพ์ที่ต้องการโดยไม่ต้องยกนิ้วออกจากหน้าจอ
หากเราอัปเดต iPhone รุ่นที่ไม่มี 3D Touch เป็น iOS 12 ก็สามารถเลื่อนตำแหน่งการพิมพ์ตามวิธีดังกล่าวได้เลย การแทรกข้อความก็จะง่ายและสะดวกมากขึ้น จากเดิมเราจะต้องใช้นิ้วแตะให้ตรงกับตำแหน่งที่ต้องการ สำหรับใครที่ยังไม่ทราบก็ลองนำไปทำกันดูนะคะ
วิธีเลื่อนตำแหน่งการพิมพ์ด้วยการแตะค้างที่ Space Bar นี้ยังใช้ได้กับ iPhone รุ่นที่มี 3D Touch และ iPad ได้อีกด้วย ใช้ร่วมกับวิธีเดิมที่ต้องกดน้ำหนักบนคีย์บอร์ดสำหรับ iPhone รุ่นที่มี 3D Touch และการใช้ 2 นิ้วแตะที่คีย์บอร์ดบน iPad ได้เลย
The post เลื่อนตำแหน่งการพิมพ์บน iPhone ที่ไม่มี 3D Touch ได้แล้ว ใน iOS 12 ชมวิธี appeared first on iPhoneMod.
หลังจากที่ Apple เปิดสั่งจอง iPhone XR ทั้งในกลุ่มประเทศแรกและประเทศไทยในวันที่ 19 ตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา Apple ก็ได้ปล่อยวิดีโอโฆษณา iPhone XR ใน Apple YouTube Channel
แนะนำ iPhone XRในวิดีโอ Apple ได้แสดงถึง iPhone XR ที่มาพร้อมกับกล้อง 1 ตัวที่มี Dept Control ปรับแต่งภาพให้เป็นหน้าชัดหลังเบลอได้ และใช้ชิพ Bionic A12 ทรงพลังที่ชาญฉลาดที่สุดในบรรดาสมาร์ตโฟน หน้าจอเป็น Liquid Ratina ให้การแสดงผลที่คมสวย นอกจากนี้ยังสามารถสแกนใบหน้า (Face ID) และกันน้ำได้
iPhone XR — Spectrumวิดีโอนี้ได้นำเสนอการออกแบบภายนอกของ iPhone XR โดยเฉพาะเรื่องของสันสันที่ด้านหลังมีวัสดุเป็นกระจที่สะท้อนสวยสดใสในทุกทิศทาง และมีให้เลือกถึง 6 สี ได้แก่ สีขาว, สีแดง PRODUCT RED, สีส้มคอรัล, สีฟ้า, สีเหลือง และสีดำ
วิดีโอทั้ง 2 เป็นวิดีโอโฆษณา iPhone XR ใหม่ที่เพิ่งเปิดให้สั่งซื้อล่วงหน้าไม่กี่วันที่ผ่านมา ด้วยราคาเครื่องเปล่าเริ่มต้น 29,900 บาท
สำหรับใครที่สนใจสามารถดูโปรโมชันของแต่ละค่ายได้ที่รวมโปรโมชันสั่งจอง iPhone XS, iPhone XS Max, iPhone XR จากทุกค่าย หรือดูช่องทางการสั่งซื้อได้ที่ รวมช่องทางสั่งซื้อล่วงหน้า iPhone XS, iPhone XS Max และ iPhone XR ทุกค่าย
ขอบคุณ iclarified
The post Apple ปล่อย 2 วิดีโอโฆษณาใหม่ แนะนำ iPhone XR คุณสมบัติเด่นและความสวยงาม appeared first on iPhoneMod.
เรามาหวนรำลึกความหลังไปกับเหล่าเกมในยุค 1990s สุดคลาสิก ไปจนถึงยุคมิลเลเนี่ยม 2000s ที่เด็กๆ และวัยรุ่นยุคนั้นคงรู้จักกันเป็นอย่างดีใน รวมเกมจากยุค 90s กันได้เลยครับ
รวมเกมดังจากยุค 90s 1. Minesweeper 2เกมสุ่มระเบิดหรือเกมล้างทุ่นระเบิดที่มีมาในคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 เป็นต้นมา
เนื้อที่เกม: 52.1 MB รองรับ iOS 9.0 ขึ้นไป (ใช้ได้กับ iPhone และ iPad)
ดาวน์โหลดฟรี: Minesweeper 2 ปริศนาระเบิดแตะ on App Store
เกมจำลองการสร้างและบริหารจัดการสวนสนุกที่มีมาในคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1999 เป็นต้นมา
เนื้อที่เกม: 425.7 MB รองรับ iOS 7.0 ขึ้นไป (ใช้ได้กับ iPhone และ iPad)
ดาวน์โหลดในราคา 209 บาท: RollerCoaster Tycoon® Classic on App Store
เกมเลี้ยงสัตว์ที่คล้ายกับเกมทามาก็อตจิ ภาพพิกเซลที่มีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 แต่สำหรับเกม Hatchi แล้วจะเปิดตัวใน iOS เมื่อปี ค.ศ. 2012
เนื้อที่เกม: 425.7 MB รองรับ iOS 7.0 ขึ้นไป (ใช้ได้กับ iPhone และ iPad)
ดาวน์โหลดในราคา 35 บาท: Hatchi – A retro virtual pet on App Store
เกมอาร์เคดที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 และนิยมเรื่อยมาจนถึงปี ค.ศ. 1990
เนื้อที่เกม: 145.4 MB รองรับ iOS 7.1 ขึ้นไป (ใช้ได้กับ iPhone, iPad และ Apple TV)
ดาวน์โหลดฟรี: PAC-MAN 256 – Endless Arcade Maze on App Store
เกมตัวต่อสุดคลาสสิกที่มีมาในเครื่องเล่นเกมแบบพกพาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1984 เป็นต้นมา
เนื้อที่เกม: 142.6 MB รองรับ iOS 8.0 ขึ้นไป (ใช้ได้กับ iPhone และ iPad)
ดาวน์โหลดฟรี: Tetris® Blitz on App Store
ซีรีส์เกมเม่นโซนิคเดอะเฮดจ์ฮ็อกจาก SEGA ประเทศญี่ปุ่น ที่มีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 เป็นต้นมา
เนื้อที่เกม: 163.7 MB รองรับ iOS 8.0 ขึ้นไป (ใช้ได้กับ iPhone, iPad และ Apple TV)
ดาวน์โหลดฟรี: Sonic the Hedgehog 2 ™ Classic on App Store
ซีรีส์เกมสร้างเมืองและดำเนินชีวิตที่มีมาในวิดีโอเกมและคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 เป็นต้นมา
เนื้อที่เกม: 137.1 MB รองรับ iOS 8.0 ขึ้นไป (ใช้ได้กับ iPhone และ iPad)
ดาวน์โหลดฟรี: SimCity BuildIt on App Store
เกมต่อสู้ยอดนิยมทั่วโลกจาก CAPCOM ประเทศญี่ปุ่น ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 1987 เป็นต้นมา
เนื้อที่เกม: 2.1 GB รองรับ iOS 6.0 ขึ้นไป (ใช้ได้กับ iPhone และ iPad)
ดาวน์โหลดในราคา 179 บาท: Street Fighter IV CE on App Store
เกมต่อสู้จาก BANDAI NAMCO ประเทศญี่ปุ่น ที่มีมาในยุคแรกของเกม 3 มิติ ทั้งในเครื่องเล่นเพลย์สเตชันและเกมตู้ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1994 เป็นต้นมา
เนื้อที่เกม: 394.2 MB รองรับ iOS 10.0 ขึ้นไป (ใช้ได้กับ iPhone และ iPad)
ดาวน์โหลดฟรี: TEKKEN™ on App Store
เกมผจญภัยภาพ 2 มิติ ที่มีมาในวิดีโอเกมตั้งแต่ปี ค.ศ. 1995 แต่เปิดตัวในระบบ iOS และ Apple TV เมื่อปี ค.ศ. 2015
เนื้อที่เกม: 467 MB รองรับ iOS 9.0 ขึ้นไป (ใช้ได้กับ iPhone, iPad และ Apple TV)
ดาวน์โหลดฟรี: Rayman Adventures on App Store
ซีรีส์เกมแข่งรถยอดนิยมทั่วโลกจาก Electronic Arts ที่เปิดตัวมาในคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1994 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นเกมแข่งรถที่ประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดกาล
เนื้อที่เกม: 1.7 GB รองรับ iOS 9.0 ขึ้นไป (ใช้ได้กับ iPhone และ iPad)
ดาวน์โหลดฟรี: Need for Speed No Limits on App Store
เกมผจญภัยแนวตลกร้ายแบบนีโอนัวร์ภาพ 3 มิติแรกๆ จาก Lucas Arts ที่มีมาในคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1998 เป็นต้นมา
เนื้อที่เกม: 3.5 GB รองรับ iOS 8.0 ขึ้นไป (ใช้ได้กับ iPhone และ iPad)
ดาวน์โหลดในราคา 35 บาท: Grim Fandango Remastered on App Store
——————–
เป็นอย่างไรบ้างครับกับ รวมเกมจากยุค 90s ที่เห็นแล้วคิดถึงวัยเด็กจริงๆ เลยครับ แต่ยังมีอีกหลายเกมที่ทีมงานยังไม่ได้นำมาแนะนำ ใครเล่นเกมไหนอยู่ก็ Comment เข้ามาแนะนำกันได้เลยครับ
– หากถูกใจก็อย่าลืมกด Like กด Share เป็นกำลังใจให้ทีมงานด้วยนะครับ
ขอขอบคุณ
ทีมงาน iPhoneMod
The post รวมเกมดังจากยุค 90s แบบจัดเต็มจนต้องคิดถึงวัยเด็ก appeared first on iPhoneMod.
หลังจากที่แอปเปิลร่อนบัตรเชิญงานเปิดตัว iPad Pro รุ่นใหม่ในวันที่ 30 ตุลาคม เวลา 21.00 น.ตามเวลาในประเทศไทยเมื่อวันก่อน ล่าสุดแอปเปิลได้ออกมายืนยัน และเพิ่มหน้าเว็บไซต์สำหรับการถ่ายทอดสดเรียบร้อยแล้ว
สำหรับสินค้าที่คาดว่าจะเปิดตัวในงานนี้นอกจาก iPad Pro ดีไซน์ใหม่ที่มาพร้อม Face ID นั้น อาจจะยังมี Apple Pencil 2 รุ่นใหม่ ฉลาดและแม่นยำกว่าเดิม ยิ่งไปกว่านั้นอาจจะมี MacBook ราคาถูกและ Mac mini ระดับโปรฯ เปิดตัวพร้อมกันอีกด้วย
และแน่นอนว่าทีมงาน MacThai จะทำการถ่ายทอดสด แบบเวอร์ชันพากย์ภาษาไทย เหมือนงานเปิดตัวทุก ๆ ครั้ง วันที่ 30 ตุลาคมนี้เจอกัน
รายงานโดย
ทีมงาน MacThai
The post Apple ยืนยันมีการถ่ายทอดสดงานเปิดตัว iPad Pro วันที่ 30 ตุลาคมนี้ appeared first on Macthai.com.