จากข่าว แอปเปิลโชว์ความสามารถ HTML5 ที่ดูได้เฉพาะ Safari แต่ดันโปรโมทว่า "มาตรฐาน[ที่แท้จริง]ของเว็บต้องไม่ใช่ Add-on แต่มันคือตัวเว็บเอง"
จริงๆ ข่าวนี้โดนชาว Blognone แฉกันไปนานแล้ว (และมีสาวกแอปเปิลแถกันอีกเเป็นจำนวนไม่น้อย) แต่เราลองมาดูการ "แฉ" จากฝั่ง Mozilla กันบ้างครับ
Christopher Blizzard ผู้บริหารของ Mozilla คนหนึ่งได้เขียนบล็อกชื่อ intellectual honesty and html5 เขาบอกว่าแท้จริงแล้ว คนที่เชี่ยวชาญเทคนิคสร้างภาพแบบนี้คือกูเกิล แต่รอบนี้ แอปเปิลทำตัวน่าอับอายจนเกินจะทน
Blizzard เริ่มจากบรรยายภาพๆ แรก
เขาบอกว่า "นี่มันคือความฝันของเขาเลย" และอยากเป็นคนเขียนคำสวยหรูพวกนี้บ้าง แต่เมื่อคลิกเข้าไปชม จะพบกับภาพที่สอง
คำพูดของ Blizzard คือ
That’s right. If you’re not on Safari, then Fuck You.
Blizzard บอกว่าที่เลวร้ายยิ่งกว่าคือการตลาดของแอปเปิล ทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่า Safari เป็นเบราว์เซอร์ตัวเดียวที่รองรับ HTML5 ทั้งที่เว็บวัดผลความเข้ากันได้กับมาตรฐาน (ซึ่งเป็นเว็บเป็นกลาง ไม่ขึ้นกับบริษัทใดบริษัทหนึ่ง) อย่าง Can I Use ไม่ได้รายงานเช่นนั้น
Blizzard เล่าว่าการทำงานของเขาที่ Mozilla มักเจอกับคำถามว่า "คุณรองรับ HTML5 หรือเปล่า" ซึ่งเขามองโลกในแง่ดีว่าแอปเปิลคงจะเจอปัญหานี้เหมือนกัน จึงเป็นเหตุให้แอปเปิลสร้างเว็บเดโมเจ้าปัญหานี้ออกมา
Blizzard บอกว่า สิ่งสำคัญที่สุดของ HTML5 ไม่ใช่ฟีเจอร์ใหม่อย่าง canvas หรือ video ซึ่งเบราว์เซอร์หลายตัวรองรับนานแล้ว แต่มันคือ "การทำตามมาตรฐานกลางอย่างเคร่งครัด" ต่างหาก การมีมาตรฐานกลางอย่าง HTML5 ที่กำหนดโดยองค์กรกลางอย่าง W3C ถือเป็นสื่อกลางที่ทำให้เบราว์เซอร์ทุกตัวพูดภาษาเดียวกัน เรนเดอร์โค้ดเดียวกันออกมาเหมือนกัน การกระทำของแอปเปิลนั้นไม่ซื่อสัตย์ เพราะโฆษณาว่า "เรารักเว็บ" แต่กลับปิดกั้นไม่ให้เบราว์เซอร์อื่นใช้งานได้
สุดท้าย Blizzard สัญญาว่าเขาจะซื่อสัตย์ต่อผู้ใช้ และจะสร้างเดโมที่เบราว์เซอร์ทุกตัวใช้งานได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
ที่มา - Christopher Blizzard
ป.ล. ผมคิดว่าช่วงนี้ "สาวกแอปเปิลหน้ามืดตามัว" เริ่มกลับมาที่ Blognone อีกแล้ว ขอใช้สิทธิ์แอดมินบล็อคสมาชิกบางคน (ไม่ขอเอ่ยนาม แต่คาดว่าเดากันไม่ยาก) เพื่อให้พวกเขากลับสู่ดินแดนสุขาวดีของตัวเอง จะได้ไม่ต้องมีห่วงอะไรแถวนี้ครับ
Comments
นึกว่าหมดยุคตรวจสอบ browser ก่อนเข้าเว็บไปนานแล้วนะเนี่ย แต่ความจริง chrome ก็เปิดได้นี่ครับ ส่วน FF ยังไม่เคยลอง
ผมเข้าด้วย Chrome ไปดูเดโมไม่ยักเจอ popup นี้แฮะ แต่ไงก็ไม่โหลดเพราะ Safari มันค้างบ่อยเหลือเกิน - -'
Chrome 5.0 ผมเข้าไม่ได้ครับ ติด popup
ลองคลิกที่รูปซักรูปครับ เดี๋ยวก็จะเจอเหมือนดด้านบนครับ ของผม Chrome 6.0 ยังเจอเลยครับ
Chrome 6.0 ก็เข้าไม่ได้นะครับ = =
"สาวกแอปเปิลหน้ามืดตามัว" โดนใจ +1
ชัดเลย หน้าโปรไฟล์หาย แอดมินคงโดนอีกเยอะ แต่เป็นกำลังใจให้ครับ
ไม่น่าเป็นห่วงครับ เป็นกลุ่มเดิมๆ ที่โดนแบนไปคราวก่อนๆ นั่นล่ะครับ ผมหวังว่าพวกเขาจะไปเปิดเว็บชุมชนแอปเปิลของตัวเองนะ
ผมว่ามันก็มีนะ แต่เค้าคงเป็นกลุ่มที่ที่ถูกส่งออกมาเผยแพร่ศาสนาให้พวกบัวใต้น้ำแบบเรา
อาเมน
+5 เลยเอ้า
/facepalm
รู้สึกว่า apple เริ่มจะเป็นผู้ร้ายมากกว่าพระเอกซะแล้ว (และ Microsoft จะกลับกลายมาเป็นผู้น่าได้รับการเห็นใจ)
เป็นสิทธิ์ของ Apple ที่จะให้เข้าดูได้เฉพาะ Safari?
งั้นก็อย่าโฆษณาว่าเป็น "HTML5 showcase" สิครับ
อ่านไปแล้วเผลอคิดไปถึง Blizzard (ค่ายเกมส์)
คิดไปถึง Starcraft 2 ด้วย
นึกถึงเงินที่จะซื้อเกมนี้ิ ผมว่าผมรอ Diablo III ดีกว่า
คาดว่าข่าวนี้คงไม่ POP เท่าข่าวต้นตอ 55+
ปล.โอวไปซะแล้วท่านสาวกผู้เป็นที่รักของ BN..
ถ้าเปิดให้ทุก browser เปิดได้ ยังไงก็มีปัญหาอยู่ดี เพราะ demo ทำมาฟังก์ชั่นที่ safari รองรับ 100% ตัวอื่นรันได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็ต้องตามมาแถลงอีก อาจจะยิ่งกว่านี้อีก เพราะแต่ละเจ้าก็ยังไม่ได้รองรับ html5 ได้เหมือนกันเพราะมาตรฐานยังไม่จบ
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
ปัญหาคือ แอปเปิลทำเหมือนว่า HTML5 จบแล้ว และมีแต่เราเท่านั้นที่รองรับน่ะครับ
จริง ๆ ถ้าอ่านจากคำพูดของเค้าตรง ๆ ก็ไม่ถึงขั้นนั้นนะครับ
Apple เพียงแต่ไม่ได้บอกว่า browser อื่น ๆ อันใดบ้างที่สนับสนุนเทคโนโลยีนี้
ถ้าแอปเปิลตั้งใจทำให้เข้าใจผิด แอปเปิลก็ผิดแหละครับ แต่ผมมองว่าเหมือนต้องการให้คนทั่วไปเห็นภาพมากกว่าว่า html5 ทำอะไรได้บ้าง เพราะส่วนใหญ่จะรู้แค่เล่น vdo
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
แต่ว่าไอ้ที่ทำๆมันเป็น javascript + css3 ไม่ใช่เหรอครับ..... ไม่น่าจะเกี่ยวกับ html5
มีแท็ก video กับ audio อยู่คับ
Blog: https://medium.com/@tanakritsai
ทำไมผมเล่น audio ไม่ได้หว่า
twitter.com/djnoly
มี tag video?
ใช่ครับ แต่เครื่องที่ไม่ได้ลง Quicktime หรือ iTunes ก็ดูไม่ได้นะ -*-
คงใช้ Format video เป็น mov นะครับ เลยเปิดดูไม่ได้
Blog: https://medium.com/@tanakritsai
สงสัย apple จะกลัวว่าคนที่เปิดใช้ IE 6 เปิด เลยบังคับให้ติดตั้ง safari
ผมลองใช้ User agent switcher เข้าไปดูพบว่าไม่ compatible กับ Firefox แทบทั้งหมด
เห็นด้วยครับถ้า ทุกเจ้า html5 compatible กันหมด ก็ปล่อยให้เข้าไปดูได้
แต่ตอนนี้ "HTML5 ของเราไม่เท่ากัน!!"
http://en.wikipedia.org/wiki/Comparison_of_layout_engines_(HTML5)
เพราะ Firefox เองก็สนับสนุนบางส่วน Safari ก็บางส่วน เป็นคำโฆษณาของ Apple เท่านั้นเองที่บอกว่าตัวเอง support HTML5 (แต่บอกไม่หมด)
แม้แต่ใน chromium os ก็ยังโดนตรวจสอบ
http://upic.me/i/9d/screenshot20100606080830.png
รู้สึกว่า Chrome จะรองรับ webkit เหมือน Safari นะครับ เลยพอ render ได้
Appleบอกว่าHTML5และเป็นมาตรฐานแต่ดันเขียนcodeใช้syntax -webkit- ซะเยอะเลย = =''
คุณChristopherพูดถูกจริงๆ แต่ทางฝั่ง Mozilla ก็มี -moz- นะ เหอะๆ
อันนี้ก็เขียนมาแฉทาง Mozilla กลับได้ครับ ยินดีเป็นสื่อกลางให้เผยแพร่
ถ้ามีเด่วจัดให้คับ ^ ^''
ท่าทางหลายคนจะเกลียดแผนการตลาดของ Apple นะครับ ส่วนตัวแล้วผมมองพวกนี้แล้วก็ไม่เห็นต้องคิดมาก มีด้วยหรือครับบริษัทไหนที่แผนการตลาดนำเสนอด้านแย่ของตัวเอง เรื่องการเล่นคำตุกติกบอกไม่หมดแบบนี้ผมเห็นอยู่ทุกวันบนโฆษณาโทรทัศน์ประเทศไทยที่ฉายใหัคนทั้งประเทศดู บางรายน่าเกลียดกว่า Apple มากมายด้วยซ้ำก็มี เช่น ผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวบางยี่ห้อโฆษณาว่ากินแล้วไม่อ้วนแต่พอไปดูด้านหลังซองที่ขายตามร้านกลับไม่พบข้อมูลโภชนาการที่เกี่ยวกับปริมาณแคลอรี่เลย
พอมานึก ๆ ดูแล้วผมว่าคนเรานี่ก็มีอคติกันทุกคนจริง ๆ สองมาตรฐานกันหมด
That is the way things are.
แน่นอนว่าเป็นเรื่องการตลาดครับ แต่ว่าการโจมตีด้วยคำโกหก (หรือบอกความจริงไม่หมด) อันนี้มันก็มีลิมิตนะครับ... เหมือนครีมผิวผ่องเป็นยองไย vs น้ำอัศจรรย์พลังแม่เหล็กหกเหลี่ยมจากภูเขาไฟรักษาโรคร้อยแปดพันเก้า โกหกเหมือนกันแต่ทำไมอันหลังผิดกฏหมาย ?
ถ้าจำไม่ผิดตอนกูเกิ้ลออก chrome แรกๆแล้วมี showcase ความเร็วจาวาสคริปท์ให้ลองดูนี่ ใช้บราวเซอร์อื่นได้ครับ แต่ว่ามันจะขึ้นเตือนเล็กน้อย ไม่ถึงขนาดห้ามขาดแบบนี้
ปล. ปกติแหละครับ ผมได้ยินมาหลายคนละ ถ้ามีหลายๆมาตรฐานแล้วจะมีซักมาตรฐานนึงที่ถูกไม่ได้เหรอ ? หรือว่าบังเอิญว่ามาตรฐานที่ถูกไม่ค่อยถูกใจตัวเอง เลยบอกสองมาตรฐาน ?
+1
my blog
+1 โดนใจ
ผมยอมรับการมีอยู่ของ 2 มาตรฐานอยู่แล้วครับ เห็นมามากและไม่เคยคิดจะใช้คำนี้ไปโจมตีใคร แต่มันอดไม่ได้ที่เห็นหลาย ๆ คนก็เป็นลักษณะนี้เช่นกันแต่ไม่เคยจะยอมรับตัวเอง กลับเอาคำนี้ไปใช้แต่โจมตีคนอื่นอยู่ร่ำไปดั่งวลีที่ว่า "ความผิดของผู้อื่นเท่าภูเขา ความผิดของตัวเราเท่าเส้นผม" สำหรับตัวผมเองนั้นต้องขอเน้นอีกครั้งหนึ่งว่ามีอคติอยู่เหมือนกันแต่คิดว่าคงจะน้อยกว่าหลายคนในที่นี้อยู่พอสมควรทั้งที่เป็น Zealot และ Anti-Zealot
Zealot นั้นก็จะมีแนวทางแบบเดิม ๆ เป็นของตนเองคือยกย่อง Product ที่ตัวเองชื่นชมโดยพยายามอ้างเหตุผลประกอบที่หลายคนมักมองว่าแถ บางเรื่องที่มีเหตุผลจริง ๆ คนอื่นก็มาเถียงสู้ไม่ได้แต่บางเรื่องที่ไม่ค่อยมีเหตุผล อาศัยความชอบส่วนตัวแต่งเติมเสริมแต่งประสิทธิภาพของ Product จนมากเกินไปก็มักจะโดนคนอื่นตอกกลับมาอย่างไม่มีชิ้นดี ตัวอย่างของเรื่องทั้ง 2 ประเภทนี้ก็มีอยู่แต่ไม่อยากจะเขียนเพราะมันจะยาวเกินไป
Anti-Zealot หลักการก็ไม่มีอะไรมาก เราไม่ชอบคุณถ้าคุณหลุดอะไรมานิดเดียวเราจะโจมตีจุดอ่อนนั้น ตีแผ่จุดอ่อนนั้นราวกับว่ามันเป็นเรื่องผิดอันร้ายแรงที่ไม่สามารถละเลยไปได้ นัยหนึ่งก็เพื่อกำราบพวก Zealot ให้พวกเขาเหล่านั้นหัดยอมรับความจริงเสียบ้าง แต่หลายครั้งก็มิได้คำนึงถึงว่าจุดอ่อนที่ตัวเองนำเสนอนั้นมันร้ายแรงจริง ๆ หรือเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยที่กลายเป็นใหญ่โตจากอคติของตนเอง และที่สำคัญพวกนี้ต้องปิดท้ายด้วยการเหน็บแนม Zealot ซึ่งอันนี้หลายคนคงรู้อยู่แล้วว่าเป็นนิสัยที่ไม่ดีนัก
กลับมาที่ประเด็นเดิมผมเห็นด้วยครับว่าการโกหกหลอกลวงย่อมต้องมี Limit โดยใช้กฎหมายที่เกิดจากการยอมรับของคนในสังคมเป็นตัวตัดสิน นั้นจึงเป็นที่มาของการแยกแยะของ 2 คำระหว่าง "แผนการตลาด" กับ "การหลอกลวงต้มตุ๋น" ซึ่งในตัวอย่างที่คุณยกมานั้นก็เห็นได้ค่อนข้างชัดอยู่แล้ว ครีมผิวผ่องนั้นคนใช้แล้วผิวดีขึ้นคงจะมีอยู่มากเป็นจำนวนหนึ่งซึ่งผิวที่ขาวขึ้นนั้นก็เกิดจากสารประกอบต่าง ๆ ที่อยู่ในครีมไม่ว่าจะเป็นสารเคมีหรือสารสกัดจากธรรมชาติ ส่วนน้ำรักษาได้ร้อยแปดพันเก้าโรคนั้นมีสัดส่วนของคนที่ดื่มแล้วหายจากโรคจริงมากน้อยเพียงใด ทำไมจึงหาย สิ่งเหล่านี้มันเป็นคำถามพื้นฐานที่แม้แต่เด็กยังคิดได้ ถ้าน้ำรักษานี้ตอบคำถามเหล่านี้ไม่ได้เลยก็น่าจะบ่งบอกอะไรบางอย่างได้แล้วว่าน่าจะเป็นการหลอกลวง ซึ่งกฎหมายก็คงไม่ปล่อยปละละเลยให้เกิดการหลอกลวงเช่นนี้เกิดขึ้น ดังจะเห็นได้จากเหตุการณ์จริงเมื่อไม่นานมานี้
ประเด็นสำคัญของผมอยู่ที่ในสังคมเรามีกฎหมายที่ได้รับการยอมรับเป็นเครื่องมือในการตัดสินเรื่องประเภทนี้อยู่แล้ว การที่เราออกมาเรียกร้องโวยวายราวกับว่าอีกฝ่ายผิดเสียเต็มประดานั้นมันจะไม่เป็นเรื่องตลกชวนหัวไปหรือครับถ้าสุดท้ายแล้วกฎมายออกมาบอกว่า "ไม่ผิด" นี่คือ "แผนการตลาด"
แรกเริ่มผมไม่ได้เข้าไปดูภาษาอังกฤษหรือคำอธิบายประกอบที่ Web ต้นฉบับแต่อย่างใดเพราะคิดว่าคงเป็นเรื่องปกติที่ 2 ฝ่ายมาเถียงกันสนุก ๆ เหมือนอย่างเคยแต่พอเห็น Comment หลายคนมาก ๆ เข้าก็ชักจะรู้สึกว่าคนบางกลุ่มชักจะใช้อคติเกินเลยกันไปแล้ว จะเถียงกันเอาให้อีกฝ่ายย่อยยับอย่างเดียวโดยไม่ได้ย้อนกลับมาดูตัวเองว่าที่เราพูดกันอยู่นั้นมันถูกจริง ๆ ขนาดนั้นเลยหรือ
เท่าที่ผมอ่านดูก็ค่อนข้างชัดเจนว่า Apple บอกว่า Prodcut ของตนเองนั้นรองรับ HTML5 และมาตรฐานต่าง ๆ แต่ก็ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าตัวเองรองรับถึงระดับไหน 100% 90% 80% 50% หรือ 20% ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะไม่เขียนไว้เพราะถ้าตัวเองไม่รองรับถึง 100% แล้วการเขียนเลขอื่น ๆ ลงไปก็จะกลายเป็นการทำให้ตัวเองขายหน้าไปเสียเปล่า ผมไม่เห็นว่ามันจะแปลกตรงไหน และผมเข้าใจว่าทุกวันนี้ก็ยังไม่มี Browser ไหนรองรับ HTML5 100% ไม่ใช่หรือครับ?
ถัดมาเรื่อง Showcase Apple ก็บอกแล้วว่าตัวเองทำ Showcase ขึ้นมาสำหรับ Safari เพื่อที่จะบอกว่า Safari รองรับ HTML5 อยู่บ้าง อย่างน้อยก็รองรับ Tag Video และ Audio แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ Apple ไม่ได้ทำ Showcase ออกมาให้ใครก็ได้ใช้ก็ได้แต่ทำมาให้ Safari ใช้ ทีนี้พอคนอื่นจะเอา Browser อื่นไปลองแล้วมันไม่ได้ก็ออกมาเรียกร้องบอกว่า Apple ผิดนี่ผมว่ามันเกินไปนะครับ จะแฉว่า Apple ตุกติกใช้ Tag จำเพาะบางอย่างสร้าง Demo ขึ้นมาเพื่อให้ Showcase นี้ดูดีเกินจริงก็ว่ากันไป แต่อย่างไรความจริงก็คือ Safari รองรับ HTML5 (แน่นอนว่าไม่ 100%) ตามที่ตัวเองได้ประกาศไว้ แต่แล้วยังไงล่ะเพราะตอนนี้ก็ไม่มีเจ้าไหนรองรับ 100% อยู่แล้วไม่งั้นก็คงทำ Showcase ออกมาโชว์กันบ้างแล้วล่ะครับ
ผมขอย้ำอีกครั้งว่านี่ก็เป็นแค่อีกหนึ่ง Devil Marketing Plan ของ Apple เท่านั้นซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่ใช่อะไรที่ผิดเสียจนจะเรียกได้ว่า "การหลอกลวง" อย่างที่คุณ Tg ได้ยกตัวอย่างเปรียบเทียบไว้ มาตรฐานของผมน่ะมีครับอาจจะไม่เหมือนของคนอื่นในฝ่าย Zealot และ Anti-Zealot สักเท่าไร มาตรฐานของผมคือผมเชื่อในกฎหมายคุ้มครองและปกป้องสิทธิ์ต่าง ๆ ใน USA ครับว่าเข้มข้นและป้องกันการหลอกลวงประชาชนได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยผมก็เลือกที่จะเชื่อในสิ่งที่สังคมยอมรับกันจริง ๆ ไม่ใช่ "การพยายามจ้องจับผิดโจมตีคนอื่นอยู่ร่ำไป"
ปล.ท่านใดเห็นว่าข้อความในหน้า Web ของ Apple นั้นโฆษณาเกินจริงรบกวนชี้แจงเป็นวลี ๆ ด้วยนะครับเพราะเท่าที่อ่านก็เห็นว่าเขียนได้หลวม ๆ ดีตามแบบฉบับคำโฆษณาทั่ว ๆ ไป ส่วนตัวผมรู้สึกแย่กับเรื่องนี้น้อยกว่าเรื่องขนมยี่ห้อหนึ่งที่ขายในร้านสะดวกซื้อที่ประเทศไทยเสียอีก โฆษณาว่ากินแล้วไม่อ้วนแต่จริง ๆ แล้ว Calorie เยอะมากและไม่ยอมเขียนข้อมูลโภชนาการที่เกี่ยวข้องเอาไว้ด้านหลัง แบบนี้ผมยังเรียกว่า "หลอกลวง" โดยเจตนาเสียยิ่งกว่าแต่หลายคนในที่นี้คงไม่สนใจกันเท่าไรนัก
That is the way things are.
ถ้าโฆษณามันตรงไปตรงมาจริง คงไม่ต้องมาเขียนอธิบายกันยาวๆ อย่างงี้หรอกครับ
ว่าจะนั่งแปลคำโฆษณาของแอปเปิลมาอภิปราย แต่ข้อความเดียวของคุณ mk สยบไปหมดแล้ว ไม่เขียนดีกว่า :D
มันคือแผนการตลาดและการโฆษณาครับ ผมว่าการที่มันไม่ตรงไปตรงมาก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนตราบใดที่ยังไม่กระทำผิดกฎหมาย
ผมกลับไม่เข้าใจคนที่คาดหวังให้โฆษณาต้อง "ซื่อตรง" ไปทั้งหมดมากกว่าครับ ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าไม่สะดวกจะอภิปรายเรื่องคำแปลของข้อความนั้นก็ไม่เป็นไรครับ เพราะส่วนตัวผมก็ว่าผมก็แปลเองเป็นเหมือนกันแค่สงสัยว่าทำไมคนอื่นแปลได้ไม่เหมือนผม
ผมไม่มีปัญหากับตัวเนื้อข่าวตั้งต้นที่ออกมาแฉเล่ห์กลของ Apple เลยนะครับแต่ผมกลับข้องใจ Comment ของหลาย ๆ คนที่ฟันธงว่า Apple ผิดอย่างมากจนเป็นเรื่องที่ต้องทวงถามความเป็นธรรมจริยธรรม ฯลฯ เสียมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความจริงที่ว่า Product ตัวอื่น ๆ หรือแม้กระทั่งคู่แข่งของ Apple เองนั้นก็เป็นแบบเดียวกันในบางครั้งเช่นกัน เช่น ข่าวที่บอกว่า IE9 ผ่านการทดสอบอะไรสักอย่าง 100% ที่ผ่านมาที่พอเข้าไปอ่านด้านในแล้วก็พบว่าไม่ใช่เรื่องจริง เป็นต้น ผมไม่เห็นว่า IE9 จะโดนเล่นเป้าหนักแบบกรณีนี้บ้างเลย
นานาจิตตังแล้วกันครับ ผมว่าผมได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีนี้ครบถ้วนแล้ว สุดแล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคลที่จะเลือกก็แล้วกัน
That is the way things are.
เพราะการที่คนเราเห็นเรื่องความไม่ตรงไปตรงมา หรือเห็นการหลอกลวงจากโฆษณาเป็นเรื่องปกตินี่หล่ะครับ คือข้อเสีย
Apple ไม่ผิดที่พยายามโฆษณาตัวเองครับ แต่มันเป็นเพียงโฆษณาชวนเชื่อ และพยายาม'สร้างภาพ'ให้ตัวเองดูดีในการชูเรื่อง HTML5(?) ขึ้นมา ซึ่งที่หลายคนไม่พอใจก็เพราะมันไม่ใช่ HTML5 ที่เป็นมาตรฐานที่เค้าต้องการ แต่เป็น HTML5 ที่ใช้โดยกลุ่มไม่กี่กลุ่มและไม่ได้อิงมาตรฐานสากลแต่อย่างใด ซึ่งมันเป็นการพูดอย่างทำอีกอย่าง
บริษัทอื่นๆก็ทำอย่างเดียวกับ Apple ครับโดยเฉพาะ Google แต่คงไม่มีบริษัทไหนพูดอย่างทำอีกอย่าง ได้มากเท่ากับ Apple อีกแล้ว
สุดท้าย HTML5 ที่ใช้ได้แค่ webkit เจ้าเดียวและกินพลังประมวลผลมากพอกัน(หรือมากกว่า) มันต่างอะไรกับ Flash ที่ Apple พร่ำบอกสาวกว่าห่วยอย่างนั้นอย่างนี้หรือครับ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
If you're not on Safari, then ....
555+ รู้สึกเหมือนกันตอนเปิดด้วย Firefox
:: DigiKin8 ::
อย่าไปแบนเขาเลยครับ จะได้ฟังความของเขาว่าเหตุผลเป็นยังไง
"สายน้ำคือชีวิต ดำรงค์ไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์ สายน้ำแห่งนิรันด์" เจ้าของลายเซ็นต์นี้เด้งไปแล้วครับ 5555
Pitawat's Blog :: บล็อกผมเองครับ
ชอบคำตอบของเขาจัง กินฟักไปลูกนึง ถ้าพูดต่อหน้าจ๊อบคงมันส์...
อย่าหาว่าผมอคติ หรือใช้คำพูดดิสเครดิตเลยนะ บางครั้งผมก็อยากทราบว่า "คนเหล่านั้น" อายุสักเท่าไหร่ ทำงานทำการอะไร หรือเรียนชั้นไหนกันนะ
+1
แก่แล้ว ทำงาน เงินเดือนเยอะ ผมก็เคยเจอครับ
อายุ ระดับการศึกษา ฐานะ ไม่เกี่ยวครับ
ถ้าไม่บอกนี่ผมหลงนึกว่าเป็นพวกเด็กๆวัยนักศึกษา (พึ่งบรรลุนิติภาวะ หรือไม่ก็ยังไม่) ที่บ้าเทคโนโลยี
และบูชาแกงปลาไหลไปวันๆอย่างเดียวเลยนะครับ T T
ปล.จากลักษณะการตอบของเขาทำให้ผมนึกภาพเขาเป็นแบบนั้นจริงๆ...
เวลาเห็น Apple & Microsoft คิดถึงหนังเรื่องนี้ครับ
Pirates of Silicon Valley สนุกดี ชีวิตจริงก็เป็นแบบนี้หมดครับ ไม่มีใครดี แม้แต่ตัวเราเอง
อย่าพูดถึงหนังเรื่องนี้เลยครับ มันทำให้ยิ่งรู้สึกไม่ดีกับ microsoft
Blog: https://medium.com/@tanakritsai
ผมว่ากลับกันมากว่า
Standards aren't web browsers to the web. They are the web. They are not Apple. Take a few minutes to download Safari and discover the web browser instead.
กั๊ก
@ Virusfowl
I'm not a dev. not yet a user.
jobs เป็นไงหละ โดนเหล่าทวยเทพด่าเข้าให้ lolz
ผมเข้าใจว่าเจตนาของ Apple คือตั้งใจโชว์เทียบกับ Flash มากกว่านะครับ ว่า "นี่ไงเห็นไหม บอกว่าแล้ว HTML5 ทำได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่ง Flash"
คงไม่ได้ตั้งใจทำมาข่ม Browser อื่นแต่อย่างใด
อาจจะเป็นไปได้ครับ
Blog: https://medium.com/@tanakritsai
อยากรู้เหมือนกันว่า หาก adobe ไม่ผลิต software ลง apple เลยจะเป็นยังไง