จากที่คาดการณ์กันไว้ว่าตัวเลขรายได้ของแอปเปิลจะเพิ่มขึ้นสองเท่า ผลที่ออกมาก็ไม่ทำให้กองเชียร์ผิดหวังเพราะมันดียิ่งกว่าที่คาดการณ์ไว้นั้นอีก! โดยแอปเปิลแถลงผลประกอบการไตรมาสที่ 3 (ตามวิธีการนับไตรมาสของบริษัท) มีรายละเอียดทางการเงินดังนี้

- ยอดขายรวม 15.7 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 61% เทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้ว
- กำไรสุทธิ 3.35 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 3.51 ดอลลาร์ต่อหุ้น เพิ่มสูงขึ้น 78% เทียบกับปีก่อน
- กำไรขั้นต้น 39.1% ลดลงจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 40.9% สาเหตุน่าจะมาจากการขาย iPad ซึ่งเชื่อว่าเป็นสินค้าที่ไม่เน้นทำกำไรสูง
- Macs ขายได้ 3.47 ล้านเครื่องเฉพาะไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้น 33% จากปีก่อน
- นักวิเคราะห์ให้ iPad เป็นหัวหอกสำคัญของการทำรายได้ถล่มทลายนี้ โดยแอปเปิลแถลงว่าขายไปได้ 3.27 ล้านเครื่องในไตรมาสที่ผ่านมา
- ยอดขาย iPhone รวม 8.4 ล้านเครื่องเพิ่มขึ้น 61% จากปีก่อนโดยตัวเลขนี้รวม iPhone 4 ช่วงเปิดตัวไว้ด้วย
- มีตัวเลขที่ไม่ดีบ้าง iPod ขายได้ 9.41 ล้านเครื่องลดลงจากปีก่อน 8% แต่ถ้าจำแนกรายละเอียดแล้วเฉพาะ iPod Touch มียอดขายเพิ่มสูงขึ้น 48% รวมถึง iPod ก็ยังครองส่วนแบ่งการตลาดอุปกรณ์ฟังเพลงอันดับ 1 อยู่
- แอปเปิลคาดการณ์รายได้ในไตรมาสหน้าที่ 18 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งยังคงสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินเช่นเดิม

นักวิเคราะห์มองว่าผู้ลงทุนมีความกังวลต่อปัญหาของ iPhone 4 แต่เมื่อเห็นยอดขายและกำไรที่ถล่มทลายดังนี้ก็คลายความกังวลไปได้ โดยหุ้นมีราคาเพิ่มขึ้น 3% ในชั่วโมงสุดท้ายก่อนปิดตลาดหลักทรัพย์

สำหรับคนที่ลุ้นว่าไตรมาสนี้แอปเปิลจะแซงไมโครซอฟท์ได้หรือไม่ รอผลประกอบการที่จะออกมาในวันพฤหัสบดีที่ 22 นี้ของไมโครซอปท์ตามเวลาในอเมริกากันต่อไป

เพิ่มเติม ข้อมูลจากการประชุมกับนักวิเคราะห์ โดยมี CFO Peter Oppenheimer และ COO Tim Cook เป็นผู้ชี้แจงและตอบคำถาม

• ค่าใช้จ่ายของการแจกเคส iPhone 4 คือ 175 ล้านดอลลาร์
• มีองค์กรระดับ Fortune 100 ถึง 50% ที่กำลังทดสอบการใช้ iPad ระดับองค์กร
• iPhone 4 มีโครงสร้างต้นทุนสูงกว่า 3GS
• ยังไม่มีแผนทบทวนระเบียบข้อตกลงของ App Store
• ยอดขาย iPad 3G กับ Wi-fi นั้นไม่แตกต่างกัน
• Macs เติบโต 73% ในภูมิภาคเอเชีย และ 100% ในจีน
• โครงการ Data Center ระดับพันล้านดอลลาร์ที่ Maiden ยังเป็นไปตามแผน แต่ไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติม
• ยังยืนยันว่า AT&T เป็นพันธมิตรที่ดีที่หนึ่ง

ที่มา MacWorld TechCrunch และ Reuters