เราอาจหาสถิติยอดขายหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ทั้งบน Kindle และ iBooks เพื่อดูว่าใครขายดีกว่าใครได้ยาก (Amazon บอกว่ากินส่วนแบ่งตลาด 70% แต่เราไม่รู้ว่าตัวเลขนี้จริงแค่ไหน)
ตัวเลขที่หาได้ในตอนนี้จึงอาจต้องเอายอดขายจากผู้เขียนหนังสือ โดย J. A. Konrath นักเขียนนิยายที่หันมาเอาดีทางการขายอีบุ๊ก (เพราะได้ส่วนแบ่งสูงกว่าเมื่อเทียบกับหนังสือกระดาษ) ได้เปิดเผยว่าเขาขายหนังสือบน Kindle ได้วันละ 200 เล่ม ส่วน iBooks ได้เดือนละ 100 เล่ม ถ้าคำนวณแล้วก็พบว่า Kindle มียอดขายสูงกว่า iBooks ถึง 60 เท่าเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่านี่เป็นสถิติจากผู้เขียนหนังสือเพียงรายเดียวเท่านั้นนะครับ
ที่มา - The Next Web
Comments
Kindle ขายดีกว่าแน่เพราะ สามารถอ่านได้หลายที่ iPad, Kindle, iPhone etc. ในขณะที่ iBook บางประเทศก็ซื้อยังไม่ได้ (จะล็อคอะไรนักหนา) ซื้อไปทีก็หนังสือเราก็อยู่ในกรงของ Apple ย้ายไปอ่านบนอุกรณ์อื่นๆ (ในอนาคต) ที่ไม่ใช่ Apple ก็ไม่ได้
อย่าบอกว่าแอปเปิลเป็นกรงสิครับ เดี๋ยวมีสมาชิกหลายท่านไม่พอใจ
ตอนแรกผมอ่านผ่านๆไม่เห็นคำนี้นะเนี่ย ท่านแม่ทัพสุกี้ฯชี้โพรงทีภาพโผล่ขึ้นมาเลยอ่ะ อิๆ...
555+
-- ^_^ --
ต้องเรียกกะลาแทน
เรื่องล็อคนั้น หนังสือ, วารสารที่ขายเป็น Kindle Format บน Amazon ก็มีการเลือกปฎิบัติครับ เพราะผมใช้ Kindle 2 อยู่ครับ และซื้อหนังสือ Kindle Format มาแล้วหลายเล่ม เลยรู้ด้วยตัวเอง
ผมพบว่า หนังสือหรือวารสารที่ขายเป็น Kindle Format บน Amazon บางเล่ม ไม่มีขายในโซน Asia & Pacific ครับ ขายเฉพาะอเมริกาเท่านั้นก็มี (เท่าที่ทราบ อาจจะเป็นเรื่องข้อตกลงทางกฎหมายกับ Agency/Publisher แต่ละเล่มๆไป ว่าให้สิทธิ์ขายที่ไหนบ้าง) แถมวารสารบางเล่มแม้วางขายทั่วโลก ยังแบ่งเป็นสองรุ่นด้วยซ้ำ บัญชีที่อเมริกาจะมีรูปประกอบเยอะกว่า (ไฟล์ขนาดใหญ่กว่า) แต่รุ่นที่ขายให้กับผู้ใช้บัญชีทาง Asia จะตัดรูปออก (เพื่อให้ไฟล์เล็กกว่า อาจจะเพื่อลดค่าใช้จ่าย 3G roaming) เช่นวารสาร Information Week ก็มีครับ
Kindle ก็ล็อค แต่ทำไมไม่เคยมีสาวก Kindle มาเถียงแทนเลยหว่า???
เข้าใจว่าสำหรับ Kindle นั้นเป็นผู้ใช้งานปกติ ไม่ใช่สาวก
เพราะรู้ว่าซื้อมาเพื่ออะไร ใช้ทำอะไร
มันไม่ง่ายเลยที่จะทำ GIF ให้มีขนาดน้อยกว่า 20kB
ถ้าอ่านอย่างเดียวก็ต้องยกให้ Kindle เลยคับเพราะอ่านแล้วสบายตากว่า iPad (iBook) มากๆ อ่ะคับ อย่างหลังเอาไว้ entertrain ดีกว่ามั้งเนี่ย
positivity
ถ้าซื้อหนังสือบน Amazon สามารถอ่านได้บน iOS และ Kindle
แต่ซื้อจาก iBook อ่านได้บน iOS อย่างเดี่ยว
ผมว่าแค่เหตุผลแค่นี้ก็ทำให้หลายคนตัดสินใจซื้อ ebook ผ่าน Amazon มากกว่า
ถึงแม้จะอ่านจาก iPad ก็ตาม
สำหรับคนที่ซื้อคินเดิลไปแล้ว(ซึ่งยอดขายเครื่องก็เยอะอ่านะ มีนานแล้วด้วย)
แน่นอนว่ามีสองอย่างให้ทำคือเป็นที่ทับกระดาษกับอ่านหนังสือ ซึ่งสามารถใช้อ่านหนังสือได้ดีมาก(เป็นเครื่องอ่านที่ผมถือว่าดีสุดอ่านะครับ)
ดังนั้นคนซื้อมาเพื่ออ่านหนังสือ อ่านแล้วก็ต้องหามาอ่านไปเรื่อยๆ ทั้งเพราะอยากอ่านจริงๆ ปนกับความรู้สึกแฝงเพื่อให้ได้ใช้เครื่อง ข้อหลังจะมาก-น้อย-แทบไม่มี ก็แล้วแต่คน
ในขณะที่ตัว iPad มันมีอะไรเยอะแยะให้ใช้ การอ่านหนังสือบนจอ IPS ก็จะแสบตาหากใช้นานๆ
ดังนั้น คนที่ตั้งใจเอามาอ่านแท้ๆ ก็จะลดความสำคัญในส่วนการอ่านลงเพราะมีอย่างอื่นที่น่าใช้ ในขณะที่คนที่เดิมคิดว่าอ่านเป็นส่วนเสริมก็จะไม่ได้มี willing พิเศษที่จะทำให้ต้องการหาหนังสือมากนัก เพราะมีอย่างอื่นให้ทำเยอะอยู่
คนมักให้ความสำคัญลงไปในส่วนที่จับต้องได้มากก็คือเครื่อง ดังนั้นคนซื้ออะไรมาความรู้สึกลึกๆจะผลักดันให้เราทำอะไรซักอย่างเพื่อใช้อุปกรณ์ชิ้นนั้น ใน kindle คืออ่านอย่างเดียว ใน iPad การอ่านมันทำให้แสบตาในช่วงชั่วโมง ดังนั้นส่วนใหญ่จะไปอยู่กับ เข้าเน็ตและเล่นเกมเป็นส่วนใหญ่อ่าคับ
ล้อมไปล้อมมา จำกัดโน่นจำกัดนี่ เลยกลายเป็นกรงขังตัวเอง
แต่กรณีนี้จะเรียกว่า นี่เพิ่งจะเริ่มต้นได้ไหม
ตอนนี้ device ของฝั่ง apple ไม่ว่า ipad/iphone4
ยังอยู่ในสภาพ demand มากกว่า supply อยู่มี
demand แฝงเยอะ ต้องรอดูต่อไป
เป็นผมก็เลือก Kindle แต่ต้องดูที่ราคาก่อนอันไหนถูกกว่าเอาอันนั้น
รักการอ่านยังไงก็ต้อง Kindle เท่านั้นสิ ของเค้าดีจริง
positivity
ซื้อใน kindle อ่านได้ทั้งบน pc mac iphone android blackberry kindle ก็ไม่แปลกที่คนจะซื้อ - -*
ผมว่าตรงนี้ Amazon ฉลาด ตอนที่มีข่าว iPad มันจะออก เค้าก็คิดกันว่า Kindle หรือ dedicate e-Reader จะตาย เพราะ iPad ทั้งถูก จอใหญ่ แสดงแอนิเมชันได้ดี
ปรากฎว่า Amazon พลิกตัวกลายออก Kindle for อุปกรณ์ต่างๆ โดยไม่กลัวว่าจะทำให้ลูกค้าไม่ซื้อ Kindle หันไปซื้ออุปกรณ์ Tablet อื่นแทน แต่จนป่านนี้ เครื่อง Kindle โดยเฉพาะขนาด 6 นิ้วก็ยังขายได้ดี เพราะมันให้ประสบการณ์การอ่านที่ดี เรียกว่าเน้นที่อ่านหนังสืออย่างเดียว
แถวนี้มีใครเคยขาย หรือศึกษาการขายอีบุ๊กผ่านอเมซอนโดยตรงไหมครับ? เล่าให้ฟังหน่อยเถิด
ไม่เคยครับ แต่ Amazon มีช่องทางที่เรียกว่า Digital Text Platform (http://dtp.amazon.com) ลองไปอ่านที่ FAQ ดูครับ ถ้าอ่านแล้วยังมีข้อสงสัย มันมีฟอรั่ม แล้วถ้าไม่ตรงใจ ก็ยังสอบถามไปที่ dtp-support@amazon.com ได้ครับ
เบื้องต้นคือ
- หนังสือต้องเป็นภาษาอังกฤษ :D เพราะ OOTB มันไม่รองรับอื่นๆ รวมถึงภาษาไทย!
- ถ้าขายที่ Amazon UK ตอนนี้ไม่ต้องเสียภาษี
- ถ้าขายที่ Amazon US เสียภาษี 30%
- จ่ายเงินทาง check หรือโอนเข้าบัญชี Bank Account ของ UK หรือ US
- ถ้าจ่ายทาง check ต้องรอขั้นต่ำที่ 100 USD, ถ้าโอนบัญชีจะต้องรอถึง 10 USD
- ปกติส่วนแบ่งรายได้อยู่ที่ 35% แต่ถ้าเงื่อนไขในการขาย ตรงตามเงื่อนไขกลุ่มหนึ่ง (เช่น ราคาขายอยู่ที่ 2.99-9.99 USD, ต้องอนุญาติให้ใช้ฟังก์ชันอ่านออกเสียงได้ เป็นต้น) ของ Amazon คุณสามารถสลับไปขอส่วนแบ่งปกนั้นที่ 70% ได้
- คุณควรจะเข้าใจ format ของ MobiPocket, AZW, Topaz ไว้ ว่ามีข้อจำกัดเรื่อง format อะไรบ้าง รวมถึงข้อจำกัดในการอ่านของ Kindle เช่น ขนาดหน้าจอ, รูปแบบฟอนต์, ขนาดฟอนต์, contrast ที่ต่ำ, แสดงได้แต่ gray-scale 16 ระดับ, สี่ที่ดำก็ไม่ดำสนิท เป็นต้น
- แนะนำให้เตรียมเอกสารต้นฉบับเป็น HTML/CSS เพราะจะแปลงไปในฟอร์แมตของ Amazon ได้ง่าย เป็น Word นี่อาจจะเหนื่อยใจได้ แนะนำให้อ่าน "Amazon Kindle Publishing Guidelines"
- เบื้องต้นอาจจะใช้ Kindle Previewer ซึ่งจะจำลองการจัดหน้ากระดาษ แต่ก็แนะนำว่าควรจะมี Kindle 2 (หรือ Kindle DX) ไว้ลองอ่านหนังสือที่ทำขึ้นบนอุปกรณ์จริงๆ
โชคดีนะครับ
ขอบคุณมากครับคุณ tekkasit
ข้อมูลเบื้องต้นที่ช่วยลิสต์ให้ดูครอบคลุมสิ่งที่อยากรู้ครบเลย ขอบคุณอีกที *: )
เพิ่งทราบว่า kindle ยังแสดงผลภาษาไทยไม่ได้ นักเขียนไทยร้องเพลงรอต่อไป..
ผมซื้อมาใช้แล้วครับ มันก็มีความแตกต่าง และข้อจำกัดต่างๆ ระหว่าง file format ต่างๆ และข้อได้เปรียบระหว่างหนังสือที่ซื้อจาก amazon โดยตรง
ผมได้เขียนรีวิวไว้แบบง่ายๆ ลองไปอ่านดูได้นะครับ
http://updated4you.blogspot.com/2010/08/amazon-kindle-2-1.html