เว็บเครือข่ายสังคมด้านการทำงานและอาชีพอย่าง LinkedIn ที่ก่อนหน้านี้เสนอราคาหุ้นเริ่มต้นไว้ที่ 32-35 ดอลลาร์ ล่าสุดราคาสุดท้ายที่ LinkedIn จำหน่ายก่อนหุ้นจะเข้าทำการซื้อขายคืนนี้ตามเวลาในประเทศไทยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 45 ดอลลาร์
ด้วยราคาหุ้นดังกล่าวทำให้ LinkedIn มีมูลค่ากิจการตอนนี้ 4.3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการทำ IPO ของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูงที่สุดนับจากกูเกิลเข้าตลาดหุ้นเมื่อปี 2004 ซึ่งมีมูลค่า 2.7 หมื่นล้านดอลลาร์ ราคาหุ้นดังกล่าวยังส่งผลให้อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) ของหุ้น LinkedIn สูงถึง 264 เท่า ซึ่งถือว่าสูงมากเพราะเมื่อเทียบกับราคาหุ้นกูเกิลที่เข้าตลาดเมื่อปี 2004 นั้นมีอัตราส่วนราคาต่อกำไรเริ่มต้นเพียง 35 เท่า และปัจจุบันมีอัตราส่วนอยู่ประมาณ 20 เท่า
แม้ตัวเลขจากการวัดมูลค่าดังกล่าวอาจทำให้เรารู้สึกว่านี่มันคงเป็นการเริ่มต้นของฟองสบู่ดอทคอมครั้งที่ 2 แต่ถึงอย่างนั้น หากมองหาข้อดีที่จะทำให้ LinkedIn เพิ่มมูลค่าได้ในอนาคตก็มาจากฐานลูกค้าของเว็บซึ่งเชื่อว่ามีคุณภาพและมีรายได้สูงกว่าเว็บเครือข่ายสังคมอื่นๆ นอกจากนี้รูปแบบธุรกิจอาจมีศักยภาพสูงจนสามารถเปลี่ยนวิธีการรับสมัครงานของฝ่ายบุคคลเลยก็เป็นได้ ซึ่งถ้าทำได้จริงก็จะส่งผลดีต่อการเติบโตของ LinkedIn ในอนาคต
ที่มา: International Business Times และข่าวเก่าของกูเกิลจาก CNN
Comments
ยังเชื่อว่าฟองสบู่อยู่ดี
นับวันรอฟองสบู่ดอทคอม
เพื่อนๆคิดว่าถ้าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริงๆ จะกระทบต่อประเทศไทยอย่างไรบ้างครับ
ตอนนี้เป็นฟองสบู่แล้วครับ คือราคาของธุรกิจ สูงเกินกว่ามูลค่าทรัพย์สินจริง
ถ้าฟองสบู่แตก มีผลอาจทำให้บริษัทไอทีล้มจำนวนมากได้
เนื่องจากเงินทุนที่อยู่ในตลาดหุ้นถูกดึงออกอย่างรวดเร็ว
พูดง่ายๆ คือหุ้นตกนั่นเอง และมูลค่าของบริษัทก็จะลดลงอย่างน่าใจหาย
แน่นอนว่าธุรกิจไอที (มูลต่าของมัน) มาเร็วไปเร็วอยู่แล้ว และความไม่แน่นอนก็สูงมากด้วย
เมื่อขาดสภาพคล่อง หุ้นดิ่ง ก็ทำให้ความน่าเชื่อถือเหือดหายไปหมด และก็อาจทำให้บริษัทหยุดกิจการการ
หรือถึงขั้นล้มละลายไปเลยก็ได้ แล้วจะมีคนตกงานจำนวนมหาศาล
ธุรกิจอื่นๆ ที่ต้องพึ่งพาบริษัทเหล่านี้ก็อาจได้รับผลกระทบกันเป็นลูกโซ่
นึกสภาพว่า เฟสบุ๊ค มีการทำโฆษณา มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจมากมาย
หรือแม้แต่ Linked In ที่มีบริษัทและบุคคลมากมายมาใช้อยู่ต้องหยุดชะงักลงครับ
มองภาพให้โหดร้าย สมมุติ Microsoft ล้มแล้วกันครับ ถ้าล้ม วินโดวส์ที่เราใช้ๆ กัน
อาจไม่ได้ใช้ก็ได้...
นั่นหมายถึงกรณีที่ไม่มีการอุ้มจากสถาบันการเงินนะครับ หรือถูกซื้อจากกลุ่มทุน
หรือธุรกิจที่มีสภาพคล่องทางการเงินสูงกว่า พูดง่ายๆ ว่าธุรกิจล้มละลายไปเลย)
ปกติฟองสบู่แตก ธุรกิจจะล้มกันเป็นแพเลย แต่สำหรับธุรกิจไอทีผมไม่แน่ใจ
เพราะเทคโนโลยีมันครอบคลุมไปหมดเลย
ส่วนประเทศไทย บางส่วนอาจได้รับโดยตรง
เช่น ธุรกิจที่ต้องมีคู่ค้าเป็นประเทศเจ้าของนวัตกรรมที่ได้รับผลกระทบ
เช่นธุรกิจนำเข้า หรือจัดจำหน่ายเทคโนโลยี ธุรกิจที่ให้บริการ
และปรึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยีนั้นๆ
และมีหลายส่วนได้รับผลทางอ้อม เช่นธุรกิจที่ใช้เทคโยโลยี เพื่อเพิ่มผลผลิต
แต่สำหรับประชาชนคนทั่วไป คงจะแค่หงุดหงิดมั๊งครับ
(ที่เล่นเกมใน FB ไม่ได้... ถ้า FB ล้มนะครับ ;p )
ปล. เป็นมุมมองวิเคราะห์เล็กๆ จากมือใหม่นะครับ
ถูกผิดอย่างไร ขอคำชี้แนะด้วยนะครับ :)
Microsoft P/E 9.82X นี่นับเป็นฟองสบู่หรอครับ? ถ้าเป็น Facebook, Twitter หรือ Linkedin ที่ราคามหาเว่อร์ผมยังพอนึกภาพออกนะครับ แต่สามก๊กไอทีราคาก็ไม่ได้เว่อร์เกินจริงนัก (P/E 9X-20X) พื้นฐานก็ยังดีอยู่ เพราะท้ายที่สุดแล้ว เราก็ยังต้องใช้ Windows เพื่อค้นข้อมูลใน Google และไปต่อแถวซื้อ iPhone 4S อยู่ดี
"...มองภาพให้โหดร้าย สมมุติ Microsoft ล้มแล้วกันครับ..."
... สมมุติ สมมุติ สมมุติ ...
เหอๆๆๆๆ
พูดไม่ออกเลย...
----- ที่เหลือคือสิ่งที่ผมคิดครับ ข้ามไปเลยได้ครับ อ่านแล้วจะอารมณ์เสียเปล่าๆ -----
ปล. ถ้าคุณจะฟัง จะสนใจคนอื่นสักนิดนะครับ ก็จะเข้าใจว่า
"เป็นมุมมองวิเคราะห์เล็กๆ จากมือใหม่นะครับ ถูกผิดอย่างไร ขอคำชี้แนะด้วยนะครับ"
ถ้ามันทำให้เขาเห็นอะไรได้แปลกใหม่ มีไอเดียสร้างสรรค์ และผลักดันวงการในทางที่สวยงาม ผมจะดีใจมาก
ไม่ใช่มานั่ง Crazy ว่านั่นดี นี่ดี อย่างอื่นห่วย แล้วมายึดติด มาปิดใจครับ
คุณคิดว่าทุกอย่างมันอยู่ยงคงกระพันจริงๆ เหรอครับ
ฟังคนอื่นบ้างนะครับ :)
ผมว่าฟองสบู่เกิดแล้วแต่ยังไม่แตกในเร็ววันเพราะหลายคนยังกลัวๆอยู่ :)