Sachin Agarwal ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Posterous ซึ่งในอดีตเป็นพนักงานฝ่าย Final Cut Pro ของแอปเปิลอยู่ 6 ปี ออกมาแสดงความเห็นเรื่อง Final Cut Pro X ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนในขณะนี้
Sachin บอกว่าตอนที่เขาออกมาจากแอปเปิล โครงการ Final Cut Pro X ของแอปเปิลเพิ่งเริ่มพอดี แต่เป้าหมายของแอปเปิลไม่ใช่กลุ่มนักตัดต่อมืออาชีพซึ่งมีขนาดเล็ก แต่ไปเน้นตลาด prosumer (pro+consumer) ที่มีขนาดใหญ่กว่าแทน คนกลุ่มนี้คิดว่า Final Cut Pro ซับซ้อนเกินไป นี่จึงเป็นเหตุว่าทำไม Final Cut Pro X ถึงเปลี่ยนวิธีการทำงานใหม่
Sachin ยังบอกว่าเดิมทีตลาดซอฟต์แวร์ตัดต่อวิดีโอสำหรับมืออาชีพ มีผู้เล่นเพียง Avid กับแอปเปิลเท่านั้น แต่ภายหลังมีผู้เล่นอื่นๆ เข้ามามากมาย เช่น Adobe, Pinnacle และ Sony ซึ่งซอฟต์แวร์เหล่านี้แข่งกันที่ฟีเจอร์และชนิดของไฟล์ที่รองรับ แอปเปิลไม่สนใจแข่งเรื่องฟีเจอร์ แต่สนใจทำงานที่มีอยู่แล้วให้ดีกว่าคู่แข่งต่างหาก
ที่มา - Sachin Agarwal
ถ้าเหตุผลของแอปเปิลเป็นไปที่ว่าจริงๆ ก็แปลว่ารอบนี้ตั้งชื่อผิด? ที่ถูกควรเป็น Final Cut Express?
Comments
Final cut Xpress :)
:)
หงายเงิบกันไปข้าง ในขณะที่มืออาชีพหลายๆ คนต่างพากันไว้วางใจ Final Cut Pro
..เน้นขายไม่เน้นฟีเจอร์ :P
-*- ทิ้งฐานลูกค้าเก่าเลยเรอะ
ซักวันจะเสียใจแหงๆ
ถ้าเป็นแบบนี้จริง ... รอบหน้าหวยน่าจะออกที่ Logic แน่ๆ
พยายามนึกว่า Version ต่อไปของ Logic Studio มีฟีเจอร์มากกว่า Garage Band นิดหน่อย ... และเปิดไฟล์เวอร์ชั่นเก่าๆ ไม่ได้ ...
/me สยอง
Edit : เมื่อกี้กลับไปดู ... หน้าตามันเหมือน Garage Band ไปแล้วแฮะ ดังนั้นไม่ต้องกังวล ... โดนไปก่อนแล้วนั่นเอง 555
สู้ต่อไป
เน้นตลาดที่ใหญ่กว่า ขายได้เยอะๆ สินะ
เขาทำราคาถูกลง ยังไงก็คงมองไปที่ตลาด mass กว่าเดิมอยู่แล้ว
แล้วจะใช้ชื่อว่า Pro ทำไม?
ปัญหาคือ Final Cut มีภาพลักษณ์ว่านี่เป็นโปรแกรมของมืออาชีพที่แข็งมากๆ เหมือน Thinkpad ที่ให้ภาพลักษณ์ว่าเป็นโน๊ตบุ๊ตรุ่นทนทานสุดๆ การที่แอ๊ปเปิ้ลจะมาเอาใจตลาด Mass แต่ยังใช้แบรนด์ว่า Final Cut จึงเป็นเรื่องแปลกและไม่น่าจะเป็นไปได้ ทั้งๆที่ถ้าอยากทำจริงๆ แอ็ปเปิ้ลก็ยังมีแบรนด์ iMovie อยู่ ซึ่งน่าจะตอบโจทย์ได้มากกว่า
เหมือน ภัตรคารแชงกริล่าประกาศว่าจะทำส้มตำขาย ประมาณนั้น
Final Cut มีทั้งรุ่น Express และ Pro ครับ ซึ่งจับตลาดทั้ง 2 กลุ่มอยู่แล้ว ผมก็มีความเห็นเหมือนความเห็นท้านข่าวที่ว่ามันน่าจะเป็น Final Cut Express มากกว่า Pro นะ
งั้นผมขออภัยครับ พอดีอ่านไม่ละเอียด
แล้ว Express นี่ต่างจาก iMovie มากมั้ยอ่าครับ
พอควรครับ
อือ เรื่องชื่อนี้มีผลมากๆเลยครับ
มันเหมือนใส่ความคาดหวังเข้าไป
ลด Feature ลง ลดความซับซ้อนลง เหลือที่จำเป็นไว้ ตามลัทธิ Zen สินะ
ราคาไม่เห็น zen = ='
May the Force Close be with you. || @nuttyi
haha +1
กระเป๋าตังเรา Zen ครับ
less is more ไง :D
ตอนซื้อไงครับต้องเซน(ต์)
+100 555
นิกายเซนรึเปล่า?
พูดมาได้ แสดงว่า เราคงไม่มีทางเห็นเลยซินะที่ apple จะออกมาพูดว่าตัวเองผิดที่มองตลาดไม่ออกว่าผู้ใช้ต้องการอะไร
เหมือนกับกรณีหลายๆอย่าง ที่ผลตอบรับเป็นลบ apple ก็จะอ้างว่าจงใจให้มันเป็นแบบนั้น
ไม่แปลกใจจริงๆที่จะใช้คำว่า ศาสนา และ สาวก
อ่านรึยังครับว่าคนที่ออกมาให้ความคิดเห็นเป็นแค่อดีตพนักงาน แถม Apple ยังไม่ได้ออกมาแถลงเองเลยนิครับ เห็นที่มีก็มีแต่สัญญาว่าจะรีบนำฟีเจอร์เก่าๆมาให้ครบโดยเร็วที่สุด ยินดีคืนเงิน มีเพจอธิบายว่าฟีเจอร์ไหนที่ใช้ไม่ได้เพราะอะไรทำไม ฯลฯ
แต่ Apple ก็พลาดอย่างแรงที่ไม่ยอมมีตัว Trial ให้ลองเนี่ยล่ะ ถึงจะบอกว่าคืนเงินได้ก็เถอะ มันรู้สึกแย่กว่าลองตัว Trial แต่ไม่ประทับใจเยอะ
คร้าบอ่านจนครบเลยครับ ผมแค่ แย๊บ ใส่เท่านั้นเองครับ นี่ขนาดอดีตยังออกมาปกป้องเลย ผมจึงยิงหมัดแย๊บเข้าใส่ไง
ผมเองก็คาดหวังใน final cut pro อยู่เหมือนกัน เพราะคิดว่าจะก้าวไปข้างหน้าแบบในความคิดของผมซึ่งมีงานด้านนี้อยู่
อีกอย่างเลยเจ้าตัวใหม่นี้มันมีฟีเจอร์แย่เกินกว่าจะอยู่ในกลุ่ม pro+consumer ถ้าเกิดเป็นชื่อ iMovie ผมจะไม่ว่าอะไรแต่จะไปถล่มเรื่องราคาแทน ฮ่าๆ
อ่านแล้วไม่เห็นมันมีตรงไหนที่ดูปกป้องบริษัทเลยนะครับ
ผมอ่านๆ ดู เหมือนเค้าจะปกป้องตัวเองมากกว่า เช่น ตรงที่บอกว่า "ตอนที่เขาออกมาจากแอปเปิล โครงการ Final Cut Pro X ของแอปเปิลเพิ่งเริ่มพอดี"
แต่ถ้าเชื่อตามที่ตาคนนี้บอกไว้ แสดงว่าคุณไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของโปรแกรมนี้ และสมควรพิจารณาโปรแกรมจากคู่แข่งได้แล้ว :)
ไม่แปลกใจเหมือนกันที่มีพวก Anti เยอะไปหมด
เคยมีบริษัทไหนออกมาพูดว่าตัวเองมองเกมพลาดเองเวลาที่ของขายไม่ดีด้วยเหรอครับ ถ้า CEO คนไหนออกมาพูดแบบนี้ผมว่า board ก็คงปลดทันทีเหมือนกัน
ไม่มีใครในวงการธุรกิจมานั่งแถลงความผิดพลาดหรือสิ่งที่ไม่ดีของบริษัทตัวเองหรอกครับ อย่างดีก็แถ ๆ หาทางลงแบบเบา ๆ แค่นั้น
That is the way things are.
ผมเชื่อว่าคำตอบของแอปเปิลจะออกมาในแนว
"คุณไม่ใช่เป้าหมายของผลิตภัณฑ์เรา"
คำนี้คุ้น ๆ นะ
คุณไม่ใช่เป้าหมายของข่าว :)
+1
^
^
that's just my two cents.
กร๊ากกกกกกก
เพิ่มๆๆๆๆๆ คุณเข้ามาผิดที่
ไม่นะ....
ถ้าเปลี่ยนราคาที่ตั้งเป็น $9.99/29.99 อย่างมากก็ $99.99 (คือถ้าแพงกว่านี้พวก pro consumer จะมีปัญหาซื้อเหรอ? เพิ่งเงินอีกหน่อยซื้อกล้องดิจิตอลถ่าย 1080p ได้สบายๆ) จะไม่ค่อยมีคนด่า เจอราคาเฮียแกไปคนด่ากันระงม
ขายในชื่ออื่นก็หมดเรื่อง - -" อยากทำให้ง่ายดันก็กลายเป็นทำให้เรื่องมันยากโดยไม่จำเป็น
ถ้า Apple ออก Product ใหม่มาแทน Final Cut Pro ในตลาด Pro (และต้องประกาศก่อนนะ) คงไม่โดนด่าขนาดนี้
เมื่อก่อน Adobe เคยย้าย PageMaker จากตลาด Pro ไปเป็นตลาดบ้านเหมือนกัน แต่รายนั้นออก InDesign มาแทนก่อน ... แถมเปิดไฟล์จาก PageMaker ได้และมีฟีเจอร์ที่จำเป็นอยู่ครบ ก็เลยไม่มีปัญหา
ในฐานะที่ใช้ Final Cut เป็นคนแรกๆของประเทศแล้วก็ใช้มาตั้งแต่เวอร์ชั่นแรกนะครับ มีเทปที่ตัดกับ Final Cut กว่า 2500 เทป หนังยาวอีก 4 เรื่อง ละครอีก 3 ตอน โฆษณา Viral อีกนับไม่ถ้วนที่ตัดบน Final Cut เหมือนกัน
ผมรู้สึกว่า Steve Jobs คิดถูกที่ทำ Final Cut Pro X ให้เป็นแบบนี้ครับ ... ถึงแม้ในความจริงมันยังไม่สมบูรณ์แบบ 100% เพราะมันขาด Function ที่คนใช้งานทั่วไปทั้งหมดต้องใช้ครับ
สิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกของการตัดต่อในยุค 10 ปีให้หลังในความคิดผมคือการที่มันวิ่งหนีออกจากความเป็นการตัดต่อที่แท้จริง ... Tools กลับกลายเป็นอุปกรณ์สำหรับ Craftman ที่มีทักษะเฉพาะด้านสูงจนเวลาใช้งานจะกลายเป็นเหมือนการปีนบันไดดาวเพื่อให้ใช้งานจนคล่องแคล่ว
ซึ่งนั่นคือปัญหาใหญ่มากๆที่ Tools ส่วนใหญ่ (Software และ Apps ส่วนใหญ่) บวมและขยายตัว เำืพิ่ม Function จนเกินขอบเขตของความจำเป็นจริงๆ (หากใครอยู่มานานพอจะรู้จัก Moviola หรือ Steinbeck จะเข้าใจว่าหัวใจการตัดต่อมี Tools แค่ In Out Splice Cut เท่านั้นครับ ซึ่งทั้งหมดทำด้วยกรรไกรหนึ่งเล่มกับ เทปใสเท่านั้น) ดังนั้น Software การตัดต่อที่ดีก็ควรที่จะ Simplified มันลงมาให้ได้มากที่สุดเพื่อให้ช่างตัดต่อสนใจเพียงแค่การตัดต่อ ไม่ใช่สนใจเครื่องมือ อุปกรณ์ Function ของ Software มากเกินไป
และนั่นเป็นสิ่งที่ผมเห็นใน Final Cut Pro X นะครับ .... คือการยกกระบวนการตัดให้มันดู Simplified ลง .... แต่คนดันเข้าใจว่ามันคือ Unprofessional ซึ่งเป็นการมองจากภาพที่เห็นเพียงชั่วขณะหนึ่ง
ส่วนที่ Final Cut Pro X ต้องทำตอนนี้คือการทำให้มันง่าย เอา Function ที่มันทำให้การตัดต่อง่ายเข้ามาให้หมด ส่วนไหนช่วยให้มัน Simplified การตัดต่อได้ก็จัดการทำให้มันเรียบร้อย ... ถ้าใครต้องการ Composite ระดับพระกาฬก็น่าจะลองมอง Smoke ไปเลย หรือถ้าใครอยากได้แบบ Professional Product จริงๆ็ก็ลองมองแบบ Avid ก็ได้ครับ Media 100 ก็ได้ Edius ก็ได้ Premiere ก็ได้ Lightworks ก็ได้สำหรับตลาด Professional แบบดั้งเิดิม
เพราะท้ายสุดแล้วด้วยนโยบายของ Final Cut เอง .... มันก็ Revolutionized วงการการตัดต่อมาตั้งแต่ต้นแล้วครับ คล้ายๆกับ Final Fantasy นั่นแหล่ะครับ ... ไม่ใช่ทุกคนที่ชอบเกมนี้ทุกภาค ... แต่มันก็แสวงหาอะไรใหม่ๆอยู่ทุกภาคครับ ส่วน Avid มันก็จะเป็น Dragon Quest ครับ
ขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบนะครับ
การตัดต่อแบบดั้งเดิม
"ผมอยากให้มันสั้นลงซัก 400 เฟรม ยก Lift ตรงนี้หน่อย แล้วก็ปรับ Gain เสียงลง เดี๋ยวเอาคัทที่ 26/2a ใส่ตรงกลางนี่"
การตัดต่อแบบที่ Steve Jobs อยากให้เป็น
"ผมอยากให้มันสั้นลงหน่อย สว่างขึ้นนิด เสียงเบาลงหน่อย แล้วเอาภาพนั้นมาใส่ตรงนี้"
แล้วผลทั้งสองแบบออกมาเท่ากัน .... เป็นแบบว่า Steve Jobs คิดแบบ Artist ครับ ไม่ใช่ Craftman ... แต่ช่างตัดทั้งโลกดันเป็น Craftman มากกว่า Artist เลยผสมโรงเล่น FCPx ซะเละก่อนที่จะเข้าใจในตัวมันด้วยซ้ำครับ .... ถ้าผมจะโวย ผมก็โวยตรงที่มันทำให้ Flow การตัดที่เค้าฝันไว้ยังเป็นจริงไม่ได้เท่านั้นเองครับ ไม่ใช่ว่ามันเป็น iMovie Pro ครับ ....
ปล.ความจริงอยากเขียนยาวกว่านี้ แต่เดี๋ยวจะออกทะเลมากไปครับ
ปล2.แก้ใขเพิ่ม ... เอาตัวอย่างใส่ครับ
ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
+1
ว่าแต่คุณพ่อของอดัมได้ลองใช้แล้วหรือยังครับ มีบ่นอะไรบ้างไหม?
เจ๋งมาก อ่านแล้วเลิกลังเลเลย คงได้หามาลองเร็วๆ นี้ คริๆๆๆๆ :D
ส่วนตัวผมคงขอหยุดแค่ iMovie พอ ไม่ใช่สายงานที่จะมีเวลาลงไปลองสัมผัสได้นานขึ้นจริงๆ ~_~ ว่าแต่ถ้ามัน export เป็น HTML5 ได้เลย คงดีนะ #แถ
โอ้วว เห็นภาพมากมาย
ผมว่าถ้า Steve Jobs ได้อ่านความเห็นของคุณ เค้าคงเรียกคุณไปเป็น Advisor ให้โปรแกรมของเค้าครับ
เข้าใจแจ่มแจ้งเลยครับ
เยี่ยมม เป๊ะๆๆๆๆ
ขอบคุณ"คุณชาย"เช่นกันครับ ถือว่าเป็นการสะท้อนความรู้สึกของ Pro User ที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงของโปรแกรม FCPx ไม่เช่นนั้น อีกหลายๆคนที่ไม่ใช่ผู้ใช้อาจจะเข้าใจไปคนละเรื่อง และบางทีสื่อก็ไม่ได้ให้ความจริงกับผู้อ่านทั้งหมด
เท่าที่อ่านดู ผมว่า...อืม ไม่รู้นะ iMovie อาจจะเพียงพอสำหรับคนที่ทำงานตัดต่อแล้วล่ะครับ :-)
ข้างบนนี่พูดเล่น แต่ที่พูดจริง ๆ ก็คือคนที่เขามีไฟล์เก็บเอาไว้อยู่แล้วเขาก็อยากเอางานเก่า ๆ มาเปิดดูได้ยามจำเป็น คือผมไม่รู้ว่ามันลง Final Cut Pro สองเวอร์ชั่นบนเครื่องเดียวกันได้หรือเปล่า แล้วมันจะมีปัญหาอะไรมั้ย แต่ที่แน่ ๆ ผมว่าหลาย ๆ คนไม่ต้องการซอฟท์แวร์ที่ทำงานลักษณะเดียวกันสองตัวบนคอมเครื่องเดียวครับ
ได้อ่านแล้วเห็นภาพเลยล่ะครับ ชอบตอนยกตัวอย่างที่สุดเลยอ่ะ
By @iPoohs
Visit My blog
"Stay hungry.Stay foolish" -Steve Jobs
รู้แต่ว่าอะไรก็ตามที่ขัดกับความรู้สึกตัวเองให้โวยวายไว้ก่อน
อันที่จริงโปรดักส์ของ Apple โดยส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่ายอยู่แล้วครับ ผมเลยมองว่าเป็นเรื่องปกติ ลองสังเกตุจากโปรแกรมรวมถึงตัวระบบปฏิบัติการของเค้าดู
ส่วนจะโปรหรือไม่โปรนั้นคงตัดสินไม่ได้ คงต้องเลือกเครื่องมือให้เข้ากับงานที่ทำ หรือไม่ก็วัดกันที่ผลงานที่ออกมาครับ ^^