Wall Street Journal รายงานถึงการสัมภาษณ์ Steve Wozniak (หรือเรียกสั้น ๆ ว่า Woz) กับ BBC ซึ่งเขาได้เอ่ยในระหว่างการสัมภาษณ์ว่าสังคมที่ไม่ยอมรับพฤติกรรมที่แย่และลงโทษคนเหล่านี้อย่างหนัก และสังคมที่ไม่สอนให้คนคิดด้วยตัวเอง ทำให้ประเทศสิงคโปร์เสียเปรียบเมื่อถึงเวลาที่ต้องการกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ และบริษัทอย่างแอปเปิลก็ไม่มีวันเกิดขึ้นได้ในประเทศแบบนี้
ดูที่ตัวอย่างสังคมสิงคโปร์สิครับ สังคมนี้เป็นสังคมที่ไม่ยอมรับพฤติกรรมแย่ ๆ และคุณก็จะถูกลงโทษอย่างหนัก ลองหาดูสิว่าหัวคิดสร้างสรรค์ในประเทศนี้อยู่ไหน? ศิลปินต่าง ๆ หายไปไหนหมด? นักร้องนักดนตรีล่ะ? นักเขียนล่ะ?
Woz กำลังร่วมงานกับรัฐบาลสิงคโปร์เพื่อที่จะวางแผนให้กับอนาคตของชาติ ในการส่งเสริมการเริ่มต้นนวัตกรรมต่าง ๆ และเพิ่มประสิทธิภาพของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของสิงคโปร์
อยากรู้ว่าถ้าเขาพูดแบบนี้กับประเทศไทย ไม่รู้ว่าจะโดนบอมหน้า Facebook Page หรือไม่
ที่มา - The Next Web, WSJ
Comments
ผมยอมรับนะว่าอ่านแล้วผมก็ตั้งแง่กับความคิดของ Woz เหมือนกัน แต่คงต้องอ่านต้นฉบับก่อน ว่าสิ่งที่ Woz เรียกว่าแย่มันคืออะไร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับความคิดสร้างสรรค์
เขาคงหมายถึงในสังคมสิงค์โปร์เขาไม่ยอมรับคนคิดแปลกหรือคิดแหวกแนวมากครับ ประมาณว่าถ้านอกกรอบมากคนที่นั้นคงตราหน้าหน่ะครับ
+1 ครับ ตอนอ่านเนื้อข่าวที่แรกก็งงๆ เหมือนกัน แต่พออ่านตรงที่ quote ไว้ (เข้าใจว่าเป็นคำพูดที่แปลมา) ก็รู้ว่าเขาหมายถึง "สังคม" สิงคโปรค่อนข้างปิดกั้นความคิดที่แตกต่าง ถ้าคนส่วนมากคิดอะไรๆ ไปในทางเดียวกันหมด มันจะไม่เกิดนวัตกรรม และนี่เองที่หมายถึงว่าบริษัทอย่าง Apple ถึงไม่มีทางเกิดขึ้นได้ Apple เชื่อว่าพวกตัวเองเป็นกบฏทางความคิด เป็นนักปฏิวัติ และเป็นคนที่ไม่เดินตามทางที่คนอื่นๆ ขีดเส้นไว้ ดูโฆษณา Macintosh ปี 1984 เป็นตัวอย่าง และพวกเขา (พยายามอย่างมากที่จะ) เป็นอย่างนั้นเสมอมา (ถึงจะมีบางช่วงที่เป๋ไปบ้างก็ตาม)
ผมเดาว่าคงคิดถึงช่วงที่ตัวเองเป็นวัยรุ่นมั้งครับ ทั้งเสพยาและอะไรต่อมิอะไร ขนาดศาสดายังบอกเลยว่าการเสพยาทำให้เค้าคิดอะไรใหม่ๆได้เยอะ
มองมุมนั้นจะทำให้เราประมาณตนผิดไปครับ แม้คนพวกนี้จะเล่นยาแต่ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความคิดที่แต่ละคนกล้าทำ กล้าต่อยอด และกล้าแหกกฎเดิมๆ นั่นต่างหากที่ทำให้เกิดแอปเปิล
หลายครั้งเวลาเราโฟกัสเรื่องเหล่านี้ด้วยยา หรือสภาพแวดล้อมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง (อย่างบ้านรวยอยู่แล้ว หรือบลาๆๆ) มันทำให้เราหลงประเด็นไปว่างั้นยาเสพติดเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จด้วย ซึ่งมันไม่ใช่เลย
ผมไม่ได้มองครับ ผมแค่เล่าเรื่องที่เค้าเคยให้สัมภาษณ์
สตีฟครับที่เสพ LSD, acid อันนั้นพวกบุพพาชน แต่ในหนังสือไม่ได้บอกว่า Woz รวมก๊วนปาร์ตี้ไปกับเค้าด้วยนิ
ครับผมตอบไม่ละเอียด หมายถึงช่วงนั้นที่วัยรุ่นนิยมกันครับ แต่ตัววอซไม่ได้้เสพ (แต่รู้สึกจะลองไปหนึ่งปุ๊น)
เท่าที่ดูจาก context ที่บอกเกี่ยวกับ
กรอบกฎหมายที่รุนแรง แนวคิดไอเดียวลิซึ่ม แบบใครทำผิดต้องถูกเหยียบให้กระอัก ทำให้ไม่มีใครกล้าลองแหวกกรอบ กลัวล้มเหลว และวัฒนธรรมการลงทุน
ผมคิดว่าเค้าพยายามบอกเรื่อง การคิดนอกกรอบ และ การลงทุนแบบที่มีความเสี่ยงสูงหน่อย
ผมคนไทย ทำอะไร save save
เวลาดูสาวชอบดูสาวขาวๆ Sex Sex เวลาดู Notebook ชอบแบบ"ถึกๆดำๆ"
Twitter : @Zerntrino
G+ : Zerntrino Plus
ผมทำงานในโรงงานสัญชาติอเมริกันมีผู้บริหารทั้งคนไทยและฝรั่งแต่สิ่งหนึ่งที่ผมมองว่าแตกต่างกัน คือ
การให้โอกาสในการมีความคิดสร้างสรรค์ เช่น สมมุติผมคิดพัฒนาเครื่องมือหรือกระบวนการที่แตกต่างออกไป
นายคนไทยจะมีคำวิจารณ์เชิงลบมาก่อน "จะใช้งานได้เหรอ" "เราจะทำได้เหรอ" "เสียเวลาเปล่าๆ" ใช้แบบเขาก็สิ้นเรื่อง
ทั้งที่ของต้นแบบที่ฝรั่งคิดก็มาจากพื้นฐานเดียวกันแต่คนไทยมักให้ความเชื่อมั่นคนต่างชาติมากกว่าคนไทยด้วยกันเอง
คนไทยส่วนมากชอบติ ชอบสงสัย ชอบระแวงครับ ไอเดียดีๆ บางทีเจอแรงค้านมากๆ ก็ฝ่อได้เหมือนกัน ยิ่งถ้าเป็นไอเดียที่เพิ่งจะเริ่มก่อตัวขึ้น ยังไม่มีข้อมูลต่างๆ มาประกอบ หรือคนต้นคิดไม่หนักแน่นพอ สุดท้ายก็เลยต้องใช้วิธีการเดิมๆ เป็นพิมพ์เขียว ทำแบบเดิมๆ ง่ายกว่าไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ถ้าผิดพลาดขึ้นมาก็ยังโทษวิธีการ (ที่ตัวเองไม่ได้สร้างมันขึ้นมา) ได้
เด็กรุ่นใหม่ๆ เรียนรู้เพื่อจะมาทำงานจริงๆ แต่ไม่ได้เรียนเพื่อมาคิดหาวิธีการใหม่ๆ หลายๆ คนวนอยู่ในอ่างที่เรียกว่าปัญหา เวลาว่างที่มีหมดไปกับการนั่งเล่นมือถือ หรือไม่ก็นั่งอ่านหนังสือบอล เช่นนี้ เราคงจะไม่ขาดแคลนแรงงานระดับวิชาชีพ เนื่องจากคนกลุ่มนี้ไม่มีทางพัฒนาไปสู่ระดับบริหาร หรือเป็นเจ้าของกิจการได้ง่ายๆ
+1 เจอมากับตัวครับ บอกให้มันหัดเขียนภาษาอื่นบ้าง ใช้ DB ตัวอื่นบ้าง มันก็สวนกลับว่าภาษาที่มันเขียนอยู่เนี่ยก็ดีอยู่แล้วจะไปเขียนภาษาอื่นอีกทำไม
พอไปฝึกงานเท่านั้นแหละครับ ทำไม่ได้ เน่าสนิท feedback กลับมหาลัยเน่ากระจาย คนสอนก็ยังสอนแบบเดิมๆต่อไป ส่วนคนเรียนก็ยึดติดกับของที่ป้อนมาอยู่อย่างนั้นตลอดไป
+1 ด้วยคนครับ
ซ้ำครับ
ชอบประโยคสุดท้าย XD
+1
ชอบประโยคสุดท้าย XD
แถวๆผมก็ใช่ย่อย เสนอให้ปรับปรุงอะไรก็ค้าน จะเอาๆแบบเดิมอย่างกับเด็ก
บอกให้เจียดเงินสักนิดเพื่อเปลี่ยนเซิฟเวอร์ ก็บ่นว่าแพง ทั้งที่ไม่ถึงแสน แต่พอจะออกไปสัมนานี่งบบานตะไท
คนหนุ่มสาวถึงได้บ่นว่าบางคนยิ่งแก่ยิ่งเกรียน
+1
+1024
คงไม่โดยบอมใน fb เหรก เพราะส่วนใหญ่ที่ได้สังเกตุ เห็นเลยว่าจะเป็นสาวกของ apple ทั้งนั้น
แต่ที่ผมได้ยินจากชาวสิงคโปร์ เขาก็ "รู้ตัว" ว่าเขาก็เป็นแบบที่ Wozniak ว่าจริงๆ นะครับ
สิงคโปร์ "ในอดีต" เคยเป็นสังคมที่รัฐบาลกำหนดกรอบแคบๆ ให้กับสังคมมานานอย่างที่รู้กัน มีกฏระเบียบแนวคิดที่ทำให้ชาวสิงคโปร์เสมือนเป็นหุ่นยนต์ แต่อาจจะโชคดีที่ทำมาถูกทางเลยทำให้สิงคโปร์พัฒนามาได้ถึงจุดๆ นี้ แต่ในช่วงยุคสิบปีให้หลังมานี้รัฐบาลเขาก็รู้ตัวแล้วว่าสิงคโปร์จำกัดตัวเองอยู่ในกรอบแคบๆ มานาน เป็นประเทศที่ขาดความคิดสร้างสรรค์อย่างรุนแรง
นโยบายในยุคหลังๆ รัฐบาลเขาก็เปิดประเทศให้เสรีอย่างมากตามแบบฉบับตะวันตกแล้ว เปลี่ยนภาพลักษณ์ของประเทศให้มีสีสันกว่าเดิมไปมาก แต่..รัฐบาลกลับต้องมา "แก้ปมตัวเอง" เพราะคนในประเทศเขาชินกับกรอบแบบเดิมๆ มานานที่รัฐบาลเคยผูกปมเขาไว้ ซึ่งมันต้องใช้เวลา อย่างเรื่องเยาวชนเขาเองก็ต้องพยายามปรับเปลี่ยนอย่างมาก เพราะสภาพโรงเรียนในสิงคโปร์ตอนนี้เด็กแข่งกันเรียนเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย แต่ละคนใส่แว่นหน้าเตอะทั้งนั้นซึ่งไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
ในยุคสิบปีที่ผ่านมานี่ สิงคโปร์เขา "Import" ศิลปินต่างชาติเข้าประเทศมามากมาย พร้อมๆ กับเปิดเสรีให้ประเทศ เพื่อที่จะส่งเสริมเรื่องของนวัตกรรมใหม่ๆ และความคิดสร้างสรรค์ให้กับประเทศ อย่างเมื่อก่อนการรักร่วมเพศเป็นเรื่องผิดกฏหมายรุนแรงในสิงคโปร์ ปัจจุบันเขาเปิดเสรีให้กับเรื่องนี้อย่างมาก (พึ่งยกเลิกกฏหมายไปเมื่อ 3-4 ปีนี้เอง)
ก็อย่างที่ Wozniak ว่า รัฐบาลสิงคโปร์เองเขาก็ "รู้จักตัวเองดี" จึงได้มีความร่วมมือแบบนี้ออกมา ถ้า Wozniak จะวิจารณ์ออกมาแบบนี้ก็คงไม่เป็นไรหรอกครับ
ว่าแต่บางประเทศแถวนี้ "รู้จักตัวเองดี" ว่าสายตาชาวโลกเขามองตัวเองอย่างไร และ "ใจกว้างมากพอ" แล้วหรือยัง? หรือยังพอใจที่อยู่ในกะลาแคบๆ แบบที่ให้มาวิพากษ์วิจารณ์ให้ฉุกคิด แต่กลับไม่ยอมฟังอะไรเลย?
แค่เรื่องที่คนบางประเทศเข้าไปถล่มคอมเมนต์แบบหน้ามืดตามัวใน US Embassy Facebook ก็เป็นเรื่องที่ "น่าอาย" สุดจะทนแล้ว
อ่านแล้วได้แง่คิดดีครับ ขอบคุณครับ.
เขียนดีมากเลยครับ
น่ารักมากเลยครับ
คำตอบของข้า คือ ประกาศิต
อ่านแล้วชอบครับ ประเทศเราน่าเสียดายยังไม่เข้าใจตัวเอง
@TonsTweetings
รู้สึกตอนนี้ใน Youtube แทบทุกคลิปที่เป็นเกาหลีจะมี Top voted comment ประมาณว่า From Thailand
+1 กรณ๊ US Embassy Facebook มันก็เกินไป ความรักแบบนี้ มันจะเป็นการทำลายมากกว่า
รักมากจนตกเป็นเหยื่อของผู้ไม่หวังดี
+1 โดน
เป็น Comment ที่ดีมากครับ ชื่นชม!
เข้ามากดบอมบ์ให้ครับ XD
จริงครับ เคยได้ยินว่า ถ้าศิลปินมีผลงาน มีชื่อเสียง ได้รับการยอมรับ เขายินดีให้ไปอยู่ที่นั่นถาวร ย้ายสำมะโนครัวไปเลย เพื่อเพิ่มงานด้านวัฒนธรรมที่ประเทศพร่องไป ด้วยเป็นประเทศเล็กและขาดประวัติศาสตร์ชาติ รวมถึงก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์แก่ประชาชน ตอนนี้ที่นั่นมีพื้นที่แสดงงานศิลป์ผุดเต็มไปหมด เอสพลานาดที่สิงคโปร์มีโรงละครที่เป็นมาตรฐานมากๆ และต้องการแรงงานศิลปินนานาชาติ
เหมือนนี้ละมั้งจาก9gag
http://d24w6bsrhbeh9d.cloudfront.net/photo/1046432_700b_v1.jpg
もういい
อยากเปลี่ยนเป็น Welcome to Thailand จังครับ
@TonsTweetings
อันนั้นต้องไปอยู่ในคุกครับ
"With the first link, the chain is forged. The first speech censured, the first thought forbidden, the first freedom denied, chains us all irrevocably."
ฮ่าๆ
Blognone = 138.1 news/w เยอะมากๆ
5555
คำตอบของข้า คือ ประกาศิต
อันนี้ก็น่าจะได้
http://d24w6bsrhbeh9d.cloudfront.net/photo/1043661_700b.jpg
แง่ม แรงงง แต่ก็จริงงง
{$user} was not an Imposter
ของผมเป็น European แสดงว่า ประเทศไทยน่าจะมีอิสระเสรีในทางความคิด
แต่ภาพที่ปรากฎในสังคมการแบ่งแยกสี มันออกแนว American นะ
คำตอบของข้า คือ ประกาศิต
โฆษณานี้ผมชอบมากจริง
"Those who make peaceful revolution impossible will make violent revolution inevitable." JFK.
จากที่อาศัยในสิงคโปร์มา ผมก็เห็นคนความสร้างสรรค์เยอะนะ หลายคนมีความคิดแหวกแนว แต่บางคนก็แหวกมากไปจนผิดหลัก หาข้อพิสูจน์ไม่ได้ก็มี แต่บ้างก็แหวกแนวแล้วเกิดประโยชน์ ซึ่งผมคิดว่าคนประเภทนี้ก็มีให้เห็นในหลายประเทศ
สิ่งที่ Woz กล่าวว่าศิลปิน นักดนตรี นักเขียนไปอยู่ไหน ก็มีส่วนถูก เพราะคนพวกนี้ส่วนนึงเขาสมองไหลไปทำงานต่างประเทศกัน แต่สิงคโปร์ก็มีรายการแนะนำคนสิงคโปร์ที่โด่งดังในต่างประเทศ (เช่น นักดนตรี นักร้อง นักวาดการ์ตูน นักถ่ายภาพมืออาชีพ ครูสอนการแสดง) นอกจากนี้ ยังมีช่องฟรีอย่าง okto ที่ฉายรายการสำหรับเยาวชน และมีรายการสำหรับคนทุกวัยที่ส่งเสริมคนให้มีความคิดสร้างสรรค์ทั้งวิทยาศาสตร์และศิลปะ
แต่ถ้ามองไปในอดีต สิงคโปร์เคยเป็นที่ถกกันอย่างที่ Woz ว่าเลยครับ จนกล่าวว่าคนสิงคโปร์มีอาการที่เรียกว่า No U-turn syndrome เป็นคำของ Sim Wong Hoo ชาวสิงคโปร์ เจ้าของบริษัท Creative Technology และผู้สร้าง Sound Blaster อันโด่งดังระดับโลก โดยคำว่า No U-Turn syndrome เป็นคำที่เสียดสีว่าคนสิงคโปร์ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ เทียบกับว่า ถ้าไม่มีป้ายจราจรบอกให้กลับรถ คนขับรถจะไม่กลับรถกันเด็ดขาด ประมาณว่าคิดเป็นเส้นตรง ทำตามกรอบที่ถูกตั้งไว้
My Blog
ของไทยมีป้ายห้ามกลับหรือมีกั้นบางส่วนยังกลับรถกันเลย
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
แสดงว่าบ้านเรามีความคิดสร้างสรรค์ดีกว่าบ้านเขามาก ทำนอกกรอบตลอด
เรา selective thinking ครับ นอกกรอบในเรื่องผิด แต่จะดึงคนอื่นให้อยู่ในกรอบที่ไม่ถูกได้
@TonsTweetings
เพิ่งรู้ว่าเจ้าของ Creative เป็นชาวสิงค์โปร์ครับ
Creative ออก update driver ช้ามากกกก สงสัยหา U-turn เข้าบริษัทยากนี่เอง :)
บ้านเราเนี่ย...ไม่ใช่นอกกรอบนะ ไม่ค่อยมีวินัย 555+
..: เรื่อยไป
ไร้วินัย VS คิดนอกกรอบ
ของบ้านเราเรียกมักง่ายครับ 555
ไม่ใช่ไม่มีวินัย ทุกคนพร้อมใจกันฝ่าฝืนเหมือนกันหมดอย่างเป็นระเบียบ (เช่น ต่อแถวกันกลับรถในสี่แยกที่ห้ามกลับรถ หรือต่อแถวกันฝ่าไฟแดง เป็นต้น)
ส่วนตัวแล้ว ผมว่าก็ไม่เชิงว่าจะไม่มีวินัยนะครับ
แต่ผมคิดว่า คนไทยไม่ยอมให้ตัวเองลำบากนิดนึงเพื่อจะให้คนอื่นสบายบ้าง
ถ้าเรายอมลำบากซักนิดนึง อย่างขึ้นบรรไดเลื่อนชิดขวา หยุดรถให้คนข้ามถนน
ไม่ขับรถปาดซ้ายขวาเวลารถติด เพราะจะทำให้รถติดมากขึ้น
ชาติเราจะพัฒนาไปอีกมากๆๆๆๆๆๆๆๆ ครับ
+1 ครับ ถือว่าทำอะไรก็ได้แต่ตัวเองต้องไม่ลำบาก ใช่ว่าจะเป็นทุกคนแต่เห็นเกลื่อนเมืองครับ
แบบนั้นเรียกว่าเห็นแก่ตัวแล้วล่ะครับ (เจอเยอะเลย)
+1 ครับ
"ทำไมคนเราไม่ยอมให้ตัวเองลำบากนิดนึงเพื่อจะให้คนอื่นสบายบ้าง"
ประโยคนี้ผมนึกทุกวันที่ ขณะขับรถออกจากบ้าน
สงสัย ประโยคสุดท้าย มันเกี่ยวอะไรด้วย มันคนละเรื่อง ?? ต้องการด่าใครก็ว่ากันไป อย่าแต๋ว
การวิพากษ์ วิจารณ์ ที่ทำไปโดยสุจริต ทุกคนรับได้ แต่ต้อง ไม่ใช่การใส่ร้ายป้ายสี, เอาเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้มาพูด, นั่งเทียนหรือฟังตามๆกันมาแล้วมาพูดต่อโดยหาเหตุผลที่มาที่ไปรองรับไม่ได้
ผมไม่ได้ด่าครับ แต่ผมเปรียบเทียบสิ่งที่เหมือนกัน Woz เขา "วิจารณ์" เกี่ยวกับลักษณะของสังคมของประเทศ ๆ หนึ่ง ซึ่งก็ไม่ต่างกับการที่สถานทูตอเมริกันได้ออกมาแสดงความกังวลกับข้อกฎหมายของเรา เห็นความคล้ายกันไหมล่ะครับ แค่สลับเอา Woz กับสถานทูต ... เห็นความเหมือนในความแตกต่างไหมครับ?
อยู่ดี ๆ กลายเป็นว่าผมรับอะไรไม่ได้ หรือไม่มีเหตุผลตรงไหนครับ การเสียดสีมันแต๋วและเขาห้ามทำกันในยุคนี้แล้วใช่ไหมครับ ?_? เห็นหนังสือพิมพ์ไทยทำกันบ่อย ๆ
@TonsTweetings
ต่างครับ
ต่างกันตรงที่
คนนึงเข้าใจในวัฒนธรรมของคนสิงคโปร์
แต่อีกคนกลับไม่เข้าใจ...
"วิพากษ์ วิจารณ์ ที่ทำไปโดยสุจริต ทุกคนรับได้" <-- ทุกวันนี้เรียกว่า ทุกคนรับได้ หรือครับ?
แล้วคุณพิสูจน์แล้วหรือว่าอะไรแท้หรือเทียม หรือฟังตามๆกันมา?
ออกตัวเลยว่าผมคนนึงที่รับไม่ได้
คดีSMS ผมว่าโทษแรงไป
แต่อีกคดีที่ตัดสินเงียบๆ ผมว่าน่าจะโดนอีกสักเท่าตัว
ผมว่าอย่างน้อยความเห็นของคุณก็พิสูจน์ประโยคสุดท้ายได้แล้วนะครับ ขัดใจหน่อยก็บอมบ์เลย
เคยจะคุยเรื่อง 3 ก๊กกับคนสิงคโป เขาว่าที่นั่นแบนไม่ให้มีเรียนหรือขาย -0-
คิดว่า ถ้ามีคน "แปลหนังสือที่ห้ามขาย"
จะถูกกฏหมายลงโทษมั้ยครับ
คิดถึงระบบราชการไทย...อะไรที่นอกกรอบมากๆก็ทำไม่ได้...
โอเวอร์ไปมั้งครั้ง นอกกรอบนิดหน่อย เขาก็ไม่ทำแล้ว
ถ้ากรอบของสิงคโปร์ เป็นเส้นตรง
กรอบของประเทศไทย ก็เป็นวงกลมครับ
ปิดกระทู้ต้องเชิงลบ ตลอดเลยหรอ หวังว่าจะไม่ไปถล่ม หวังว่าคนยังใช้ nokia หวังว่าเยอะแยะมากเลย เป็นกระแสหรือเป็นสิ่งที่ควรจะทำในการเขียนข่าวในนี้ไปแล้วอ่านไปก็งงไป เขียนเนื้อเรื่องดีดีไม่ได้ต้องไป เติมแต่ง สิ่งที่ไม่ใช่ในเนื้อเรื่อง หวังว่าจะไม่ไป ถล่มใน fb ในเนื้อเรื่องกระทู้ไม่เห็นพูดถึงอะไรแนวนี้เลย
+1
สำหรับผม เชิงบวก ครับ
เว็บข่าวชื่อดังหลาย ๆ เว็บที่ผมใช้เป็นแหล่งที่มา เขาก็แขวะไปเรื่อย ๆ นี่ครับ ที่นี่มันเป็นบล็อกนะครับไม่ใช่ "สำนักข่าว" และทุกข่าวแต่ละอย่างก็ออกมาจากผู้เขียนต่าง ๆ คนกันครับ ไม่ใช่ทุกคนจะเห็นตรงกัน แต่ทุกคนก็ยอมรับในมุมมองของแต่ละคนและก็แขวะกันโดยไม่มีเจตนาแย่ไปกว่าการแขวะเล่น ๆ เพื่อสีสัน
เว็บนี้ลำเอียงแน่นอนครับ (ไม่เป็นกลาง) แต่จะเอียงไปทางไหนก็ขึ้นอยู่กับคนเขียนแต่ละคน ข่าวหนึ่งผมเขียนเชียร์แอปเปิล อีกข่าวหนึ่งอาจจะแขวะซัมซุง ขั้นตอนการลำเอียงมันเริ่มตั้งแต่การเลือกที่จะรายงานเรื่องนี้ แต่ไม่เลือกที่จะรายงานอีกเรื่องหนึ่งแล้วล่ะครับ
ความผิดของผมก็มี คือผมไม่ได้แยกส่วนว่าย่อหน้านี้ความเห็นส่วนตัว ย่อหน้านี้แขวะ แต่กรณีนี้ผมเห็นว่ามันชัดเจนเพราะว่าพูดถึงกรณีเมืองไทย ไม่มีในที่มาของข่าวแน่นอนครับ ที่ผมทำคือการ link ข่าวนี้เข้ากับ current events อีกเรื่อง เหมือนกับที่ผมเคยเอาข้อมูลเรื่องการบินไทยซื้อเครื่องบินโบอิ้งกี่ลำในข่าวโบอิ้งเปลี่ยนมาใช้ Android ล่ะครับ
แต่ผมชอบ Reply แบบนี้นะครับ ที่ไม่โจมตี แต่ชี้แจงและตั้งแง่ชัดเจน ดีกว่าแบบข้างบนเยอะครับ
@TonsTweetings
เป็นกำลังใจให้นะครับ
เป็นกำลังใจให้เช่นกันครับ
ถ้าเรื่องที่เสริมไปที่ย่อหน้าสุดท้ายไม่ไปสะกิดใจใครผมก็ไม่เคยเห็นว่ามีปัญหานะ
เรื่องการเขียนแนวเสียดสีนี่เป็นเรื่องยาก แค่ไหนเรียกว่าพอดี แค่ไหนเรียกว่าล้ำเส้น มันแบ่งยาก
คือบางคนอ่านแล้วเกิดอัคติ เห็นว่าผู้เขียนเป็นฝ่ายตรงข้ามกับตัวเองทันที
เฮ้อพูดยาก... เรื่องที่เขียนเสียดสีก็ดันเป็นเรื่องจริงซะด้วย แถมเป็นการกระทำที่ไม่สมควรได้รับการยกย่องอีกต่างหาก
ผมไม่ได้ไปถล่ม fb เลยครับ และผมก็เชื่อว่าไม่น่ายกย่องจริงจริงตามคุณกล่าวมา แต่ผม อ่านแล้ว งง เฉยเฉย แต่เขาก็ชี้แจงแล้วว่า เขียนให้เป็นสีสันในการอ่าน ผมแสดงความคิดเห็นในทางผมคิดเท่านั้นเองครับ
การแสดงความเห็นของคุณแบบนี้ดีแล้วล่ะครับ :) constructive
@TonsTweetings
ขออภัยครับ ที่มาบ่นตรงคห.คุณ พอดีบ่นยาวมาตั้งแต่ข้างบน
ขออภัยจากใจจริงอีกครั้ง
พฤติกรรมแย่ ๆ ในสังคมไทย แสดงออกได้ง่าย ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ถูกลงโทษ สร้างสรรค์ได้เรื่อย ๆ เช่น คำว่า "อารยะขัดขืน"
คำตอบของข้า คือ ประกาศิต
ผมว่าประเทศไทยมี 2 กลุ่มที่แย่ๆครับ คือ
ประเภทศูนย์กลางจักรวาล มองคนอื่นโง่กว่าหมด ชอบดูถูกสติปัญญาคนไทยด้วยกันเอง หลบอยู่แต่ในกะลา คิดว่าสิ่งที่เรียนรู้สั่งสมมาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ เมื่อทำงานไม่สำเร็จจะโทษดินฟ้าไม่อำนวย พร้อมปลอบใจตัวเองว่า ฉันทำไม่ได้คนอื่นก็คงทำไม่ได้แหละมั๊ง
ประเภทชื่นชมคนอื่นและถ่อมตนเกินกว่าเหตุ สนับสนุนคนที่ไม่ได้เก่งจริงเพียงเพื่อให้คนอื่นออกหน้ารับงานหนัก เก็บตัวเองไว้ไม่ให้บุบสลาย ขาดการพัฒนาความสามารถและประสบการณ์ พร้อมทั้งน้อมรับคำชมว่าเป็นคนดี (ที่ไร้ความสามารถ)
ส่วนผลที่ตามมา ก็เห็นได้ชัดจากเหตุการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน
มีอีกประเภทครับ
คือ คนรอบตัว ล้วนต่ำกว่าตัวเอง แต่คนไกลตัว ล้วนสูงค่าน่ายกย่อง
ประเภทนี้ ผม เกลียดสุดๆ
แต่ว่า คนมีความคิดสร้างสรรค์มักจะชอบโกง
ขำๆนะครับ ฮ่าๆ
Blognone = 138.1 news/w เยอะมากๆ